ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปกิณณก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64287 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 ต.ค. 2023, 19:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ปกิณณก | ||
คำว่า สาธารณะ คือ สภาวธรรมอันทรงไว้เสมอกัน (โดยทั่วไป) คำว่า สัพพจิตตสาธารณะ คือ สภาวธรรมอันมีทั่วไปแก่จิตทั้งหมด ๓. วิตก (ความตรึก) คือ สภาวะตรีก (อารมณ์) หมายความว่า ตรีกโดยอาการนั้นๆ แล้วเข้าสู่อารมณ์ เมื่อวิตกเข้าสู่อารมณ์เช่นนั้นอยู่ แม้สัมปยุตตธรรมก็เข้าสู่อารมณ์ด้วย เมื่อนั้น วิตกย่อมยังสัมปยุตตธรรมให้เข้าสู่อารมณ์ ดังพระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า อารมฺมณาภินิโรปนลกฺขโณ วิตกฺโก."* วิตกมีลักษณะยกสัมปยุตตธรรมเข้าสู่อารมณ์ ดังสาธกเปรียบการที่สามัญชนอาศัยราชวัลลภนำพาเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ โดย หมายความว่า แม้ในจิตที่ไม่มีวิตกประกอบร่วม (ปัญจวิญญาณจิตและทุติยฌานจิตเป็นต้น) ก็ถือว่าถูกวิตกยกไว้ในอารมณ์ เพราะเข้าสู่อารมณ์ด้วยอานุภาพของความคุ้นเคยที่ได้เกิด ร่วมกับวิตกในกระแสสภาวธรรมอันมีวิตกอยู่ แม้ปัญจวิญญาณจิตจะไม่มีวิตก ก็เข้าสู่อารมณ์ด้วยอำนาจการกระทบระหว่าง วัตถุกับอารมณ์ ส่วนทุติยฌานจิตย่อมเข้าไปสู่อารมณ์ด้วยอำนาจของอุปจารภาวนาเป็นต้น ส่วนในอรรถกถามัชฌิมนิกายกล่าวว่า กึ วา เอตาย ยุตฺติยา (อีกอย่างหนึ่ง ความชอบด้วยเหตุผลตังกล่าว หาประโยชน์มิได้) แล้วแสดงข้อความนี้ว่า จิตฺตมฺปิ หิ อารมฺมณํ อารุหติเยว. ตสฺส ปน นิจฺจํ สหาโย มนสิกาโร. ตสฺมิญฺหิ อสติ ตํ นิยามกรหิตา นาวา วิย : วา ตํ วา อารมฺมณํ คเหตฺวา ปวตฺเตยย."* จิตย่อมเข้าสู่อารมณ์ได้เพราะสหายประจำของจิตคือมนสิการ เนื่องจากไม่มี มนสิการจิตก็จะเกิดขึ้นรับอารมณ์ต่างๆ อย่างไม่มีทิศทางเหมือนรือที่บราศจากนาย ด้วยเหตุนั้น ปัญจวิญจาณที่มีมนสิการเป็นสหายย่อมเข้าสู่อารมณ์ด้วยความ รับรู้อารมณ์ของตน แต่ในขณะเกิดอกุศลจิตและโลภเจตสิกเป็นตัน ก็มีกำลังในการเข้าสู่ อารมณ์ ดังพระพุทธวจนะว่า ปาปสฺมึ รมเต มโน"(จิตย่อมรื่นรมย์ในบาป) ทุติยฌานจิต ย่อมเข้าสู่อารมณ์ด้วยอำนาจของมนสิการ วิริยะ และสติ ส่วนวิตกได้ดำริโดย อาการนั้นๆ แล้วกระทำสภาวธรรมอันเกิดร่วมกับตนให้มีกำลังยิ่งขึ้นในการเข้าสู่อารมณ์ โดยประการดังนี้ สภาวรรรมนี้จึงให้ชื่อว่า วิตก เพราะมีความขวนขวายมากกว่า สภาวธรรมอื่นในกิจนั้น ถามว่า : แม้นามธรรมอื่นก็เข้าสู่อารมณ์เพราะมีสภาพรับรู้อารมณ์ เหตุใดจึง เรียกสภาวขรรมนี้ว่าเป็นวิตก ตอบว่า : การเข้าสู่อารมณ์ของนามธรรมอื่นย่อมสำเร็จโดยประกอบด้วยกิจอื่น แต่วิตกไม่มีกิจอื่นนอกจากกิจนี้คือการเข้าสู่อารมณ์ท่านจึงกล่าวเรียกสกาวธรรมนี้เช่นนั้น
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 02:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
วิจาร (ความตรอง) คือ สภาวะตรอง อีกอย่างหนึ่ง วิจาร คือ สาาวะทำให้สัมปยุตตธรรมตรอง อีกอย่างหนึ่ง วิจาร คือ สภาวะเป็นเหตุให้สัมปยุตตธรรมตรอง (คำว่า วิจาร มีความหมาย ๓ ประการ คือ สภาวะตรอง = วิจรตีตื วิจาโร (ลง ณ ปัจจัยในกัตตุสาธนะ) - สภาวะทำให้สัมปยุตตธรรมตรอง = วิจาเรติ สมปยุตธรรมเมดิ วิจาโร (ลง ณ ปัจจัยในเหตุกัตตุสาธนะ) สภาวะเป็นเหตุให้สัมปยุตตธรรมตรอง = เต ธมฺมา วิจรนฺติ เอเตนาติ วิจาโร (ลง ณ ปัจจัยในกรณสาธนะ) ความตรอง ในที่นี้คือ สภาวะที่เป็นไปในอารมณ์ด้วยอำนาจจากการตรองเคล้าอารมณ์ ในขณะที่วิตกนำจิตเข้าสู่อารมณ์แล้ว) ในบรรดาวิตกและวิจารเหล่านี้ วิตกมีสภาพหยาบ เกิดขึ้นก่อน และเป็นสภาวะ ขณะที่จิตได้เข้าสู่อารมณ์ก่อน วิตกจึงเปรียบเหมือนเสียงตีระฆัง ส่วนวิจารมีสภาวะละเอียด เกิดตามหลัง และเป็นสภาวะที่จิตติดตามอารมณ์ วิจารจึงเปรียบเหมือนเสียงครวญของ ระฆังที่เนื่องมา อธิโมกข์ (ความตัดสินใจ) คือ ความปักใจ กล่าวคือ ภาวะที่จิตครอบงำตัดความ สงสัยในอามณ์ที่เป็นไปว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่เป็นเช่นนี้แล้วคำเนินล่วงพ้นจากที่นั้น ลังเลลงสัย] ดังสาธก(ในคัมภีร์อรรถกถา)ว่า โส อารมฺมเณ สนฺนิฏฐานลกฺขโณ อารมฺมเณ นิจฺจลภาเวน อินฺทขีลสทิโส - "อธิโมกข์มีลักษณะตัดสินอารมณ์ เหมือนเสาเขื่อน เพราะมั่นคงในอารมณ์" |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 04:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
วิริยะ (ความเพียร) คือ ความอาจหาญในการงาน หรือกิริยาของผู้อาจหาญใน การงาน ความจริงบุคคลที่กอปรด้วยวิริยะเป็นผู้อาจหาญในการงาน ย่อมสำคัญเห็นการ งานที่แม้จะใหญ่ก็ว่าเล็ก แม้จะยากก็ว่าง่าย แม้จะหนักก็ว่าเบา ไม่คำนึงถึงความลำบาก ของตน ประคับประคองกายกับจิตอยู่เสมอเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ วิริยะจึงทำให้บุคคล เป็นไปอย่างนั้น และเป็นกิริยาทางกายกับจิตของบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้น อีกอย่างหนึ่ง วิริยะ คือ สภาวะพึงให้เกิดขึ้นด้วยวิธี ด้วยนัย หมายถึง อุบาย ได้แก่ การกระตุ้นเตือนในเบื้องแรก เป็นต้นว่า วีริยวโต กี้ นาม กมฺมํ น สิชฌติ. "ผู้มีวิริยะจะทำกรรมใดไม่สำเร็จหรือ" อีกอย่างหนึ่ง วิริยะ คือ สภาวะทำให้ผู้ถึงพร้อมด้วยวิริยะนั้นขวนขวายเป็นพิเศษ โดยมีประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นเป็นเหตุ (คำว่า วีริย มีความหมาย ๔ ประการ คือ - ความอาจหาญในการงาน = วีรสฺส ภาโว วีริยํ. (วีร ศัพท์ + ณย ปัจจัยในภาวตัทธิต) กิริยาของผู้อาจหาญในการงาน = วีรสฺส กมฺมํ วีริยํ (รีร ศัพท์ + ณฺย ปัจจัยในกัมมตัทธิต) - สภาวะพึ่งให้เกิดขึ้นด้วยวิธี = วิธินา อิรยิตพฺพํ ปวตฺตยิตพฺพนฺติ วิริยํ. (วิธิ บทหน้า + อีร ธาตุ + ณฺย ปัจจัย ทีฆะ อิ ใน วิ เป็น อี) - สภาวะทำให้ขวนขวายเป็นพิเศษ = วิเสเสน อิรนฺติ กมฺปนฺติ ตํสมงฺคิโน เอเตนาติ วิริยํ (วิ บทหน้า + อีร ธาตุ + ณฺย ปัจจัยในกรณสาธนะ)) อนึ่ง สัมปยุตตธรรมที่วิริยะอุปถัมภ์อยู่ย่อมไม่มีการทอดทิ้ง เหมือนเงยศีรษะ ขึ้นจากงาน แต่จะเกิดความอุตสาหะเป็นนิตย์เพื่อความสำเร็จแห่งกิจของตน และเมื่อ สัมปยุตตธรรมดังกล่าวเป็นเช่นนั้น บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยสัมปยุตตธรรมจะมีกายกับจิต ที่ขวนขวายเสมอ เพราะมีประโยชน์เกื้อกูลตนหรือผู้อื่นเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ซื่อ ว่า วิริยะเพราะทำให้ผู้ถึงพร้อมด้วยวิริยะนั้นขวนขวายขึ้น ดังสาธก[ในคัมภีร์อรรถกถา]ว่า ตํ อุปตฺถมฺภนลกฺขณํ ปคฺคหลกฺขณํ อุสฺสาหลกฺขณํ เคหสฺส ถูณูปตฺถมฺภนสทิสํ สมฺมา อารทฺธํ สพฺพสมฺปตฺตีนํ มูลํ." วิริยะมีลักษณะอุปถัมภ์ มีลักษณะเชิดชู มีลักษณะพากเพียร เหมือนการ ค้ำเรือนด้วยเสา เมื่อปรารภด้วยดีย่อมเป็นมูลเหตุของสมบัติทั้งหมด" |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 04:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
ปีติ คือ สภาวะทำกายกับจิตให้เอิบอิ่ม คือให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจ อีกอย่างหนึ่ง ปีติ คือ สภาวะทำความเพลิดเพลินให้เจริญดั่งดอกปทุมที่แย้ม บานดีแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ปีติ คือ สภาวะทำให้ผู้ถึงพร้อมด้วยปิติรุ่งโรจน์ คือ มีกายกับจิต รุ่งโรจน์ดุจพระจันทร์เพ็ญ (คำว่า ปีติ มีความหมาย ๓ ประการ คือ - สภาวะทำกายกับจิตให้เอิบอิ่ม = ปิณยติ กายจิตฺตํ ตปฺเปตีติ ปีติ. (ปี ธาตุ = เอิบอิ่ม + เณ การิตปัจจัย + ติ ปัจจัยในเหตุกัตตุสาธนะ) สภาวะทำความเพลิดเพลินให้เจริญ = ปิณยติ วฑฺเฒตีติ ปีติ (ปี ธาตุ = เจริญ + เณ การิตปัจจัย + ติ ปัจจัยในเหตุกัตตุสาธนะ) - สภาวะทำให้บุคคลรุ่งโรจน์ - ปิณนฺติ เอตายาติ ปีติ. (ปี ธาตุ - รุ่งโรจน์ + ติ ปัจจัยในกรณสาธนะ) ปีติมี ๕ ประเภทตามลำดับของกำลัง คือ ๑. ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วดับไป ทำให้เกิดอาการขนลุก) ๒. ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) [เกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่สองครั้งขึ้นไปแต่อยู่ไม่นาน ทำให้รู้สึกเหมือนเห็นสายฟ้าแลบ] ๓. โอกกันติกาปิติ (ปีติซึมซับ) (เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้รู้สึกว่าอยู่ในกระแส คลื่น หรือมีกระแสไฟฟ้าแล่นอยู่ในร่างกาย] ๔. อุพเพงตาปีติ (ปีติโลดโผน) (เมื่อเกิดขึ้นจะทำให้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดลอยไปได้ หรือรู้สึกว่าตัวลอยพุ่งขึ้นไปในอากาศ ๕. ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) [เกิดขึ้นแล้วจะมีความเย็นแล่นซาบซ่านอยู่ในร่าง กายส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด] |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 06:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
ฉันทะ คือ ความปรารถนา หมายถึง ความต้องการ ความประสงค์ ความมุ่งหมาย ฉันทะมี ๒ ประเภท คือ ตัณหาฉันทะ (ความปรารถนาคือความอยาก) และกัตตุ- กัมยตาฉันทะ (ความปรารถาคือความต้องการจะทำ ในที่นี้หมายเอากัตตุกัมยตาฉันทะ คำว่า กัตตุกามะ คือ ผู้ปรารถนา หมายถึง ผู้ถึงพร้อมด้วยความปรารถนา คำว่า กัตตุกัมยะ คือ ภาวะแห่งผู้ปรารถนา คำว่า กัตตุกัมยตา คือ ภาวะแห่งผู้ความปรารถนานั่นแหละ เหมือนคำว่า เทวตา คือ เทพนั่นแหละ (โดยลง ตา ปัจจัยในอรรถสกัตถ์ที่ไม่มีความหมายใดๆ] คำว่า กัตตุ ในบทนี้ว่า กัตตุกัมยตา ประมวลอรรถของศัพท์ธาตุไว้ทั้งหมด คำว่า กัดตุกัมยตา นี้จึงรวบรวมบทกริยาทั้งหมดโดยนัยว่า กเถตุกัมยตา (ความปรารถนาเพื่อพูด) จินเตตุกัมยตา (ความปรารถนาเพื่อคิด) ทัฏฐุกัมยตา (ความปรารถนาเพื่อเห็น) และ โสตุกัมยตา (ความปรารถนาเพื่อฟัง) เป็นต้น ฉันทะแม้จะเป็นความปรารถนาอารมณ์ ก็มิได้ปรารถนาด้วยความเพลิดเพลิน กำหนัดและผูกพัน แต่ปรารถนาด้วยต้องการจะให้สำเร็จประโยชน์ที่ตนปรารถนา เปรียบ ดั่งนายขมังธนูของพระราชาผู้ต้องการทรัพย์หรือเกียรติยศ ปรารถนาลูกศรจำนวนมากที่ ควรสละไปในการยิงอริราชศัตรู ฉันใด ฉันทะก็มีอุปไมยฉันนั้น ย่อมปรารถนาในสิ่งที่เป็น ทานซึ่งควรสละแก่ผู้อื่นหรือผู้ยังไม่ได้รับ และปรารถนาจะรักษาสิ่งที่ตนได้รับแล้ว แม้ข้อความนี้ก็กล่าวไว้ในคัมภีร์วิภาวนีอีกด้วย ดังสาธกว่า ทานวตฺถุวิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตกาเลปิ เจส วิสฺสชฺชิตพฺเพน เตน อตฺถิโกเยว ขิปิตพฺพอุสูนํ คหเณ อตฺถิโก อิสฺสาโส วิย." "แม้ในกาลที่เป็นไปด้วยการสละสิ่งที่จะให้เป็นทาน ฉันทะนี้ย่อมปรารถนาทาน วัตถุที่ตนควรสละ เหมือนนายขมังธนูที่ต้องการจะรับเอาลูกศรซึ่งจะพึงยิงออกไป" คำว่า วิสฺสชฺซิตพฺเพน (ที่ตนควรสละ) หมายความว่า ควรแก่ความเป็นวัตถุที่พืง สละ กล่าวคือ บุคคลต้องการสิ่งนั้นเพื่อสละแก่ผู้อื่น คำว่า ขิปิตพฺพอุสูนํ คหเณ (รับเอาลูกศรที่จะพึงยิงออกไป) หมายความว่า รับ เอาลูกศรที่ยังไม่มี (ขาดอยู่) ด้วยการสร้างเองหรือด้วยการแสวงหา[เพื่อให้มีไว้ใช้ยิงต่อไป] ในเรื่องนี้ บางท่านอ้างว่า อิสฺสาโส อุสูนิ ขิปิตฺวาปิ ลภมาโน เตหิ อุสูหิ อตฺถิโก เยว (นายขมังธนูแม้ยิงลูกศรไปแล้วก็ยังต้องการลูกศร) ข้อความนั้นไม่สมควร เพราะ ถ้าเป็นอย่างนี้พระสุมังคลาจารย์ก็ควรกล่าวเป็นอดีตกาลว่า ขิปิตอุสูนํ(ลูกศรที่ยิงแล้ว) ดังเช่นพระดำรัสว่า กถิตํ ลปิตํ ตถาคเตน" (พระถาคตได้ตรัสภาษิตแล้ว) แม้คำว่า วิสฺสชฺชิตพฺเพน (ที่ตนควรสละ) ก็เช่นเดียวกัน [คือควรกล่าวเป็น อดีตกาลว่า วิสฺสชฺชิเตน (ที่ตนสละแล้ว)] บางท่านก็อ้างอีกว่า |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 17:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
อิสฺสาโส อุสูหิ อนตฺถิโก ชิปนฺโต น โหติ อตฺติโกเยว สมาโน อญฺญํ อานิสฺสํ อิจฺฉนฺโต ชิปติ - นายขมังธนูหาใช่ไม่ต้องการลูกศรจึงยิงออกไป แต่ทั้งที่ต้องการอยู่ก็ปรารถนา ประโยชน์อื่นจึงยิงออกไป" ข้อความนั้นไม่สมควร เพราะถ้าเป็นตามนี้ พระสุมังคลาจารย์ควรกล่าวว่า เหมือนนายขมังธนูที่ต้องการลูกศรอยู่ ได้ยิงลูกศรออกไปอยู่ มติทั้งสองจึงไม่พึงใสไจ ในข้อนั้น เจตนาอันเกิดก่อน(ปุพเจตนา)ซึ่งเป็นไปโดยการแสวงหาทานวัตถุ เป็นต้นโดยดำริว่าจะให้วัตถุนั้นเป็นทานต่อไป ย่อมจัดว่าเป็นทานซึ่งก็คือการสละทาน วัตถุ ดังนั้น เวลาที่ฉันทะเกิดร่วมกับปุพเจตนาก็เหมือนกับเวลาที่สละทานวัตถุ (เมื่อจำแนกฉันทะตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ฉันทะที่จะให้ทานจัดว่าเป็นทานเหมือนเจตนา ที่เกิดก่อนซึ่งเรียกว่า ปุพเจตนา ไม่จัดว่าเป็นศีลหรือภาวนา) จิตที่ประกอบกับฉันทะ เมื่อรับอารมณ์อยู่ ย่อมรับไว้ดั่งต้องการยิ่งหรือฉกฉวย เอาไปด้วยฉันทะ ดังสาธก(ในคัมภีร์อรรถกถา]ว่า อยํ อารมฺมณคฺคหเณ เจตโล หตฺถปฺปสารณํ วิย." "ฉันทะนี้เหมือนการที่จิตเหยียดมือออกไปรับอารมณ์" ในพากย์นี้ คำว่า เหมือนเหยียดมือ นี้ เป็นคำอนุมานสิ่งที่ไม่มีจริง เพราะจิต ไม่มีมือ พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวอนุมานสิ่งที่ไม่มีจริงให้เหมือนมีจริง เพื่อความปรากฏ แห่งอรรถพิเศษ (การกล่าวสิ่งที่ไม่มีจริงให้เหมือนมีจริง เรียกว่า ตัทธัมมูปจาระ ดังคำว่า กจฉปโลม หนวดเต่า สสวิสาณ = เขากระต่าย เป็นต้น โปรดดู ปรมัตถทีปนี ปริจเฉทที่ ๑ ข้อ ๒] ตามธรรมดาเมื่อฉันทะมีกำลังมาก ย่อมมีกำลังมากกว่าตัณหา ความจริงฉันทะ เป็นอธิบดี (ธรรมที่เป็นใหญ่) และอิทธิบาท (ที่ตั้งแห่งความสำเร็จ) แต่หากในยามฉันทะมี |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ต.ค. 2023, 18:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปกิณณก |
กำลังเสมอกับตัณหาเหล่าสัตว์ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของตัณหา และถูกตัณหาครอบงำแล้ว จักไม่อาจสละทรัพย์สมบัติ ความสุขในราชสมบัติ หรือสมบัติในเทวโลกและพรหมโลก เพื่อออกจากทุกข์ในวัฏฏะได้ คำว่า ปกิณณะ คือ เจตสิกที่มีอยู่กระจัดกระจายในโสภณจิตและอโสภณจิต ปกิณณกะ คือ เจตสิกที่มีอยู่กระจัดกระจายนั้นนั่นแหละ (โดยลง ก ปัจจัยในอรรถ สกัตถ์ ที่ไม่มีความหมายใดๆ] ๔. อัญญสมานะ คือ เจตสิกที่เป็นพวกเดียวกับจิตอื่น อีกอย่างหนึ่ง อัญญสมานะ คือ เจตสิกที่เป็นพวกเดียวแก่จิตอื่น (คำว่า อญฺญสมาน มีความหมาย ๒ ประการ คือ - เจตสิกที่เป็นพวกเดียวกับจิตอื่น - อญฺเญหิ สมานา อญฺญสมานา (ตติยาตัปปุริสสมาส) - เจตสิกที่เป็นพวกเดียวแก่จิตอื่น = อญฺเญสํ สมานา อญฺญสมานา (จตุตถีตัปปุริสสมาส)] ความหมายก็คือ เจตสิกเหล่านี้ประกอบกับโสภณจิตในกาลใด ย่อมเป็นพวก เดียวกับโสภณจิตอื่นยกเว้นอโสภณจิตในกาลนั้น แต่ในกาลใดประกอบกับอโสภณจิต ใน กาลนั้นก็เป็นพวกเดียวกับอโสภณจิตอื่นนอกจากนั้น จบการแสดงข้อความปรมัตถ์ในอัญญสมานราสี |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |