ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64253 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 04:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ | ||
อธิบายวัตถุสังคหะ ๖๔ วัตถุสังคหะ คือ การประมวลจิตและเจตสิกที่มีวัตถุเหล่านั้น โดยจำแนกตาม วัตถุที่ตั้งมีจักขุวัตถุเป็นต้น (๑๑๔) ในคัมภีร์วิภาวนีกล่าวว่า วตฺถุวิภาคโต ตพฺพตฺถุกจิตฺตปริจฺเฉทวเสน จ สงฺคโห วตฺถุสงฺคโห. วัตถุสังคหะ คือ การประมวลด้วยการจำแนกวัตถุและกำหนดจิตที่มีวัตถุเหล่านั้น* ข้อความนั้นไม่งาม วัตถุ คือ ปสาทรูปอันเป็นที่ตั้งของจิตและเจตสิก พึงประกอบบทว่า จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ และ หทัยวัตถุ จักขุวัตถุ คือ จักขุประสาทนั่นแหละ โสตประสาทเป็นต้นชื่อว่า โสตวัตถุ เป็นตันเหมือนกัน ปาฐะนี้เป็นประโยคสังเขป หึงกล่าวว่า เป็นเปยยาลนัยบ้าง อันตทีปกยบ้าง (เปยยาลนัย คือ การละข้อความซึ่งเป็นที่เข้าใจกันได้ อันตทีปกนัย คือ การกล่าวไว้ข้างท้ายครั้งเดียว แต่สามารถติดตามจากคำหลังไปเชื่อม โยงกับข้อความข้างหน้า] บางคนสำคัญว่าเป็นทวันทสมาส ตามมติของท่าน จ ศัพท์[ในคำว่า หทยวตถุ จ] ย่อมไม่สมควร (ตามหลักภาษา ถ้ำเป็นทวันทสมาสก็ไม่จำเป็นต้องมี จ ศัพท์ คัมภีร์นี้จึงไม่เห็นด้วยกับ มตินี้]
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 04:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
บางคนอ้างว่าควรนำคำว่า วตฺถุ และ จ ศัพท์จากบทหลังมาประกอบไว้ในบท หน้า(เป็นรูปว่า จกฺขุวตฺถุ จ โสตวตฺถุ จ ฯเปฯ) ตามมติของท่าน บทสมาสว่า หทยวตฺฤ ย่อมไม่สมควร (ตามปกติบทสมาสมักติดตามไปประกอบกับบทยื่นทั้งบท ไม่คิดตามไปเพียงบางบทใน สมาส คัมภีร์นี้จึงไม่เห็นด้วยกับมตินี้] อาจารย์ท่านอื่นกล่าวว่าเป็นศัพท์อวิภัตติกนิเทศ (อวิภัตติกนิเทศ คือ ศัพท์ที่ถูกแสดงด้วยการไม่ลงวิภัตติ กล่าวคือ ลงวิภัตติแล้วลบไป จึง มีรูปเหมือนยังไม่ลงวิภัตติ หมายความว่า เมื่อควรกล่าวว่า จกฺขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย หทย วตถุ จ ก็กล่าวเป็นรูปไม่ลงวิภัตติว่า จกฺขุ โสต ฆาน ชิวฺหา กาย หทย วตฺถุ จ คัมภีร์นี้ไม่คัดค้านมติ ดังกล่าวนี้ เพราะเมื่อเป็นอวิภัตติกนิเทศ คำว่า วตฺถุ และ จ ศัพท์ก็นำมาในบทหน้าได้ ๖๕. คำว่า คานิ กามโลเก สพฺพานิปิ สพฺภนฺติ (วัตถุเหล่านั้นทั้งหมดย่อมมีได้ในกาม ภูมิ) มีความหมายว่า วัตถุ ๖ อย่างทั้งหมดย่อมมีได้ในกามภูมิเท่านั้น เพราะอัตภาพซึ่ง เกิดจากกรรมอันเนื่องด้วยกามตัณหาพึงมีอินทรีย์บริบูรณ์ หมายความว่า เมื่อจักขุวัตถุ เป็นต้นมีอยู่ การบริโภคใช้สอยรูปเป็นต้นจึงมีได้ ดังนั้น กามตัณหาที่รื่นรมย์ในวัตถุกาม มีรูปเป็นต้นจึงปรารถนาความบริบูรณ์แห่งวัตถุ ๕ มีจักขุวัตถุเป็นต้นเสมอ อำมาตย์ผู้ดูแลกิจทั้งปวงย่อมยังพระราชประสงค์ให้บริบูรณ์เป็นนิตย์ กระทำ พระราชกิจทั้งปวงให้สำเร็จ ฉันใด กามาวจรกรรมก็ยังความปรารถนาของกามตัณหาให้ บริบูรณ์เสมอ ย่อมทำอัตภาพที่มีอินทรีย์บริบูรณ์ให้เกิดขึ้น ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์ ในกามาวจรภูมิซึ่งเกิดจากกรรมอันเนื่องด้วยกามตัณหาจึงมีอินทรีย์บริบูรณ์ ๖๖ วัตถุ ๓ มีฆานประสาทเป็นต้น ย่อมไม่เกิดขึ้นเพื่อความหมดจด(จากกิเลส) เหมือนจักขุทวารและโสตทวารซึ่งเป็นธรรมที่ก่อให้เกิดการเห็นและการสดับยันประเสริฐ นำไปสู่ความหมดจดของเหล่าสัตว์ ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าและสดับพระธรรมเทศนา เป็นต้น ส่วนวัตถุ ๓ เหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นเพื่อบริโภคกามอย่างเดียว จึงไม่เกิดมีในอัตภาพ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 05:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
ของพรหมผู้เกิดจากการเจริญภาวนาที่คลายกำหนัดในกาม ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า รูปโลเก ปน ฆานาทิตฺตยํ นตฺถิ (แต่วัตถุ ๓ มีฆานประสาทเป็นต้นไม่มีในรูปภูมิ) คำนี้หมายถึงปสาทรูป ๓ ส่วนสัณฐานจมูก สิ้น และกายอันเป็นไปพร้อมด้วยที่ ตั้ง (มหาภูตรูป] ย่อมครบถ้วนสมส่วนโดยแท้ ๖๗. คำว่า อรูปโลเก ปน สพฺพานิปิ น สํวิชฺชนฺติ แปลว่า ส่วนในอรูปภูมิ ไม่มีวัตถุ ทั้งปวง (การกล่าวเช่นนี้เพราะไม่มีความเป็นไปแห่งรูปใด ๆ ในหมู่นามธรรมทั้งภายใน และภายนอกในอรูปภูมิที่เกิดจากการเจริญภาวนาอันคลายกำหนัดในรูป ความจริงแล้ว เหล่าสัตว์ผู้บังเกิดในอรูปภูมิมีเพียงลำดับจิตดำรงอยู่ในอากาศถ้วนๆ เท่านั้น ๖๘. นอกจากนี้ ท่านกล่าวว่า ตตฺถ ปญฺจวิญฺญาณธาตุโย (ในบรรดาวัตถุเหล่านั้น วิญญาณธาตุ ๕ ย่อมเป็นไปโดยอาศัยปสาทวัตถุทั้ง ๕ แน่นอนตามลำดับ) เป็นต้น เพื่อ ประมวลจิตในสังคหะนี้โดยจำแนกตามวิญญาณธาตุ ๗ คำว่า ดตฺถ คือ ในบรรดาวัตถุ ๖ เหล่านั้น พึงกระทำรูปวิเคราะห์ว่า ปัญจวิญญาณธาตุหมายถึง ธาตุ คือ ปัญจวิญญาณ เพราะมีสภาพไม่ใช่สัตว์ไม่ไช่ชีวะ แม้บทอื่นก็มีนัยอย่างเดียวกัน ๖๙. มโนธาตุ คือ ธาตุเพียงแต่รู้ เพราะไม่มีหน้าที่รู้พิเศษ โดยแท้จริงแล้ว หน้าที่ ใคร่ครวญและรับรู้เอารมณ์ทางปัญจทวารเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่รู้พิเศษ แต่ปัญจวิญญาณมี หน้าที่รู้พิเศษมากกว่ามโนธาตุเล็กน้อยด้วยการเห็นอย่างประจักษ์เป็นต้น ส่วนจิตที่เหลือ จากปัญจวิญญาณและมโนธาตุ ๓ มีสันตีรณจิตเป็นต้น ไม่ได้มีหน้าที่แค่เพียงรับรู้เหมือน มโนธาตุ และไม่ได้เพียงแต่รู้พิเศษเหมือนปัญจวิญญาณธาตุ แต่ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ เพราะเป็นธาตุรู้อันพิเศษยิ่ง โดยมีรูปวิเคราะห์ว่า จิตชื่อว่า มนะ เพราะมีสภาพรู้ และจิต นั้น ชื่อว่า วิญญาณ เพราะมีสภาพรู้อันพิเศษ เนื่องด้วยประกอบด้วยหน้าที่รู้พิเศษยิ่ง ด้วยความใคร่ครวญสภาวะของอารมณ์เป็นต้น |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 05:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
ความจริงอรรถอันยิ่ง(กว่าปกติของบทที่เป็นคำไวพจน์กัน ย่อมเป็นที่รู้ได้ใน วิเสสนสมาสเหมือนคำว่า ปทฎฺฐานํ (มูลเหตุ, เหตุไกล้) (คำว่า มน และ วิญญาณ เป็นคำไวพจน์กันที่แปลว่า ใจ เมื่อนำมาเชื่อมสมาสเป็นบท กรรมธารยสมาส (วิเสสนสมาส) ว่า มโน จ ตํ วิญฺญานญฺ จาติ มโนวิญฺญาณ ก็ทำไห้มีอรรถอัน ยิ่งกว่าปกติซึ่งในที่นี้ก็คือ รู้พิเศษยิ่ง เหมือนคำว่า ปท กับ ฐาน ที่เป็นคำไวพจน์กันแปลว่า เหตุ แต่ เมื่อมาเชื่อมสมาสกันเป็นรูปว่า ปทฎฐาน ก็มีอรวถว่า เหตุยิ่ง, มูลเหตุ, เหตุใกลั คัมภีร์อนุทีปนียัง แสดงอุทาหรณ์อื่นๆ ว่า ทุกขทุกข = ทุกข์ยิ่ง รูปรูป = รูปที่เปลี่ยนแปลงยิ่ง, รูปที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน ราชราช = พระราชาผู้ยิ่งใหญ่, พระจักรพรรศิวาร เทวเทว = เทพผู้ยิ่งใหญ่, อติเทพ) (๑๑๕) ในคัมภีร์วิภาวนี "กล่าวว่า "มโนวิญญาณ คือ ใจนั่นแหละที่เป็นวิญญาณ อีกอย่างหนึ่ง มโนวิญญาณ คือ วิญญาณแห่งใจ" ในพากย์นั้น คำว่า ใจนั่นแหละที่เป็นวิญญาณ นี้ ย่อมไม่สมควรก่อน เพราะรูป วิเคราะห์อวธารณะ(ที่มีความหมายว่า นั่นแหละ] ในวิเสสนสมาสเป็นต้นว่า ปทฎฺฐาน อัน กระทำพิเศษซึ่งกันและกันและแสดงอรรถอันยิ่ง ไม่ปรากฏและไม่สมควรในคัมภีร์ใด (๑๑๖) แม้คำว่า มนโส วิญฺญาณํ " (วิญญาณแห่งใจ) นี้ ก็ไม่สมควร โดยแท้จริงแล้ว คำว่า มนโส (ใจ) มีความหมายว่า ใจ ที่เรียกว่ามโนธาตุ ๓ ใน เรื่องนั้น สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวงเป็นปัจจัยของกระแสมโนวิญญาณมีสันตีรณจิตเป็นต้น ส่วน ปัญจทวาราวัชชนจิตเมื่อเป็นไปในทวารอื่นภายหลังย่อมเป็นปัจจยุปบัน (ผล) ของกระแส มโนวิญญาณ ดังนั้น คำว่า มโนวิญญาณ จึงมีความหมายว่า วิญญาณอันเกี่ยวเนื่องกับจิต ที่เป็นปัจจัยก่อน และเป็นปัจจยุปบันทางทวารอื่นเป็นที่สุด |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 06:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
อีกอย่างหนึ่ง มนะ คือ วิญญาณทั้งหมดยกเว้นปัญจวิญญาณ เพราะมีหน้าที่รู้ ส่วนปัญจวิญญาณจิตเป็นเพียงจิตที่เป็นไปกับอารมณ์เฉพาะหน้า ไม่มีหน้าที่รู้ จึงชื่อว่า ทัสสนะ (การเห็น) เป็นต้น ในขณะที่ปัญจทวาราวัชชนจิตแม้เกิดจากจิตก็ไม่เป็นปัจจัยแก่ จิต แต่เป็นปัจจัยแก่การเห็นเป็นต้นเท่านั้น ทั้งสัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวงแม้เป็นปัจจัยแก่จิต ก็มิได้เกิดจากจิต แต่เกิดจากการเห็นเป็นต้น ส่วนสันตีรณจิตเป็นต้นย่อมเกิดขึ้นระหว่างจิต ๒ ดวง คือ ดวงที่เกิดก่อนและเกิดหลังสันตีรณจิต ดังนั้นจึงมีความหมายว่า วิญญาณที่ เกี่ยวข้องกับจิตอันเป็นปัจจัยและปัจจยุปบันของตน หากเป็นตามนี้แม้ปัญจวิญญาณก็เป็น วิญญาณที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยและปัจจยุปบันของจิต เพราะเป็นไปในระหว่างมโนธาตุทั้ง ๒ ก็ควรกล่าวว่าเป็นมโนวิญญาณได้ (๑๑๗) ในคัมภีร์ฎีกากล่าวว่า มนโต ชาตํ วิญฺญาณํ " (วิญญาณที่เกิดจากใจ) แม้ คำนั้นก็ไม่สมควรตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ๗๐. พึงประกอบบทว่า จิต ๓๐ ดวงที่เหลือเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ โดยประเภท แห่งสันตีรณจิต [๓] มหาวิปากจิต [๘] ปฏิฆจิตทั้ง ๒ ปฐมมรรคจิต หสนจิต และ รูปาวจรจิต ๑๕ ย่อมเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุเท่านั้น จ ศัพท์[ในคำว่า มโนวิญฺญาณธาตุสงฺขาตา จ] ย่อมยกขึ้นแสดงว่าจิต ๗๖ ดวง ที่เหลือเป็นมโนวิญญาณธาตุ ในที่นี้ (๑๑๘) ในคัมภีร์วิภาวนี "หมายเอาอรรถสัมปิณฑนะ (รวบรวม) แล้วกล่าวว่า "มโนธาตุอย่างเดียวเท่านั้นมิได้เป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุ" ข้อความนั้นไม่สมควร เพราะหากเป็นตามนี้ พระอนุรุทธาจารย์ควรกล่าวว่า อวเสสา จ มโนวิญฺญาณธาตุสงฺขาตา (และจิต ๓๐ ดวงที่เหลือเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ) (จ ศัพท์ในคำว่า มโนวิญฺญาณธาตุสงฺขาตา จ คัมภีร์นี้เห็นว่าทำหน้าที่สัมภาวนา คือ ยกขึ้นแสดง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 07:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
ส่วนคัมภีร์วิภาวนีกล่าวว่า จ ศัพท์ทำหน้าที่สัมปิณฑนะ คือ รวบรวม หมายถึง รวบรวม มโนธาตุที่กล่าวไว้แล้วในประโยคก่อน) (๑๑๙) แม้การประกอบบทในคัมภีร์ฎีกาทั้งหลาย"ว่า "จิต ๓๐ ตวงที่เหลืออันเป็นไป โคยประเภทแห่งสันตีรณจิต...รูปาวจรจิต และ เรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ" ก็ไม่งาม เพราะมีความหมายไม่ชัดเจน ถามว่า : เหตุใดจิตเหล่านั้นจึงเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุอย่างเดียว ตอบว่า : เพราะไม่เกิดในอรูปภูมิ ถามว่า : เหตุใดจึงไม่เกิดในอรูปภูมิ ตอบว่า : ลำดับแรก สันตีรณจิตและมหาวิปากจิตย่อมไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะ ไม่มีทวาร ๕ ทวารและไม่มีกิจของตนในอรูปภูมิ แม้ปฏิฆจิต ๒ ดวงก็ไม่เกิด เพราะไม่มี ปฏิฆะที่มิใช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์ และนิวรณ์จริงก็ไม่เกิดในฌานภูมิ หากไม่มีปฎิฆะที่ไม่ใช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์ พระดำรัสที่ตรัสความดับสนิทแห่ง โทมนัสสินทรีย์ในทุติยฌานที่ปรากฏในพระบาลี(อินทรีย์สังยุต]" และคำที่กล่าวถึงการเกิด โทมนัสสินทรีย์ได้ในอุปจารสมาธิของทุติยฌานที่ปรากฎในคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลาย" ก็ พึงขัดแย้งกัน ดังนั้น อาจารย์บางท่านจึงกล่าวว่า ปฏิฆจิต ๒ ดวงไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะ กามราคะหยาบอันเป็นปัจจัยร่วมกันของตนไม่มีในฌานภูมิ ข้อนี้ย่อมสมควร ส่วนพระฎีกาจารย์ดำริว่า ข้อความที่กล่าวถึงการเกิดโทมนัสสินทรีย์ได้ในอุป จารสมาธิของทุติยฌาน เป็นเพียงแสดงความคาดคะเนเท่านั้น แล้วปรารถนาเหตุแรก" (คือความไม่มีปฏิฆะที่มิใช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์] แต่ถ้าข้อความนั้นแสดงโดยการคาดคะเน แม้พระดำรัสในพระบาลีก็พึงเป็นคำแสดงความคาดคะเน ดังนั้น เหตุหลังจึงสมควร [ นิวรณ์จริงไม่เกิดขึ้นในฌานภูมิ ข้าพเจ้า(พระฎีกาจารย์)มีความเห็นดังนี้ แม้หสนจิตย่อมไม่เกิด[ในอรูปภูมิ] เพราะอรูปพรหมไม่มีกิจในการหัวเราะ หรือ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2023, 10:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีอธิบายวัตถุสังคหะ |
เหตุผลที่ว่า เพราะไม่มีกาย ย่อมสมควร แม้โสดาปัตติมรรคจิตย่อมไม่เกิด เพราะปุถุชน ผู้เกิดในอรูปภูมิไม่อาจจะรู้แจ้งสัจธรรมได้ เนื่องด้วยไม่มีคำแนะนำของผู้อื่น ทั้งพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่เกิดในอรูปภูมิ ดังนั้น ปุถุชนผู้เกิดในอรูปภูมิจึงกล่าวว่าจัดอยู่ ในประเภทผู้ที่ตกอยู่ในขณะไม่เหมาะสมเพื่อการปฏิบัติธรรมในการบรรนิพพาน] ๘ อย่าง (ขณะที่ไม่เหมาะสม (อักขณะ) มี ๘ อย่าง คือ ๑. ขณะเกิดในนรก ๒. เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ๓. เป็นเปรต ๔. เกิดในอสัญญสัตวภูมิหรืออรูปภูมิ ๕. เกิดในปัจจันตชนบทที่ไม่มีศาสนา ๖. เชื่อถือมิจฉาทิฏฐิ ๗. เป็นคนเขลา ๘. เกิดในกาลเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ] แม้รูปาวจรจิตย่อมไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะรูปาวจรจิตซึ่งมีอารมณ์ คือ รูปนิมิต (มีกสิณเป็นต้น)ล่วงพ้นได้ด้วยการเจริญภาวนาอันคลายกำหนัดในรูป ๗๑. พึงประกอบบทว่า จิตที่เหลือ ๔๒ ควงเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ โดยประเภท แห่งกุศลจิต [๑๒ เว้นรูปาวจรกุศลจิต ๕] อกุศลจิต [๑๐ เวันปฏิฆจิต ๒] กิริยาจิต [๑๓ เว้นปัญจทวาราวัชชนจิต หสนจิต และรูปาวจรกิริยาจิต ๕] และ โลกุตตรจิต [๗ เว้น โสดาปัตติมรรค) ย่อมเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุก็ได้ ไม่อาศัยหทัยวัตถุก็ได้ ความหมาย ก็คือ อาศัยหทัยวัตถุในปัญจโวการภูมิ (ภูมิที่มีขันธ์ ๕ ) หรือไม่อาศัยหทัยวัตถุในจตุโวการ- ภูมิ (ภูมิที่มีขันธ์ ๔) พึงกระทำรูปวิเคราะห์ว่า กุสลากุสลกิริยานุตตระ คือ กุศลจิต อกุศลจิต กิริยา- จิต และโลกุตตรจิต ในประโยคนั้น คำว่า กุสลานิ (กุศลจิต) คือ โลกิยกุศลจิต ๑๒ ดวงที่เหลือจาก รูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง คำว่า อกุสลานิ (อกุศลจิต) คือ อกุศลจิต ๑๐ ดวงที่เหลือจากปฏิฆจิต ๒ ดวง คำว่า กฺริยานิ (กิริยาจิต) คือ กิริยาจิต ๑๓ ดวงที่เหลือจากปัญจทวาราวัชชนจิต หสนจิต และ รูปาวจรกิริยาจิต ๕ ดวง คำว่า อนุตฺตรานิ (โลกุตตรจิต) คือ โลกุตตรจิต ๗ ดวงที่เหลือจากปฐมมรรคจิต |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |