ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อธิบายวัตถุสังคหะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64186 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 11:53 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | อธิบายวัตถุสังคหะ | ||
อธิบายวัตถุสังคหะ ๖๔ วัตถุสังคหะ คือ การประมวลจิตและเจตสิกที่มีวัตถุเหล่านั้น โดยจำแนกตาม วัตถุที่ตั้งมีจักขุวัตถุเป็นต้น (๑๑๔) ในคัมภีร์วิภาวนีกล่าวว่า วตฺถุวิภาคโต ตพฺพตฺถุกจิตฺตปริจเฉทวเสน จ สงฺคโห วตฺถุสงคโห. วัตถุสังคหะ คือ การประมวลด้วยการจำแนกวัตถุและกำหนดจิตที่มีวัตถุเหล่านั้น ข้อความนั้นไม่งาม วัตถุ คือ ปสาทรูปอันเป็นที่ตั้งของจิตและเจตสิก พึงประกอบบทว่า จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ และ จักขุวัตถุ คือ จักขุประสาทนั่นแหละ โสตประสาทเป็นต้นชื่อว่า โสตวัตถุ เป็นต้นเหมือนกัน ปาฐะนี้เป็นประโยคสังเขป พึงกล่าวว่า เป็นเปยยาลนัยบ้าง อันตทีปกนัยบ้าง (เปยยาลนัย คือ การละข้อความซึ่งเป็นที่เข้าใจกันได้ อันตทีปกนัย คือ การกล่าวไว้ข้างท้ายครั้งเดียว แต่สามารถติดตามจากคำหลังไปเชื่อม โยงกับข้อความข้างหน้า] บางคนสำคัญว่าเป็นทวันทสมาส คามมติของท่าน จ ศัพท์[ในคำว่า หทยวตฺถุ จ] ย่อมไม่สมควร (ตามหลักภาษา ถ้าเป็นทวันทสมาสก็ไม่จำเป็นต้องมี จ ศัพท์ คัมภีร์นี้จึงไม่เห็นด้วยกับ มตินี้]
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 12:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
บางคนอ้างว่าควรนำคำว่า วตฺถุ และ จ ศัพท์จากบทหลังมาประกอบไว้ในบท หน้า(เป็นรูปว่า จกฺขุวตฺถุ จ โสตวตฺถุ จ ฯเปฯ) ตามมติของท่าน บทสมาสว่า หทยวตฺถุ ย่อมไม่สมควร (ตามปกติบทสมาสมักติดตามไปประกอบกับบทอื่นทั้งบท ไม่ติดตามไปเพียงบางบทใน สมาส คัมภีร์นี้จึงไม่เห็นด้วยกับมตินี้] อาจารย์ท่านอื่นกล่าวว่าเป็น ศัพท์อวิภัตติกนิเทศ (อวิภัตติกนิเทศ คือ ศัพท์ที่ถูกแสดงด้วยการไม่ลงวิภัตติ กล่าวคือ ลงวิภัตติแล้วลบไป จึง มีรูปเหมือนยังไม่ลงวิภัตติ หมายความว่า เมื่อควรกล่าวว่า จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย ททยํ วตฺถุ จ ก็กล่าวเป็นรูปไม่ลงวิภัตติว่า จกฺขุ โสต ฆานํ ชิวฺหา กาโย หทยํ วตฺถุ จ คัมภีร์นี้ไม่คัดค้านมติ ดังกล่าวนี้ เพราะเมื่อเป็นอวิภัตติกนิเทศ คำว่า วตฺถุ และ จ ศัพท์ก็นำมาในบทหน้าได้] ๖๕. คำว่า ตานิ กามโลเก สพฺพานิปิ ลพฺภนฺติ (วัตถุเหล่านั้นทั้งหมดย่อมมีได้ในกาม ภูมิ) มีความหมายว่า วัตถุ ๖ อย่างทั้งหมดย่อมมีได้ในกามภูมิเท่านั้น เพราะอัตภาพซึ่ง เกิดจากกรรมอันเนื่องด้วยกามตัณหาพืงมีอินทรีย์บริบูรณ์ หมายความว่า เมื่อจักขุวัตถุ เป็นตันมีอยู่ การบริโภคใช้สอยรูปเป็นตันจึงมีใด้ ดังนั้น กามตัณหาที่รี่นรมย์ในวัตถุกาม มีรูปเป็นตันจึงปรารถนาความบริบูรณ์แห่งวัตถุ ๕ มีจักขุวัตถุเป็นต้นเสมอ อำมาตย์ผู้ดูแลกิจทั้งปวงย่อมยังพระราชประสงค์ให้บริบูรณ์เป็นนิตย์ กระทำ พระราชกิจทั้งปวงให้สำเร็จ ฉันใด กามาวจรกรรมก็ยังความปรารถาของกามตัณหาให้ บริบูรณ์เสมอ ย่อมทำอัตภาพที่มีอินทรีย์บริบูรณ์ให้เกิดขึ้น ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์ ในกามาวจรภูมิซึ่งเกิดจากกรรมอันเนื่องด้วยกามตัณหาจึงมีอินทรีย์บริบูรณ์ ๖๖.วัตถุ ๓ มีฆานประสาทเป็นตัน ย่อมไม่เกิดขึ้นเพื่อความหมดจด(จากกิเลส] เหมือนจักขุทวารและโสตทวารซึ่งเป็นธรรมที่ก่อให้เกิดการเห็นและการสดับอันประเสริฐ นำไปสู่ความหมดจดของเหล่าสัตว์ ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าและสดับพระธรรมเทศนา เป็นตัน ส่วนวัตถุ ๓ เหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นเพื่อบริโภคกามอย่างเดียว จึงไม่เกิดมีในอัตภาพ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 13:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
ของพรหมผู้เกิดจากการเจริญภาวนาที่คลายทำหนัดในกาม ฉะะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า รูปโลเก ปน ฆานาทิตฺตยํ นตฺถิ (แต่วัตถุ ๓ มีนานประสาทเป็นตันไม่มีในรูปภูมิ) คำนี้หมายถึงปสาทรูป ๓ ส่วนสัณฐานจมูก ลิ้น และกายอันเป็นไปพร้อมด้วยที่ ตั้ง (มหาภูตรูป] ย่อมครบถ้วนสมส่วนโดยแท้ ๖๙. คำว่า อรูปโลเก ปน สพฺพานิบิ น สํวิชฺชนฺติ แปลว่า ส่วนในอรูปภูมิ ไม่มีวัตถุ ทั้งปวง (การกล่าวเช่นนี้เพราะไม่มีความเป็นไปแห่งรูปใด ๆ ในหมู่นามธรรมทั้งภายใน และภายนอกในอรูปภูมิที่เกิดจากการเจริญภาวนาอันคลายกำหนัดในรูป ความจริงแล้ว เหล่าสัตว์ผู้บังเกิดในอรูปภูมิมีเพียงลำดับจิตดำรงอยู่ในอากาศล้วนๆ เท่านั้น ๖๘. นอกจากนี้ ท่านกล่าวว่า ตตฺถ ปญฺจวิญฺญาณธาตุโย (ในบรรดาวัตถุเหล่านั้น วิญญาณธาตุ ๕ ย่อมเป็นไปโดยอาศัยปสาทวัตถุทั้ง ๕ แน่นอนตามลำคับ) เป็นต้น เพื่อ ประมวลจิตในสังคหะนี้โดยจำแนกตามวิญญาณธาตุ ๗ คำว่า ตตฺถ คือ ในบรรดาวัตถุ ๖ เหล่านั้น พึงกระทำรูปวิเคราะห์ว่า ปัญจวิญญาณธาตุหมายถึง ธาตุ คือ ปัญจวิญญาณ เพราะมีสภาพไม่ไช่สัตว์ไม่ใช่ชีวะ แม้บทอื่นก็มีนัยอย่างเดียวกัน ๖๙. มโนธาตุ คือ ธาตุเพียงแต่รู้ เพราะไม่มีหน้าที่รู้พิเศษ โดยแท้จริงแล้ว หน้าที่ ใคร่ครวญและรับรู้เอารมณ์ทางปัญจทวารเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่รู้พิเศษ แต่ปัญจวิญญาณมี หน้าที่รู้พิเศษมากกว่ามโนธาตุเล็กน้อยด้วยการเห็นอย่างประจักษ์เป็นต้น ส่วนจิตที่เหลือ จากปัญจวิญญาณและมโนธาตุ ๓ มีสันตีรณจิตเป็นต้น ไม่ได้มีหน้าที่แค่เพียงรับรู้เหมือ มโนธาตุ และไม่ได้เพียงแต่รู้พิเศษเหมือนปัญจวิญญาณธาตุ แต่ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ เพราะเป็นธาตุรู้อันพิเศษยิ่ง โดยมีรูปวิเคราะห์ว่า จิตชื่อว่า มนะ เพราะมีสภาพรู้ และจิต นั้น ชื่อว่า วิญญาณ เพราะมีสภาพรู้อันพิเศษ เนื่องด้วยประกอบด้วยหน้าที่รู้พิเศษย์ ด้วยความใคร่ครวญสภาวะของอารมณ์เป็นต้น |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 14:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
ความจริงอรรถอันยิ่ง(กว่าปกติของบทที่เป็นคำไวพจน์กัน ย่อมเป็นที่รู้ใด้ใน วิเสสนสมาสเหมือนคำว่า ปทฎฺฐานํ (มูลเหตุ, เหตุใกล้) คำว่า มน และ วิญฺญาณ เป็นคำไวพจน์กันที่แปลว่า ใจ เมื่อนำมาเชื่อมสมาสกับบท กรรมธารยสมาส (วิเสสนสมาส) ว่า มโน จ ตํ วิญฺญาณฺจาติ มโนวิญฺญาณํ ก็ทำให้มีอรรถอัน ยิ่งกว่าปกติซึ่งในที่นี้ก็คือ รู้พิเศษยิ่ง เหมือนคำว่า ปท กับ ฐาน ที่เป็นคำไวพงน์กันแปลว่า เหตุ แต่ เมื่อมาเชื่อมสมาสกันเป็นรูปว่า ปทฏฺฐาน ก็มือรรถว่า เหตุยิ่ง มูลเหตุ, เหตุใกลั คัมภีร์อนุที่ปนียัง แสดงอุทาหรณ์อื่นๆ ว่า ทุกขทุกข = ทุกข์ยิ่ง รูปรูป = รูปที่เปลี่ยนแปลงยิ่ง, รูปที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน ราชราช = พระราชาผู้ยิ่งใหญ่, พระจักรพรรดิราช เทวเทว = เทพผู้ยิ่งใหญ่, อติเทพ] (๑๒๕) ในคัมภีร์วิภาวนี "กล่าวว่า มโนวิญญาณ คือ ใจนั่นแหละที่เป็นวิญญาณ อีกอย่างหนึ่ง มโนวิญญาณ คือ วิญญาณแห่งใจ" ในพากย์นั้น คำว่า ใจนั่นแหละที่เป็นวิญญาณ นี้ ย่อมไม่สมควรก่อน เพราะรูป วิเคราะห์อวธารณะ!ที่มีความหมายว่า นั่นแหละ] ในวิเสสนสมาสเป็นต้นว่า ปทฏฺฐาน อัน กระทำพิเศษซึ่งกันและกันและแสคงอรรถอันยิ่ง ไม่ปรากฏและไม่สมควรในคัมภีร์ใด (๑๑๖) แม้คำว่า มนโส วิญฺญาณํ " (วิญญาณแห่งใจ) นี้ ก็ไม่สมควร โดยแท้จริงแล้ว คำว่า มนโส (ใจ) มีความหมายว่า ใจ ที่เรียกว่ามโนธาตุ ๓ ใน เรื่องนั้น สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวงเป็นปัจจัยของกระแสมโนวิญญาณมีสันตีรณจิตเป็นต้น ส่วน ปัญจทวารวัชชนจิตเมื่อเป็นไปในทวารอื่นภายหลังย่อมเป็นปัจจยุปบัน (ผล) ของกระแส มโนวิญญาณ ดังนั้น คำว่า มโนวิญญาณ จึงมีความหมายว่า วิญญาณอันเกี่ยวเนื่องกับจิต ที่เป็นปัจจัยก่อน และเป็นปัจจยุปบันทางทวารอื่นเป็นที่สุด |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 16:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
อีกอย่างหนึ่ง มนะ คือ วิญญาณทั้งหมดยกเวันปัญจวิญญาณ เพราะมีหน้าที่รู้ ส่วนปัญจวิญญาณจิตเป็นเพียงจิตที่เป็นไปกับอารมณ์เฉพาะหน้าไม่มีหน้าทีรู้] จึงชื่อว่า ทัสสนะ (การเห็น) เป็นต้น ในขณะที่ปัญจหวาราวัชชนจิตแม้เกิดจากจิตก็ไม่เป็นปัจจัยแก่จิต แต่เป็นปัจจัยแก่การเห็นเป็นต้นเท่านั้น ทั้งส้มปฏิจณนจิต ๒ ดวงแม้เป็นปัจจัยแก่จิต ก็มีได้เกิดจากจิต แต่เกิดจากการเห็นเป็นตัน ส่วนสันตีรณจิตเป็นต้นย่อมเกิดขึ้นระหว่างจิต ๒ ดวง คือ ดวงที่เกิดก่อนและเกิดหลังสันตีรณจิต ดังนั้นจึงมีความหมายว่า วิญญาณที่ เกี่ยวข้องกับจิตอันเป็นปัจจัยและปัจยุปบันของตน หากเป็นตามนี้แม้ปัญจวิญญาณก็เป็น วิญญาณที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยและปัจยุปบันของจิต เพราะเป็นไปในระหว่างมโนธาตุทั้ง ๒ ก็ควรกล่าวว่าเป็นมโนวิญญาณได้ (๑๑๗) ในคัมภีร์ฎีกากล่าวว่า มนโต ชาตํ วิญญานํ " (วิญญาณที่เกิดจากใจ) แม้ คำนั้นก็ไม่สมควรตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ๗๐. พึ่งประกอบบหว่า จิต ๓๐ ดวงที่เหลือเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ โดยประเภท แห่งสันตีรณจิต (๓] มหาวิปากจิต (๘] ปฏิฆจิตทั้ง ๒ ปฐมมรรคจิต หสนจิต รูปาวจรจิต ๑๕ ย่อมเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุเท่านั้น จ ศัพท์ในคำว่า มโนวิญญาณธาตุสฺงขาตา จ] ย่อมยกขึ้นแสดงว่าจิต ๗๖ ดวง ที่เหลือเป็นมโนวิญญาณธาตุ ในที่นี้ (๑๑๘) ในคัมภีร์ภาวนี "หมายเอาอรรถสัมปัณฑนะ (รวบรวม) แล้วกล่าวว่า มโนธาตุอย่างเดียวเท่านั้นมิได้เป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุ" ข้อความนั้นไม่สมควร เพราะหากเป็นตามนี้ พระอนุรุทธาจารย์ควรกล่าวว่า อวเสสา จ มโนวิญญาณธาตุสงฺขาตา (และจิด ๓๐ ดวงที่เหลืึอเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ) (จ ศัพท์ในคำว่า มโนวิญญาณธาตุสงฺขาตา จ คัมภีร์นี้เห็นว่า ทำหน้าที่เป็น คือ ยกขึ้นแสดง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 17:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
ส่วนคัมภีรีวิภาวนีกล่าวว่า จ ศัพท์ทำหน้าที่สัมปิณฑนะ คือ รวบรวม หมายถึง รวบรวม มโนธาตุที่กล่าวไว้แล้วในประโยคก่อน) (๑๑๙) แม้การประกอบบทในคัมภีร์ฎีกาทั้งหลาย"ว่า *จิต ๓๐ ดวงที่เหลืออันเป็นไป โดยประเภทแห่งสันตีรณจิต...รูปาวจรจิต และ เรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ" ก็ไม่งาม เพราะมีความหมายไม่ชัดเจน ถามว่า : เหตุใดจิตเหล่านั้นจึงเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุอย่างเดียว ตอบว่า : เพราะไม่เกิดในอรูปภูมิ ถามว่า : เหตุใดจึงไม่เกิดในอรูปภูมิ ตอบว่า : ลำดับแรก สันตีรณจิตและมหาวิปากจิตย่อมไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะ ไม่มีทวาร ๕ ทวารและไม่มีกิจของตนในอรูปภูมิ แม้ปฏิฆจิต ๒ ดวงก็ไม่เกิด เพราะไม่มี ปฏิฆะที่มิใช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์ และนิวรณ์จริงก็ไม่เกิดในฌานภูมิ หากไม่มีปฏิมะที่ไม่ใช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์ พระดำรัสที่ตรัสความดับสนิทแห่ง โทมนัสสินทรีย์ในทุติยฌานที่ปรากฏในพระบาลี(อินทรีย์สังยุต) " และคำกล่าวถึงการเกิด โทมนัสสินทรีย์ได้ในอุปจารสมาธิของทุติยฌานที่ปรากฎในคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลาย" ก็ พึงขัดแย้งกัน ดังนั้น อาจารย์บางท่านจึงกล่าวว่า ปฏิฆจิต ๒ ดวงไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะ กามราคะหยาบอันเป็นปัจจัยร่วมกันของตนไม่มีในฌานภูมิ ข้อนี้ย่อมสมควร ส่วนพระฎีกาจารย์ดำริว่า ข้อความที่กล่าวถึงการเกิดโทมนัสสินทรีย์ได้ในอุป- จารสมาธิของทุติยฌาน เป็นเพียงแสดงความคาดคะเนเท่านั้น แล้วปรารถนาเหตุแรก" (คือความไม่มีปฏิมะที่มิช่ระยะกาลแห่งนิวรณ์] แต่ถ้าข้อดวามนั้นแสดงโดยการดาดคะเน แม้พระดำรัสในพระบาลีก็พึงเป็นคำแสดงความคาดคะเน ดังนั้น เหตุหลังจึงสมควร [คือ นิวรณ์จริงไม่เกิดขึ้นในฌานภูมิ ข้าพเจ้า(พระฎีกาจารย์)มีความเห็นดังนี้ แม้หสนจิตย่อมไม่เกิด(ในอรูปภูมิ] เพราะอรูปพรหมไม่มีกิจในการหัวเราะ หรือ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 18:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
เหตุผลที่ว่า เพราะไม่มีกาย ย่อมสมควร แม้โสตาปัตติมรรคจิตย่อมไม่เกิด เพราะปุถุชน ผู้เกิดในอรูปภูมิไม่อาจจะรู้ แจ้งสัจธรรมได้ เนื่องด้วยไม่มีคำ แนะนำของผู้อื่น ทั้งพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่เกิดในอรูปภูมิ ดังนั้น ปุถุชนรู้เกิดในอรูปภูมิจึงกล่าวว่าจัดอยู่ ในประเภทผู้ที่ตกอยู่ในขณะไม่เหมาะสม(เพื่อการปฏิบัติธรรมในการบรรลุนิพพาน] ๘ อย่าง (ขณะที่ไม่เหมาะสม (อักขณะ) มี ๘ อย่าง คือ ๑.ขณะเกิดในนรก ๒. เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ๓.เป็นเปรต ๔.เกิดในอสัญญสัตวภูมิหรืออรูปภูมิ ๕. เกิดในปัจจันตชนบทที่ไม่มีศาสนา ๖.เชื่อถือมิจฉาทิฏฐิ ๗. เป็นคนเขลา ๘. เกิดในกาลเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ] แม้รูปาวจรจิตย่อมไม่เกิดในอรูปภูมิ เพราะรูปาวจวจิตซึ่งมีอารมณ์ คือ รูปนิมิต (มีกสิณเป็นต้น]ล่วงพ้นได้ด้วยการเจริญภาวนาอันคลายกำหนัดในรูป ๗๑. พึงประกอบบทว่า จิตที่เหลือ ๔๒ ควงเรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ โดยประเภท แห่งกุศลจิต [๑๒ เว้นรูปาวจรกุศลจิต ๕] อกุศลจิต [๑๐ เว้นปฏินจิต ๒] กิริยาจิต [๑๓ เว้นปัญจทวาราวัชชนจิต หสนจิต และรูปาวจรกิริยาจิด ๕] และ โลกุตตรจิต [๗ เว้น โสดาปัตติมรรค] ย่อมเป็นไปโดยอาศัยหทัยวัตถุก็ได้ ไม่อาศัยหทัยวัตถุก็ได้ ความหมาย ก็คือ อาศัยหทัยวัตถุในปัญจโวการภูมิ (ภูมิที่มีขันธ์ ๕ ) หรือไม่อาศัยหทัยวัตถุในจตุโวการ- ภูมิ (ภูมิที่มีขันธ์ ๔) พึงกระทำรูปวิเคราะห์ว่า กุสลากุสลกิริยานุตตระ คือ กุศลจิต อกุศลจิต กิริยา- จิต และโลกุตตรจิต ในประโยคนั้น คำว่า กุสลานิ (กุศลจิต) คือ โลกิยกุศลจิต ๑๒ ดวงที่เหลือจาก รูปาวจรกุศลจิต ๕ ควง คำว่า อกุสลานิ (อกุศลจิต) คือ อกุศลจิต ๑๐ ดวงที่เหลือจากปฏิฆจิต ๒ ดวง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ก.ย. 2023, 18:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบายวัตถุสังคหะ |
คำว่า กริยานิ (กิริยาจิต) คือ กิริยาจิต ๑๓ ดวงที่เหลือจากปัญจทวาราวัชชนจิต หสนจิต และ รูปาวจรกิริยาจิต ๕ ดวง คำว่า อนุตฺตรานิ (โลกุตตรจิต) คือ โลกุตตรจิต ๗ ควงที่เหลือจากปฐมมรรคจิต อธิบายคาถาสรุป ๗๓. พึงประกอบบทว่า วิญญาณธาตุในกามภูมิ ๗ ดวง อาศัยวัตถุ ๖, วิญญาณธาตุ ๔ ควงในรูปภูมิ อาศัยวัตถุ ๓ ส่วนวิญญาณธาตุในอรูปภูมิ ไม่อาศัยวัตถุใดๆ ๗๔. คำว่า เตจตฺตาลีส (จิต ๔๓ ควง) หมายถึง จิต ๓๐ ดวงมีสันตีรณจิตเป็นต้น พร้อมด้วยปัญจวิญญาณและมโนธาตุ ๓ จบการแสดงข้อความปรมัตล์แห่งปกิณณกสังคนะ ในคัมภีร์ชื่อปรมัตถทีปนีอันเป็นอรรถาธิบายฉบับที่ ๔ ของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ด้วยประการฉะนี้ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |