วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 14:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2023, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_9285-0-removebg-preview.png
IMG_9285-0-removebg-preview.png [ 187.72 KiB | เปิดดู 1006 ครั้ง ]
ไม่ต้องการไม่ว่าจะตายหรือจะอยู่

คาถาข้างล่างนี้เป็นคำกล่าวของพระอรหันต์หลังจาก
อรหัตตผลแล้ว โดยพระสังกิจจเถระได้กล่าวว่า

นาภินนฺทามิ มรณํ นาภินนฺทามิ ชีวิตํ
กาลญฺจ ปฏิกงฺขามิ นิพฺพิสํ ภตโก ยถา."

"ฉันไม่ได้ยินดีความตาย ไม่เพลิตเพลิน
ความเป็นอยู่ และรอเวลาอยู่ เหมือนลูกจ้าง
รอรับค่าจ้าง"
บุคคลที่ไม่เชื่อว่านิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง มักพูดเชิง
ลบหลู่ว่า แม้คนที่กล่าวสรรเสริญนิพพานนั้น แท้จริงก็คงไม่แน่ใจ
ว่านิพพานมีจริง เพราะคนที่ชื่อว่าทำดีแล้วจะได้ไปเกิดในเทวโลก
จริง หรือได้บรรลุนิพพานเมื่อตายจากโลกนี้อย่างนั้นจริง ทำไมจึง
ไม่ฆ่าตัวตายเพื่อจะได้ไปเสวยสุขในสวรรค์หรือเพื่อบรรลุนิพพานให้
เร็วที่สุดเล่า ต้องเป็นเพราะไม่มีใครกล้าละทิ้งชีวิตในโลกนี้ เพื่อไป
รับความสุขในโลกหน้า แสดงว่า ไม่มีสักคนที่เชื่อจริงตามคำสอน
ของตนเองเลย

การวิจารณ์อย่างดูหมื่นดูแคลนเช่นนี้เกิดจากความเข้าใจ
ที่ผิดเพราะพระอรหันต์ไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่า เป็น
ความสุขในภพหน้า แท้ที่จริงแล้วพระอรหันต์ไม่ปรารถนาความ
ตายหรือความมีชีวิต เพราะท่านไม่มีโทสะที่ต้องการจะทำลายขันธ์
และไม่มีตัณหาที่ต้องการความสุข แต่เป็นเสมือนคนรับจ้างตามที่
ได้กล่าวไว้ในคาถาข้างต้น คนรับจ้างทั่วไปต้องทำงานด้วยความ
จำเป็นต้องหาเลี้ยงปากท้อง หาไช่เพราะผูกพันรักงานที่ตนทำจึง
กลัวที่จะตกงาน และพยายามทำงานอย่างระมัดระวังเพื่อรอคอย
เวลารับค่าจ้าง พระอรหันต์ก็เช่นกัน ท่านไม่มีความผูกพันหรือ
ความพอใจในความตายหรือความเป็น หากแต่รอคอยเวลาดับขันธ์
ปรินิพพาน ซึ่งจะเป็นเวลาที่ท่านจะสามารถปลงและละวางภาระ
หนักที่แบกไว้ลงได้ จะเห็นได้ว่า คำว่า นิพฺพิสํ (ค่าจ้าง) คือ ผล
ตอบแทนในการทำงานของลูกจ้าง ซึ่งเปรียบเหมือนการดับขันธ์
ของตนเองเลย
ในภพสุดท้าย"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2023, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




tumblr_ozvo9vHXup1wtg8hyo1_500.png
tumblr_ozvo9vHXup1wtg8hyo1_500.png [ 256.58 KiB | เปิดดู 1001 ครั้ง ]
พระอรหันต์เห็นว่า
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระที่หนักยิ่ง เพราะร่างกายเป็น
คอยดูแล บำรุงรักษา ปรนเปรอด้วยอาหาร ด้วยเครื่องนุ่งห่ม และ
ด้วยอารมณ์ที่น่าปรารถนา ต้องบริหารให้สุขสบายด้วยการเปลี่ยน
อิรืยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอนเป็นตัน และยังต้องหายใจเพื่อจะมีชีวิต
อยู่ใด้ เหตุนี้ร่างกายจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาไจไส่อยู่ตลอดเวลา
พระอรหันต์จึงเห็นว่าเป็นภาระที่หนักยิ่ง

ในชาติสุดท้ายของพระอรหันต์ (ช่วงเวลาก่อนเข้านิพพาน)
ท่านต้องแบกรับภาระของขันธ์ ๕ เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา
ขณะที่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น นับตั้งแต่บัตนั้นเป็นตันมาสังขารก็เป็น
ปัจจัยให้เกิดรูปนามต่อเนื่องกันมาไม่ขาดสาย การเกิดไหม่เป็นผล
มาจากกรรมและกิเลสที่มีมาจากอดีตชาติ ดังนั้น ความเป็นอยู่ใน
ชาติปัจจุบันของท่านจึงเป็นผลของขันธ์ ๕ ในอดีตกาล ซึ่งเกิดจาก
กรรมและกิเลสในอดีต ยิ่งขุดคันลึกลงไปเพียงใดก็จะเห็นว่ามึแต่
เพียงการเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ ต่อเนื่องกันไปอย่างไมมีจบสิ้น เราจึง
ไม่อาจรู้ได้ว่าภพชาติเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร

ข้อนี้ไม่มีอะไรต่างจากปัญหาไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน หรือ
ปัญหาเมล็ดมะม่วงกับตันมะม่วง แมไก่ออกไข่แล้วฟักเป็นลูกไก่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2023, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




PhotoRoom-20230421_180725.png
PhotoRoom-20230421_180725.png [ 56.78 KiB | เปิดดู 1002 ครั้ง ]
มาลูกไก่โตขึ้นก็เป็นแม่ไก่ออกไข่อีก หมุนเวียนไปอย่างนี้ไม่รู้จัก
จบสิ้น ไม่สามารถกสาวได้ว่าอะไรเป็นเหตุกะไรเป็นผล ในกรณีของ
เมล็ดมะม่วงกับตันมะม่วงก็ทำนองเตียวกันนี้

เรื่องแม่ไก่และดันมะม่วงอาจมีมาแต่ดึกดำบรรพั ตั้งแต่
สมัยสร้างโลก แต่รูปนามขันธ์ ๕ นั้นไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมไหน
ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร สำหรับพระอาหันต์
แล้ว เนื่องจากท่านได้แบกรูปนามขันธ์ ๕ มาเป็นเวลานานจนไม่
อาจที่จะประมาณได้ ท่านจึงมีความปรารถนาเพียงเพื่อรอคอยเวลา
บรินิพพาน เพื่อจะได้ปลงขันธ์ ๕ อันเป็นการะหนักยิ่งที่ต้องแบกไว้
ลงจากบ่า
ปุถุชนที่ถูกกิเลสดรอบงำบงการนั้น ต้องทนแบกภาระหนัก
ของขันธ์ ๕ ตั้งแต่จุติจิตในภพก่อนซึ่งเชื่อมต่อกับปฏิสนธิจิตใน
ภพใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าในสังสารวัฏที่ยาวนาน ยิ่งสังสารวัฏยืดยาว
ออกไปเท่าไรภาระหนักนี้ก็ยิ่งเพิ่มความหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับ
พระอรหันต์นั้นเนื่องจากท่านหมดตัณหาไนภพแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่ง
ตัณหาที่แห้งไปทำให้ภพใหม่ไม่มีการเกิดขึ้นอีก ภาระหนักจึงวางลง
ได้ นี้เป็นยอดปรารถนาของพระอรหันต์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร