ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความรู้สึกเบื่อหน่าย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=63594 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 เม.ย. 2023, 11:17 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ความรู้สึกเบื่อหน่าย | ||
ความรู้สึกเบื่อหน่าย ปัญญาที่รู้เห็นว่าสังขารน่าเบื่อหน่ายเรียกว่า นิพพิทาญาณ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค"* อุปมาว่าเหมือนชาวบ้านที่ใช้สุ่มจับปลา พอล้วงมือเข้าไปหยิบออกมา จึงเห็นว่าได้จับเอางูพิษที่มีลายรอบ คอสามวง เขาทั้งตกใจและทั้งขยะแขยงงที่จับอยู่ จึงเหวี่ยงงูไปรอบ ศีรษะ ๓ ครั้ง แล้วเหวี่ยงทิ้งไปอย่างสุดกำลัง ผู้ที่เห็นรูปขันธ์และนามขันธ์ว่าเป็นสิ่งน่าปรารถนาก็เปรียบ ได้กับชาวบ้านที่จับปลาไว้ด้วยมือ ย่อมรู้สึกยินดีในเมื่อยังไม่รู้ว่า สิ่งที่ลัวงจับอยู่นั้นเป็นงู แต่พอเห็นชัดว่าเป็นงูพิษที่มีลายรอบคอ สามวงเขาย่อมตกใจกลัวอย่างมาก เหมือนกับขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรม กำหนดรู้การเกิดตับของขันธ์ ๕ อยู่ก็เช่นกัน จะสังเกตเห็นสามัญญ- ลักษณะ ๓ ประการคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของ อารมณ์ที่กำหนด แล้วจึงเกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแตาง เป็นสิ่งมีโทษน่าเบื่อหน่าย ปุถุชนส่วนมากมักจะไม่เห็นว่าร่างกาที่ ประกอบด้วยขันธ์ ๕ นี้เป็นเหมือนงูพิษ และถึงแม้จะรู้ตามตำรา แล้วก็ยังไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายตน เพราะเป็นความ รู้อย่างผิวเผิน เขาจำเป็นต้องเห็นแจ้งในความจริงแท้ขั้นปรมัตถ์ว่า รูปนามของมนุษย์คือทุกข์ จึงจะสามารถสลัดทิ้งความพอใจสังขาร ไปได้ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องเห็นรูปและนามตามความเป็นจริงด้วย วิปัสสนาญาณเท่านั้นจึงจะเกิดความรังเกียจและมีความเห็นว่าความ ยึดมั่นทั้งปวงไม่มีประโยชน์และว่างเปล่าหาสาระไม่ได้ จนในที่สุด จะเกิดความไม่ใส่ใจต่อการเกิดดับของสังขารซึ่งต่อไปจะพัฒนาเป็น สังขารุเปกขาญาณ (ปัญญาที่เป็นกลางในสังขารทั้งปวง) ในช่วงแรก ของการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ จึงจะสามารถก้าวผ่านมาถึงขั้นนี้ ในระยะต่อมาความเป็นกลางจะ พัฒนาเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติในเวลาที่ตั้งสติระลึกรู้การเกิดตับของ สังขาร เมื่อบรรลุสังขารุเปกขาญาณก็สามารถรับรู้สภาวธรรมได้ใน ทันที แต่ไม่มีการตอบสนองต่อสภาวธรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่า ปรารณาหรือไม่ก็ตาม และไม่ยึดมั่นเมื่อได้รับอารมณ์ที่น่าพอใจ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 เม.ย. 2023, 11:36 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรู้สึกเบื่อหน่าย | ||
ไม่รู้สึกขัดเคืองเมื่อได้รับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ อุเบกขาที่พัฒนาถึง ขั้นนี้จะคล้ายกับอุเบกขาของพระอรหันต์ เมื่อปฏิบัติจนก้าวหน้าถึง ระดับนี้ ในบางครั้งแม้จะตั้งใจคิดฟุ้งซ่านก็ไม่อาจคิดฟุ้งซ่านได้เลย เพราะจิตจะสงบนิ่งอยู่ในอารมณ์ปัจจุบันเหมือนถูกดูดเข้าสู่มิติแห่ง ความสงบ ผู้ที่ปฏิบัติจนถึงระดับนี้จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติชอบ (สมุมา- ปฏิปนฺโน) ซึ่งกำลังจะบรรลุมรรคผลต่อไป หากปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้อง จะมีความก้าวหน้าจากสังขารุ เปกขาญาณไปสู่อนุโลมญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่ปรับตัวให้คลัอยตาม การตรัสรู้อริยสัจต่อไป สันติสุขจะเกิดขึ้นเมื่อสามารถสลัดทิ้งสภาวะ ที่มีการเกิดไปสู่สภาวะที่ไม่มีการเกิด นั่นคือภาวะที่กระแสรูปนาม ทั้งหมดดับสูญไป มีเพียงมรรคจิตและผลจิตที่หยั่งเห็นสภาวะดับ ของรูปนามอันประจักษ์อยู่ในขณะนั้น อันที่จริงแล้วนิพพานไม่ใช่ งที่บุคคลสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะประจักษ์ชัดเจนได้ด้วย ตาปัญญาภายในเมื่อสภาวธรรมทั้งหลายดับลง นิพพานเป็นความดับของราคะ โทสะ และโมหะ ตามพระ- นาลีที่นำมาอ้างแล้วว่า ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย" (ความ สิ้นไปแห่งราคะ โทสะ และโมหะ) จึงเป็นสภาพที่ตรงข้ามกับกิเลส และยังเป็นสภาพที่ตรงข้ามกับสังขารเพราะเป็นความดับของสังขาร เหล่านั้น ซึ่งคลัอยตามพระบาลีว่า สงฺขารนิโรโธ" (สังขารจึงดับ), วิสงฺขารํ (สภาพที่ปราศจากสังขาร) ดังนั้น เมื่ออธิบายลักษณะ ของนิพพานจึงจำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับกิเลสและสังขาร ว่าเป็นความดับของทั้งสองอย่างเหล่านั้น
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |