วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 05:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2023, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว




png_yoga_61427.png
png_yoga_61427.png [ 254.07 KiB | เปิดดู 973 ครั้ง ]
คำอธิบายวิธีเจริญทิพพจักขุญาณ

[๔๐๒) กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญเพียรต้องการจะเห็นตามที่ก ล่าวมานี้ พึงทำปาทกฌานอันเป็น
พื้นฐานของอภิญญาที่มีกสิณเปินอารมณ์ ในกสิณ ๘ อย่าง"* ให้ควรแก่การน้อมนำจิตโดย
ประการทั้งปวง (คือ การฝึกจิตตัวยวิธี ๑๔ อย่าง มีจิตประกอบคัวยองค์ ๘ และทำเหตุเกิด ๔
บาทฐาน ๔ เหตุย่อย ๘ และมูลเหตุ ๑๖ ให้สำเร็จ"*#แล้วทำกสิณหนึ่งใน ๓ ชนิดเหล่านี้ คือ
เตโชกสิณ โอทาตกสิณ และอาโลกกสิณให้ใกล้!ต่อการเกิดขึ้นของทิพพจักขุญาณ"*] พึงขยาย
(กสิณรับเอาอารมณ์ของอุปจารฌานแล้วพึงหยุดไว้ ดวามหมายคือ ไม่ต้องทำให้อัปปนาเกิดขึ้น
ในกสิณอารมณ์ที่ขยายแล้วนั้น

ถ้าเธอทำให้อัปปนาเกิดขึ้น อารมณ์นั้นจะเป็นที่อาศัยของปาทกฌาน (คือ รับปาทก-
ฌานเป็นอารมณ์ "**]ไม่เป็นที่อาศัยของบริกรรม และอาโลกกสิณเท่านั้นดีเลิศที่สุดในกสิณ ๓
อย่างเหล่านี้ ดังนั้น พึงยังอาโลกกสิณนั้นหรือกสิณอื่นจากนี้ให้เกิดขึ้นตามวิธีที่ได้มากล่าวแล้ว
ในกสิณนิทเทส แล้วหยุดอยู่ในระดับอุปจารสมาธิก่อนจึงขยายออกไป (เพราะปฏิภาคนิมิดเกิด
ร่วมกับอุปจารฌาน"] พึงทราบวิธีขยายปฏิภาคนิมิตของกสิณนั้นตามวิธีที่กล่าวมาแล้วใน
กสิณนิทเทสนั้นเอง

เธอจะพึงดูรูปได้ภายในสถานที่ซึ่งถูกขยายแล้ว (ไม่คูรูปภายนอก เพราะการดูรูปภาย-
นอกเป็นเหตุให้จิตชัดส่าย"*แต่เมื่อเธอดูรูปอยู่ วาระของบริกรรม(คืออุปจารณานที่มีกสิณตาม
ที่กล่าวไว้เป็นอารมณ์ "* ย่อมผ่านพันไป ดังนั้น แสงสว่างจึงหายไป เมื่อแสงสว่างนั้นหายไป
เธอจึงไม่เห็นรูป (เพราะทั้งสองอย่างนั้นคือการเห็นรูปที่มีได้ด้วยอาโลกกสิณและอาโลกกสิณที่มีได้
ด้วยอำนาจบริกรรม ย่อมมีไม่ได้โดยปราศจากบริกรรม"

ลำดับนั้นเธอต้องเข้าปาทกฌานซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วออกจากฌานนั้นแล้วแผ่แสงสว่าง

เนตติปกรณ์/411

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2023, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อทำอย่างนี้แสงสว่างจะแจ่มจ้าขึ้นตามสำดับ ดังนั้น แสงสว่างจึงคงอยู่ในสถานที่ชื่อกำหนดว่า
แสงสว่างจงมีในสถานที่นี้ ถึงเธอนั่งดูอยู่ตลอดวันก็เห็นรูปได้ (เพราะเมื่อแสงสว่างมีกำลังดำรงอยู่
ได้นานเหมือนย่างนั้น เธอย่อมเห็นรูปในที่สถานที่แงสว่างแผ่ไปได้นานเช่นกัน""บุรุษผู้เดิน
ทางในราตรีด้วยคบเพลิงหญ้าเป็นคำอุปมาในเรื่องนี้

ได้ยินมาว่า ชายคนหนึ่งใช้คบเพลิงหญ้าส่องทางเดินไปในเวลากลางคืน คบเพลิงนั้น
ของเขาดับไปในเวลานั้นเขาไม่รู้ว่าทางเดินราบเรียบหรือขรุบระ จึงคุ้ยเขี่ยคบเพลิงนั้นที่
ที่แผ่นดินแล้วทำให้ลุกโพลงขึ้นใหม่ พอมันสุกโพลงขึ้นส่องแสงสว่างมากกว่าเดิม เมื่อเขาจุด
คบเพลิงที่ดับลงอย่างนี้ให้สว่างบ่อยๆ ควงอาทิตย์อุทัยขึ้นตามลำดับ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเขา
คิคว่าเราไม่ต้องใช้คบเพลิง จึงทิ้งคบเพลิงนั้นแล้วเดินทางได้ตลอดวัน

ในคำอุปมานั้น -
ก. แสงสว่างของกสิณในเวลาบริกรรม เหมือนแสงสว่างของคบเพลิง
ข. การไม่เห็นรูปเมื่ออาโลกกสิณหายไปด้วยการส่วงวาระของบริกรรมของผู้เห็นรูป
อยู่ เหมือนการไม่เห็นที่เรียบหรือขรุขระในเมื่อคบเพลิงดับไป
ค. การเข้า(ปาทกฌาน(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนการคุ้ยเขี่ยคบเพลิงบ่อยๆ
จ. การแผ่แสงสว่างให้มีกำลังกว่าเดิมของผู้ที่ทำบริกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนการ
ทำคบเพลิงให้สว่างไสวกว่าเดิม
ง. การที่แสงสว่างอันแจ่มจ้าคงอยู่ตามที่กำหนดไว้ เหมือนการที่พระอาทิตย์อุทัย
จ. การทิ้งแสงสว่างเล็กน้อยแล้วดูรูปด้วยแสงสว่างอันแจ่มจ้าทั้งวัน เหมือนการทิ้ง
คบเพลิงแล้วเดินทางได้ตลอดวัน
ในการเห็นรูปดังกล่าว เมื่อรูปเหล่านี้ คือ รูปอยู่ในภายในท้อง รูปอาศัยหทัยวัตถุ รูป
อาศัยอยู่ใช้พื้นดิน รูปอยู่นอกฝา นอกภูเขา และนอกกำแพง รวมทั้งรูปที่อยู่ในจักรวาลอื่น นั้น
ไม่มาปรากฎทางตาเนื้อ ได้ปรากฎทางญาณจักษุของภิกษุนั้นเหมือนเห็นด้วยตาเนื้อ ในเวลานั้น
ทิพพจักขุญาณย่อมเป็นอันเกิดแล้ว และในจิตที่เห็นได้เหล่านี้ ทิพพลักขุญาณนั้นอย่างเดียวเห็น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2023, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8570


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปได้ มิใช่จิตเบื้องตัน (คืออาวัชชนจิตและบริกรรมจิด เพราะจิตเหล่านั้นแม้รับอารมณ์ให้ก็ไม่เห็น
รูปารมณ์นั้นชัดเจน ตามควา เป็นจริง เหมือนอาวัชชนจิจและสัมปฏิจฉนจิต

ทิพพจักขุนั้นอาจเป็นอันตรายแก่ปุถุชน เพราะสถานที่ทุกแห่งที่เขาอธิษฐานว่า
จงสว่าง มีแสงสว่างจ้าเป็นอันเดียวกัน ทะลุแผ่นดิน ทะเล และภูเขา ในเาเช่นนั้น เมื่อเธอเห็น
รูปร่างของยักษ์และรากษสเป็นต้นอันน่ากลัวใยที่นั้น ความหวาดกลัวย่อมเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เธอมี
จิตสัดส่ายอาจเคลื่อนจากฌานได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการดูรูป[ด้วยการเจริญวิปัสสนา
หรือรู้เห็นอริยสัจ ๔ โคยไม่ยินดีพอใจว่าเราได้บรรลุทิพพจักขุญาณแล้ว"*

การเกิดขึ้นของทิพพจักขุญาณ
ในเรื่องนั้นการเกิดขึ้นของทิพพจักขุญาณมีลำดับดังนี้ เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตรับเอา
รูปดังกล่าวนั้นเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้วดับไป ชวนะ ๔ หรือ ๕ ดวงย่อมเกิดขึ้นรับเอารูปนั้นเป็น
อารมณ์ พึงทราบข้อความทั้งหมคตามนัยก่อน แม้ในที่นี้จิตเบื้องต้นเป็นกามาวจรจิตที่เป็น
พร้อมกับวิตกและวิจาร จิตที่ทำให้สำเร็จหน้าที่เห็นในที่สุดเป็นรูปาวจรจิตอันประกอบด้วย
จตุตถฌาน ญาณที่เกิดร่วมกับจิตนั้นเรียกว่า จุตูปปาตญาณ (ญาณรู้เห็นจุติและปฏิสนธิของ
เหล่าสัตว์) บ้าง ทิพพจักขุญาณบ้าง

จบเรื่องจุตูปปาตญาณ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร