ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

กรรมในปัจจุบันให้ผล ๓ ประการ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=63232
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 20 ก.พ. 2023, 09:34 ]
หัวข้อกระทู้:  กรรมในปัจจุบันให้ผล ๓ ประการ

-ในเรื่องนั้น สังขารทั้งหลาย[อันมีตัณหา ทิฏฐิ และมานะเป็นเหตุ] ที่ฟูขึ้นในจิต
พึงให้ผลในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าไนภพต่อๆ ไป ฉันใด ตัณหาย่อมให้
ผล ๓ บระการ คือ ในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าในภพต่อๆ ไป ฉันนั้น
สมดังพระพุทธคำรัสว่า
บุคคลย่อมกระทำกรรมที่ทำด้วยความโลภใดทางกาย วาจา หรือใจ เขาย่อมเสวย
วิบากของกรรมนั้นในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าไนภพต่อๆ ไป
พระพุทธพจน์นี้ย่อมประกอบด้วยข้อความหน้ากับข้อความหลัง กล่าวคือ การฟูขึ้น
แห่งสังขารเป็นสภาวะให้ผลในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าในภพต่อๆ ไป
ฉันใด กรรมย่อมไห้ผล ๓ ประการ ฉันนั้น"

[โคยองค์ธรรม สังขารในเรื่องนี้ คือ เจตนาอันมีตัณหา ทิฏฐิ และมานะเป็นเหตุ โดยเจตนา
ดวงแรกในชวนจิต ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในอัตภาพนี้ เจตนาดวงสุดท้ายชื่อว่า
อุปปัชธเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในอัตภาฬที่จะเกิดขึ้น คือ ภพที่ ๖ ถัดจากภพนี้ไป ส่วนเจตนาตรงกลาง
๕ ควงชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในภพต่อๆ ไป แม้ตัณหาที่ประกอบกับเจตนานั้นๆ ก็
ให้ผลสามประการเหมือนสังขาร พระมหากัจจายนะจึงกล่าวว่า เอวํ ตณฺหา ติวิธํ ผลํ เทติ (ตัณหาย่อม
ให้ผล ๓ ประการ ฉันนั้น)

คำว่า อิทํ ภควโต ปุพฺพาปเรน ยุชฺชติ (พระพุทธพจน์นี้ย่อมประกอบด้วยข้อความหน้ากับ
ข้อความหลัง) คือ การกล่าวว่าสังขารในอดีตชาติให้ผล ๓ ประการ ฉันใค กรรมในปัจจุบันชาติย่อมให้
ผล ๓ ประการ ฉันนั้น]

ไฟล์แนป:
image.jpg
image.jpg [ 56.53 KiB | เปิดดู 800 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 20 ก.พ. 2023, 09:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมในปัจจุบันให้ผล ๓ ประการ

........
"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
หากว่าคนพาลมักปลงชีวิตสัตว์....เป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกนี้ เขาย่อมเสวยวิบากแห่ง
กรรมนั้นในอัตภาพปัจจุบัน หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าไนภพต่อๆ ไป"
พระพุทธพจน์นี้ย่อมประกอบด้วยข้อความหน้ากับข้อดวามหลัง กล่าวคือ การฟูขึ้น
ของตัณหา พึงละได้ด้วยกำลังแห่งการพิจารณา(มีอสุภสัญญาและอนิจจสัญญาเป็นตัน] สังขาร
ทั้งหลาย(ที่ปรุงแต่งคัวยปปัญจธรรมในจิตตุปบาท ๔ ดวง คือ ทิฏฐิตตสัมปยุตตจิต ๔ วิจิกิจฉา-
สัมปยุตตจิต ๑ ] พึงละได้ด้วยกำลังแห่งปฐมมรรค ข่ายตัณหา ๓๖ พึงละได้ด้วยกำลังแห่ง
การเจริญมรรคเบื้องบน ตัณหาทั้ง ๓ อันบุคคลย่อมละได้ด้วยประการณะนี้
ความไม่มีแห่งตัณหา จัดเป็นสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (สภาพดับกิเลสที่มีขันธ์เหลือ
อยู่)
ส่วนความดับสูญแห่งร่างกาย(ของผู้ปราศจากตัณหา] ชื่อว่า อนุปาทิเสสนิพพาน-
ธาตุ (สภาพดับกิเลสที่ไม่มีขันธ์เหลืออยู่)"

ไฟล์แนป:
seecloud01.jpg
seecloud01.jpg [ 64.74 KiB | เปิดดู 799 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/