วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 09:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2022, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8575


 ข้อมูลส่วนตัว




99885869-cliff-stone-isolated-on-white-background-.jpg
99885869-cliff-stone-isolated-on-white-background-.jpg [ 85.67 KiB | เปิดดู 846 ครั้ง ]
อริยมรรคหมวดปัญญา ๒
สัมมาทิฏฐิ
อริยมรรคหมวดปัญญามี ๒ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็น
ชอบ และสัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ หมายความว่าในเบื้องแรกของ
การปฏิบัติ เราต้องมีความเห็นชอบ คือ เชื่อมั่นกรรมและผลกรรมโดย
เชื่อมั่นกฎแห่งกรรมว่า กฎแห่งกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมเช่นนี้ชื่อว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ

ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร* พระพุทธองค์ตรัสขยาย
สัมมาทิฏฐิว่า ความเห็นชอบในเรื่องนี้คือความเห็นชอบในอริยสัจ ๔ ซึ่ง
รู้เห็นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงว่า รูปนามหรือขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจ
(ความจริงคือทุกข์) ตัณหาที่ก่อให้เกิดรูปนาม เป็นสมุทยสัจ (ความจริง
คือเหตุแห่งทุกข์) พระนิพพานที่เป็นสภาวะดับรูปนาม เป็นนิโรธสัจ
(ความจริงคือความดับทุกข์) และอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นแนวทาง
ปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ เป็นมรรคสัจ (ความจริงคือทางดับทุกข์)

ผู้ปฏิบัติที่เจริญสติจนสามารถรู้เท่าทันรูปนามปัจจุบันจัดว่าได้
กำหนดรู้ทุกขสัจแล้ว กล่าวคือ เมื่อเราระลึกรู้รูปนามซึ่งปรากฎในปัจจุบัน
ขณะ นับว่าได้รู้เห็นว่ามีเพียงรูปนามเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา บุรุษ
หรือสตรี ไม่มีตัวกูของกูอยู่ในรูปนามเหล่านั้น ในขณะนั้นผู้ปฏิบัติย่อม

เข้าใจว่ารูปนามซึ่งปรากฎอยู่นี้เป็นเพียงสภาวธรรมปัจจุบันที่เกิดขึ้นตาม
เหตุปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นแล้วได้ดับไปอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจเช่นนี้จัดว่า
เป็นการกำหนดรู้ทุกขสัจ

ในขณะนั้นตัณหาหรือโลภะมิได้เกิดขึ้น จัดว่าผู้ปฏิบัติได้ขจัด
สมุทยสัจคือตัณหาโดยตทังคปหาน คือ การละได้ชั่วขณะด้วยวิปัสสนา
ปัญญา และในขณะนั้นเราได้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ พร้อมกัน จึงนับว่า
ได้เจริญมรรคสัจแล้ว

ส่วนนิโรธสัจย่อมปรากฏชัดเจนในขณะบรรลุมรรคญาณ ส่งผล
ให้ผู้ปฏิบัติรับรู้ความดับของรูปนามทั้งหมดขณะที่เกิดมรรคญาณนั้น
นับว่าผู้ปฏิบัติได้กระทำให้แจ้งนิโรธสัจแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าว ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์
จึงตรัสสัมมาทิฏฐิว่าเป็นความเข้าใจอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง

สัมมาสังกัปปะ

อริยมรรคมีองค์ ๘ หมวดปัญญาอีกประการหนึ่งคือ สัมมา-
สังกัปปะ ความดำริชอบ หมายถึง ความดำริในกุศล สัมมาสังกัปปะนี้ต้อง
ประกอบร่วมกับสัมมาทิฏฐิอีกด้วย เพราะเป็นสภาวะอุปถัมภ์ค้ำจุน
สัมมาทิฏฐิ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่น้อมใจไปสู่กุศลก็จะไม่อาจเจริญสัมมาทิฏฐิได้

ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร" พระพุทธองค์ตรัสสัมมา-
สังกัปปะว่ามี ๓ ประการ คือ เนกข้มมสังกัปปะ ความดำริในกุศล

ทุกอย่าง ซึ่งรวมไปถึงการปฏิบัติธรรม อัพยาปาทสังกัปปะ ความดำริ
ในการไม่ปองร้ายคือ การเจริญเมตตา และอวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริ
ในการไม่เบียดเบียน คือการเจริญกรุณา ดังนั้นในขณะที่เจริญสัมมาทิฏฐิ
จึงต้องมีสัมมาสังกัปปะประกอบร่วมอยู่ด้วยเพื่อทำให้จิตของเราน้อมไป
ในการเจริญปัญญาซึ่งเรียกว่าสัมมาทิฏฐินั่นเอง

ทุกขณะที่ผู้ปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานวิปัสสนาภาวนา จัดว่าได้
งดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบและพูดเพ้อเจ้อ จึงนับว่า
ได้เจริญสัมมาวาจา อีกทั้งได้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และ
ประพฤติผิดในกาม นับว่าได้เจริญสัมมากัมมันตะ รวมไปถึงได้งดเว้นจาก
กายทุจริต ๓ และวจีทุจริต ๔ นับว่าได้เจริญสัมมาอาชีวะในขณะนั้นเรา
มีความเพียรจดจ่ออยู่กับสภาวธรรมปัจจุบัน นับว่าได้เจริญสัมมาวายามะ
มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันทุกขณะโดยประคองสติมิให้หลุดออกไปจาก
ปัจจุบัน นับว่าได้เจริญสัมมาสติ และไม่มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นรบกวนจิต
ในขณะนั้น ก็นับว่าได้เจริญสัมมาสมาธิ รวมไปถึงได้เจริญสัมมาทิฏฐิ
ที่หยั่งเห็นรูปนามตามความเป็นจริง และเจริญสัมมาสังกัปปะซึ่งเป็น
สภาวะน้อมจิตสู่อารมณ์เพื่อให้รู้เท่าทันรูปนามปัจจุบันได้ชัดเจน

การปฏิบัติธรรมเหมือนยิงธนู คือ คนที่กำลังยิงธนูต้องมีวิริยะใน
การยิง จัดเป็นสัมมาวายามะ การรู้ตัวในขณะยิงจัดเป็นสัมมาสติ การ
รวบรวมสมาธิจัดเป็นสัมมาสมาธิ การเล็งเป้าจัดเป็นสัมมาสังกัปปะ และ
การยิงถูกเป้าจัดเป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาอยู่ถือว่าได้เจริญ
อริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่เสมอ และอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็เปรียบได้กับแพ
ซึ่งนำพาชาวโลกให้ข้ามห้วงกิเลสทั้ง ๔ อย่าง บรรลุถึงอีกยิ่งหนึ่งอันเป็น
แดนเกษม ซึ่งก็คือพระนิพพานนั่นเอง ทั้งนี้เพราะสัมมาหิฏฐิได้พัฒนาขึ้น
เรื่อยๆ จากระดับโลกียะจนถึงระดับโลกุตระ จึงเป็นมรรคปัญญาที่ขจัด
กิเลสโดยเด็ดขาดในขณะรับเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร