ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อริยมรรคหมวดปัญญา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62388 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 29 ก.ค. 2022, 09:44 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | อริยมรรคหมวดปัญญา | ||
อริยมรรคหมวดปัญญา ๒ สัมมาทิฏฐิ อริยมรรคหมวดปัญญามี ๒ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็น ชอบ และสัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ หมายความว่าในเบื้องแรกของ การปฏิบัติ เราต้องมีความเห็นชอบ คือ เชื่อมั่นกรรมและผลกรรมโดย เชื่อมั่นกฎแห่งกรรมว่า กฎแห่งกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมเช่นนี้ชื่อว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร* พระพุทธองค์ตรัสขยาย สัมมาทิฏฐิว่า ความเห็นชอบในเรื่องนี้คือความเห็นชอบในอริยสัจ ๔ ซึ่ง รู้เห็นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงว่า รูปนามหรือขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจ (ความจริงคือทุกข์) ตัณหาที่ก่อให้เกิดรูปนาม เป็นสมุทยสัจ (ความจริง คือเหตุแห่งทุกข์) พระนิพพานที่เป็นสภาวะดับรูปนาม เป็นนิโรธสัจ (ความจริงคือความดับทุกข์) และอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นแนวทาง ปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ เป็นมรรคสัจ (ความจริงคือทางดับทุกข์) ผู้ปฏิบัติที่เจริญสติจนสามารถรู้เท่าทันรูปนามปัจจุบันจัดว่าได้ กำหนดรู้ทุกขสัจแล้ว กล่าวคือ เมื่อเราระลึกรู้รูปนามซึ่งปรากฎในปัจจุบัน ขณะ นับว่าได้รู้เห็นว่ามีเพียงรูปนามเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา บุรุษ หรือสตรี ไม่มีตัวกูของกูอยู่ในรูปนามเหล่านั้น ในขณะนั้นผู้ปฏิบัติย่อม เข้าใจว่ารูปนามซึ่งปรากฎอยู่นี้เป็นเพียงสภาวธรรมปัจจุบันที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นแล้วได้ดับไปอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจเช่นนี้จัดว่า เป็นการกำหนดรู้ทุกขสัจ ในขณะนั้นตัณหาหรือโลภะมิได้เกิดขึ้น จัดว่าผู้ปฏิบัติได้ขจัด สมุทยสัจคือตัณหาโดยตทังคปหาน คือ การละได้ชั่วขณะด้วยวิปัสสนา ปัญญา และในขณะนั้นเราได้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ พร้อมกัน จึงนับว่า ได้เจริญมรรคสัจแล้ว ส่วนนิโรธสัจย่อมปรากฏชัดเจนในขณะบรรลุมรรคญาณ ส่งผล ให้ผู้ปฏิบัติรับรู้ความดับของรูปนามทั้งหมดขณะที่เกิดมรรคญาณนั้น นับว่าผู้ปฏิบัติได้กระทำให้แจ้งนิโรธสัจแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ จึงตรัสสัมมาทิฏฐิว่าเป็นความเข้าใจอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ อริยมรรคมีองค์ ๘ หมวดปัญญาอีกประการหนึ่งคือ สัมมา- สังกัปปะ ความดำริชอบ หมายถึง ความดำริในกุศล สัมมาสังกัปปะนี้ต้อง ประกอบร่วมกับสัมมาทิฏฐิอีกด้วย เพราะเป็นสภาวะอุปถัมภ์ค้ำจุน สัมมาทิฏฐิ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่น้อมใจไปสู่กุศลก็จะไม่อาจเจริญสัมมาทิฏฐิได้ ในนิเทศของมหาสติปัฏฐานสูตร" พระพุทธองค์ตรัสสัมมา- สังกัปปะว่ามี ๓ ประการ คือ เนกข้มมสังกัปปะ ความดำริในกุศล ทุกอย่าง ซึ่งรวมไปถึงการปฏิบัติธรรม อัพยาปาทสังกัปปะ ความดำริ ในการไม่ปองร้ายคือ การเจริญเมตตา และอวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริ ในการไม่เบียดเบียน คือการเจริญกรุณา ดังนั้นในขณะที่เจริญสัมมาทิฏฐิ จึงต้องมีสัมมาสังกัปปะประกอบร่วมอยู่ด้วยเพื่อทำให้จิตของเราน้อมไป ในการเจริญปัญญาซึ่งเรียกว่าสัมมาทิฏฐินั่นเอง ทุกขณะที่ผู้ปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานวิปัสสนาภาวนา จัดว่าได้ งดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบและพูดเพ้อเจ้อ จึงนับว่า ได้เจริญสัมมาวาจา อีกทั้งได้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และ ประพฤติผิดในกาม นับว่าได้เจริญสัมมากัมมันตะ รวมไปถึงได้งดเว้นจาก กายทุจริต ๓ และวจีทุจริต ๔ นับว่าได้เจริญสัมมาอาชีวะในขณะนั้นเรา มีความเพียรจดจ่ออยู่กับสภาวธรรมปัจจุบัน นับว่าได้เจริญสัมมาวายามะ มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันทุกขณะโดยประคองสติมิให้หลุดออกไปจาก ปัจจุบัน นับว่าได้เจริญสัมมาสติ และไม่มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นรบกวนจิต ในขณะนั้น ก็นับว่าได้เจริญสัมมาสมาธิ รวมไปถึงได้เจริญสัมมาทิฏฐิ ที่หยั่งเห็นรูปนามตามความเป็นจริง และเจริญสัมมาสังกัปปะซึ่งเป็น สภาวะน้อมจิตสู่อารมณ์เพื่อให้รู้เท่าทันรูปนามปัจจุบันได้ชัดเจน การปฏิบัติธรรมเหมือนยิงธนู คือ คนที่กำลังยิงธนูต้องมีวิริยะใน การยิง จัดเป็นสัมมาวายามะ การรู้ตัวในขณะยิงจัดเป็นสัมมาสติ การ รวบรวมสมาธิจัดเป็นสัมมาสมาธิ การเล็งเป้าจัดเป็นสัมมาสังกัปปะ และ การยิงถูกเป้าจัดเป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาอยู่ถือว่าได้เจริญ อริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่เสมอ และอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ก็เปรียบได้กับแพ ซึ่งนำพาชาวโลกให้ข้ามห้วงกิเลสทั้ง ๔ อย่าง บรรลุถึงอีกยิ่งหนึ่งอันเป็น แดนเกษม ซึ่งก็คือพระนิพพานนั่นเอง ทั้งนี้เพราะสัมมาหิฏฐิได้พัฒนาขึ้น เรื่อยๆ จากระดับโลกียะจนถึงระดับโลกุตระ จึงเป็นมรรคปัญญาที่ขจัด กิเลสโดยเด็ดขาดในขณะรับเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |