ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62301 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 16:32 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ | ||
ห้วงน้ำใหญ่นี้เปรียบได้กับโอฆะ ๔ คำว่าโอฆะแปลตามศัพท์ว่า"ห้วงกิเลส" หมายถึงกิเลสที่เหมือน ห้วงน้ำนั่นเองมี ๔ ชนิดคือ กาโมฆะห้วงน้ำคือกาม หมายถึงห้วงน้ำคือความยินดีพอใจในกามคุณ เพราะว่า ภโวฆะห้วงน้ำคือ ภพ หมายถึงห้วงน้ำคือฌานสุข หรือความพอใจในฌานสุข ทิโฐฆะห้วงน้ำ คือทิฏฐิ หมายถึงห้วงน้ำคือความเห็นผิดและอวิชโชฆะ ห้วงน้ำคือ อวิชชา กาโมฆะ ห้วงน้ำอย่างแรกคือกาโมฆะห้วงน้ำคือความยินดีพอใจในกามคุณหมายความว่าในขณะที่ดวงตากระทบรูป หรือเสียงกระทบหูการกระทบเช่นนี้เรียกว่าอาจจะเรามักเกิดความยินดีพอใจในรูปสวยเสียงไพเราะ กลิ่นหอมรสอร่อยและสัมผัสถูกใจความยินดีพอใจในตามมาคุณ ๕ เหล่านี้เรียกว่ากาโมฆะเป็นห้วงน้ำ คือความยินดีพอใจในกามคุณ ซึ่งท่วมทับเหล่าสัตว์อยู่เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะสามารถปฏิเสธได้ เมื่อเราไม่สามารถปฏิเสธความยินดีพอใจในกามคุณอารมณ์เหล่านี้ได้ก็ถือว่าถูกห้วงน้ำใหญ่อย่างแรกคือ กาโมฆะท่วมทับแล้ว ภโวฆะ ห้องน้ำอย่างที่ 2 คือพระโวฆะห้วงน้ำคือภพ คำว่าภพในที่นี้มิได้หมายถึงภพชาติแต่หมายถึงฌานสุข คือสุขในกาม หมายความว่าบางคนเชื่อว่าการเกิดในกามภูมิเป็นมนุษย์หรือเทวดาแล้วเสวยกามสุข ในมนุษยโลกหรือเทวโลกยังเป็นของต่ำๆอยู่แต่การเสวยฌานสุขในพรหมโลกจึงนับว่าเป็นสุขที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงเจริญฌานและเสวยฌานสุข การและส่งการเสวยสุขในการสุขนี้ทำให้บุคคลยึดติดผูกพันกับฌานสุขที่ได้รับผู้ที่ปฏิบัติงฌานจนกระทั่ง ถึงการบรรลุฌานแล้วไม่ว่าจะเป็นการบรรลุฌานด้วยการระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกหรือด้วยเมตตามักมี ความรู้สึกเหมือนกันอย่างหนึ่งนั่นคือ สุขซึ่งเราได้รับในขณะเข้าฌานอยู่แม้จะมีใครที่จะนำเงินร้อยล้าน พันล้านมาให้ก็ไม่ยอมแลก หากมีความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นเมื่อไรเป็นความรู้สึกของผู้ได้บรรลุฌานแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนี้นั้นสุขของบุคคลผู้ได้บรรลุย่อมทำให้เขาไม่สามารถข้ามพ้นห้วงน้ำคือฌานสุขได้ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสห้วงน้ำอย่างที่ ๒ คือภโวฆะห้วงน้ำคือ ภพ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 17:47 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ | ||
ทิฏโฐฆะ ห้องน้ำอย่างที่ 3 คือ ทิฏโฐฆะ หัวงนั้นคือความเห็นผิดหมายความว่าคนทั่วไปมักเห็นผิดว่ามีตัวตน มีเพียงชาวพุทธที่เข้าใจว่าร่างกายของเราประกอบขึ้นจากรูปกับนาม ๒ อย่างในศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม มักกล่าวถึงวิญญาณ อาตมันหรือกายทิพย์อีกทั้งคนส่วนใหญ่มัดยึดติดผูกพันอยู่กับกายทิพย์จะเห็นได้ว่า ใน หนังสืองานศพทั่วไปมักเขียนข้อความว่า ขอให้วิญญาณของบุคคลนั้นจงไปสู่สุคติเถิดการกล่าวเช่นนี้ ไม่ถูกต้องหรือว่าเป็นการเขียนไปลักษณะที่ประกอบด้วยทิฏฐิคือยังมีความเข้าใจผิดว่า วิญญาณหรือ กายทิพย์ที่ล่องลอยไปเกิดในภพต่างๆแต่วามจริงแล้วไม่มีวิญญาณเช่นนี้แต่อย่างใด ร่างกายของเรานี้ประกอบขึ้นจากรูปกับนาม ๒ อย่างเท่านั้น รูปคือสภาวะไม่รับรู้อารมณ์แต่เคลื่อนไหวได้ ส่วนนามทำหน้าที่รู้อารมณ์เป็นตัวบงการรูปให้ทำสิ่งต่างๆได้ดังนั้นความเข้าใจว่าวิญญาณหรือกายทิพย์ไม่มีจริง เช่นนี้จึงนับว่าเป็นความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ามีเพียงรูปกับนาม ๒ อย่างอันที่จริงวิญญาณตามหลักธรรมทาง ศาสนาพุทธ ก็คือจิตอันเป็นนามประเภทหนึ่งนั่นเอง ความเห็นผิดหรือทิฏฐิมิได้หมายถึงความเห็นผิดที่เกี่ยวกับวิญญาณเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง ความเห็นผิดว่ามีตัวตนชาวพุทธทั่วไปมักเข้าใจว่าไม่มีตัวกูของกูจัดเป็นความเข้าใจด้วยอำนาจของ สัญญาว่าร่างกายของเราประกอบมาจากรูปนามเพียง ๒ อย่างไม่มีสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวกูของกูแต่ อย่างใด ความเข้าใจเช่นนี้ถือว่าอยู่ในระดับสัญญา บางท่านก็กล่าวว่าไม่มีตัวกูของกูเดินไปไหนมาไหนแต่ถ้าเรา ยังรู้สึกว่าในขณะเดินมีร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่มีขาที่เคลื่อนไหวอยู่ จัดว่าในตอนนั้นเรายัง มีความรู้สึกว่ามีตัวกูของกูตลอดเวลาทั้งนี้เพราะเรารับรู้ถึงรูปร่างสรรฐานร่างกายทุกส่วนหรือบางส่วน ผู้ที่สามารถกำจัดความรู้สึกว่ามีตัวกูของกูอย่างชัดเจนได้แต่ต้องบรรลุถึงวิปัสสนาญาณท่านที่ ๕ คือ ภังคญานปัญญาอย่างรู้ความดับเป็นต้นไปนั่นคือผู้ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุถึงทานที่ ๕ ไปแล้วก็จะรู้ว่า ไม่มีร่างกายของเราที่เคลื่อนไหวแต่อย่างใดมีเพียงเงาดำๆหรือ ควันจางๆที่เคลื่อนไหวอยู่เท่านั้น โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นรูปร่างสันฐานของเราเลยความรู้สึกเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุ วิปัสสนาญาณท่านที่ ๕ ไปแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าเราเจริญสติอยู่กับปัจจุบันรับรู้สภาวะเบาผลักดันและหนักโดยไม่คิดว่าเป็นขาของเราอาจ จะเป็นเพียงกิ่งไม้หรือท่อนไม้ที่ซึ่งเคลื่อนไปมา ก็นับว่าเราได้เริ่มกำจัดความเห็นผิดในตัวตนได้แล้ว ถือว่ายังเป็นขั้นแรกอยู่แม้ปัญญาของเรายังไม่กระจ่างชัดเจนเพราะในคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า นามรูปปริเฉทญาน ปัญญากำหนดแยกรูปนามทำหน้าที่กำจัดสักกายทิฐิ คือความเห็นผิด ในหมู่รูปนามว่าเป็นตัวตน
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 20:02 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ | ||
ด้วยเหตุนี้ถ้าผู้ปฏิบัติรับรู้สภาวะเบา ผลักดันหรือหนักก็นับว่าได้กำจัดทิฏ,แล้ว แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะ ก็นับว่าได้สะสมหน่วยกิตส่วนบุคคลที่ยังเห็นผิดอยู่ในอาตมันหรือหรือแม้ในตัวตนที่เคลื่อนไหวอยู่ ก็นับว่าได้ถูกห้วงน้ำคือทิฐิครอบงำไม่อาจจะไหว้ห้ามห้วงน้ำนั้นไปได้ ในคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่าชาวโลกมักรับรู้ความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ได้แม้จะรู้ในลักษณะของสมมุติ บัญญัติก็ตามเช่นแก้วน้ำใบหนึ่งตกแต่คนทั่วไปก็กล่าวว่าแก้วน้ำไม่เที่ยงหรือพอเรานั่งนานก็บอกว่าเป็นทุกข์ แต่ความจริงแก้วน้ำไม่มีลักษณะของความไม่เที่ยงเพราะเป็นความสมมุติบัญญัติไม่ใช่สภาวะของรูปนาม มิฉะนั้นแล้วแก้วน้ำก็ เป็นของเที่ยงแต่เมื่อยังไม่แตกแต่เมื่อไหร่ค่อยไม่เที่ยงแต่ความจริงความไม่ เที่ยงนั้นเป็นสภาวะเกิดดับอย่างรวดเร็วตลอดเวลา นอกจากนั้นชาวโลกมักเข้าใจทุกขังในลักษณะของสมมุติบัญญัติอีกด้วยเช่นถ้าเรานั่งนานก็รู้สึก เป็นทุกข์แต่ความจริงทุกในไตรลักษณ์มีความหมายว่า"สภาวะบีบคั้น" คือถ้าเรามีความรู้สึกว่าถูกบีบคั้น ในใจหลังจากเห็นความเกิดดับนั่นคือเป็นลักษณะของทุกขังอย่างแท้จริงหรือถ้ามีความรู้สึกว่ารูปนาม เป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่ดีงามก็นับว่าเป็นลักษณะของทุกข์ในไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน ในเบื้องแรกของการปฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติอาจรู้สึกฟุ้งซ่านเป็นอย่างมากในวันสองวันแรกพอถึงใน วันที่ ๓ ความฟุ้งซ่านนั้นจึงจะค่อยสงบลงหลังจากนั้นเรามักรู้สึกสบายที่รู้สึกถึงความเบาอย่างชัดเจน รูปร่างสัณฐานหายไปและเกิดปิติโสมนัสขนลุกเย็นซาบซ่านตามร่างกายเกิดความสุขใจหรือรู้สึกสงบ เหมือนเราอยู่คนเดียวในโลกนี้หรือเหมือนเสียง ทั้งหมดดับหายไป ในขณะนั้นผู้ปฏิบัติมักรู้สึกว่ารูปนามเป็นแก่นสารที่ดีงามเพราะทำให้เราได้รับความสุขอย่างที่ไม่เคย พบมาก่อนแต่หลังจากปฏิบัติธรรมไปอย่างต่อเนื่องเขาย่อมหยั่งเห็นไตรลักษณ์ขั้นแรกคืออนิจจัง ความไม่เที่ยงกล่าวคือในเบื้องหน้าเราอาจรู้สึกว่าระยะเดินมีช่วงเดียวในขณะยกย่างและเหยียบไม่อาจยก เป็น ๓ ช่วงได้แต่เมื่อสมาธิมีกำลังมากขึ้นสภาวะเบา หนัก ย่อมปรากฏชัดเจนมากขึ้น และเราย่อม สังเกตสภาวะเริ่มกับสุดยก ย่าง และเหยียบสภาวะยกเกิดขึ้นแล้วดับไปจึงเกิดสภาวะย่าง ในสภาวะย่าง ไม่มีภาวะยกหลังจากสภาวะย่างสิ่นสุดแล้วก็เกิดสภาวะเหยียบในสภาวะเหยียบให้มีสภาวะย่าง การที่เรารู้เห็นสภาวะเดินว่าเป็น 3 ช่วงจึงจัดว่าเป็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของสภาวะยกย่าง และเหยียบนี้ถือว่าเป็นไตรลักษณ์ขั้นแรกแล้วและเราก็จะอนุมานรู้ว่ารูปนามทุกอย่างหรืออากัปฏิกิริยา เคลื่อนไหวทุกอย่างมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตลอดเวลา
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 ก.ค. 2022, 08:21 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ | ||
ผู้ปฏิบัติที่รู้สึกว่าเท้าเหนียวในขณะเดินก็มักจะสังเกตเห็นความเกิดดับเล็กๆของการเดินว่าในขณะนั้น ความเกิดดับได้ปรากฏอยู่ตลอดเวลาเป็นเวลาช่วงหนึ่งแม้ในขณะยกมือหรือกราบพระเมื่อเรารับรู้สภาวะ เบาหนักชัดเจน โดยมือหรือขาหายไปในตอนนั้นมักสังเกตเห็นความเกิดดับเล็กๆซึ่งปรากฏจากชัดเจนนี้ คืออนิจจังที่ละเอียดมากขึ้นเป็น การเกิดขึ้นและดับไปอย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมและหลังจากนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมก็จะหยั่งเห็นทุกข์ในไตรลักษณ์ คือทุกขังทำให้รู้สึกว่ารูปนามที่เรากำหนดรู้เป็นสิ่งที่ น่าอึดอัดไม่น่าชอบใจหรือรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่ควรยึดติดผูกพันจึงต้องการหลุดพ้นไปจากรูปนามนี้ ในบางขณะผู้ปฏิบัติอย่างเห็นอนัตตาคือความไม่ใช่ตัวตนบางท่านที่นั่งอยู่อาจรู้สึกว่าตัวสูงติดเพดาน แขนยาวออกไปตัวหมุนหรือตัวเล็กลงเป็นจุดเดียวก็มีหรือบางท่านอาจจะเกิดความรู้สึกในใจว่าไม่ใช่ ตัวตนนี้คือลักษณะของอนัตตา สภาวะของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามักเกิดขึ้นขณะปฏิบัติธรรมอยู่และในขณะนั้นผู้ปฏิบัติย่อมสามารถ กำจัดห้วงน้ำคือทิฐิได้ ตลอดเวลามิฉะนั้นแล้วช่วงน้ำคือทิฏฐินี้จะท่วมทับทำให้จมอยู่จึงไม่สามารถว่าย ออกจากห้องน้ำนี้ได้ มีโยมคนหนึ่งถามอาตมาว่าโยมก็รู้ว่าตนเองแก่ลงทุกวันหนังก็เหี่ยวผมก็หงอกดวงตาก็ฝ้าฟาง ทำไมกิเลสจึงไม่ลดลง อาตมาตอบว่า เพราะโยมรู้เห็นความแก่หรือความไม่เที่ยงของสมมุติบัญญัติ คือร่างกายถ้าเรารู้เห็นความไม่เที่ยงของบัญญัติเช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้กิเลสลดลงได้เพราะยังรู้สึกว่า มีตัวตนเมื่อบัญญัติปรากฏเช่นนี้สภาวะธรรม ย่อมไม่ปรากฏชัดเจน ดังคำพังเพยของไทยว่า เห็นไพรไม่เห็นพฤกษ์เห็นพฤกษ์ไม่เห็นไพรนั่นเองผู้ปฏิบัติรู้สมมุติบัญญัติก็ไม่รู้สภาวะธรรม ถ้าเขารู้ สภาวะธรรมได้ตามความเป็นจริงเมื่อนั้นสมมุติบัญญัติย่อมหายไปในเวลานั้น
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 ก.ค. 2022, 09:07 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ห้วงน้ำใหญ่ คือ โอฆะ ๔ | ||
อวิชโชฆะ นอกจากห้วงน้ำคือทิฏฐิแล้วยังมีห้วงน้ำอีกอย่างหนึ่งเป็นห้วงน้ำสุดท้ายเรียกว่าอวิโชฆะห้วงน้ำคือ อวิชชา หมายความว่าขณะที่เรามิได้ปฏิบัติธรรมอยู่อวิชชาหรือโมหะมักเกิดขึ้นตลอดเวลาการเกิดขึ้นของอวิชชา มีอยู่หลายลักษณะเช่นการเกิดขึ้นของอวิชชาในขณะที่เราคิดฟุ้งซ่านโดยไม่รู้เห็นรูปนามตามความเป็น จริงนี่คือเป็นลักษณะ หนึ่งที่อวิชชามีกำลังแต่ในบางขณะความโลภหรือความโกรธก็เกิดขึ้นร่วมกับฝ่าย อวิชาอย่างเช่นเวลาที่เราเห็นรูปที่สวยงามน่าพอใจหรือได้ยินเสียงที่ไพเราะความโลภเกิดขึ้นร่วมกับอวิชชา ในขณะนั้นดังพระพุทธดำรัสว่า สุทฺโธ อตฺถํ สุทฺโธ ธมฺมํ น ปสฺสติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โลโภ สหเต นรํ. "ผู้โลภแล้วย่อมไม่รู้ผล ผู้โลภแล้วย่อมไม่รู้เหตุ ความโลภย่อมครอบงำนรชนในกาลใด ความมืดมนย่อมปรากฏในกาลนั้น ในเวลาที่ความโลกเกิดขึ้นเรามักไม่รู้เหตุไม่รู้ผลและในขณะนั้นมีความมืดเกิดขึ้นความมืดนี้เปรียบได้ กับอวิชชานั่นเองจัดว่าเป็นอวิชาที่เกิดร่วมกับความโลภทำหน้าที่ปิดบังโทษของความโลภจะเห็นได้ว่าอวิชชา เหมือนความมืดซึ่งเกิดขึ้นร่วมกับความโลภเสมอ แม้คนที่ถูกความโกรธครอบงำก็มีสภาวะเหมือนคนที่ถูก ความโลภนั้นครอบงำสมดังที่พระพุทธองค์ตัดถึงเรื่องนี้ว่า ทุฏฺโฐ อตฺถํ น ชานสติ ทุฏฺโฐ ธมฺมํ น ปส์สติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํโกโธ สหเต นรํ "ผู้โกรธแล้วย่อมไม่รู้ผล ผู้โกรธแล้วย่อมไม่เหตุ ความโกรธย่อมครอบงำนรชนในกาลใเ ความมืดมนย่อมปรากฏในกาลนั้น ขณะใดที่จิตของเรามีความโลภขณะนั้นอวิชชาย่อมเกิดขึ้นร่วมกับความโลภด้วย ในพระอภิธรรมเรียก จิตชนิดนี้ว่า โลภมูลจิต หมายถึงจิตที่มีความโลภะเป็นมูลเหตุคือมีโลภะเป็นประธานโดยมีโมหะเกิดร่วมกัน กับโลภะหรือขณะที่เราเกิดความโกรธขึ้นในใจที่ชื่อว่าโทสมูลจิตหมายถึงจิตที่มีโทสะเป็นมูลเหตุหรือ โทสะเป็นประธาน ซึ่งก็มีโมหะประกอบร่วมกับโทสะอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มิได้ปฏิบัติธรรมจึงถือว่าเกิดห้วงน้ำคืออวิชชาท่วมทับอยู่ในไม่สามารถจะว่ายข้ามห้วงน้ำ คืออวิชชาไปได้ความจริงเวลาที่เกิดอวิชานี้เป็นช่วงที่เรารับรู้สมมุติบัญญัติตลอดเวลาในคัมภีร์ทาง ศาสนาเรียกว่าสักยะทิฏฐิคือความเห็นผิดเป็นตัวตนตามนี้แปลตามศัพท์ว่าความเห็นผิดในหมู่ขันธ์ที่ มีอยู่จริงหมายความว่า ขันธ์ ๕ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแต่เราเข้าใจผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนเราของเราบุรุษ หรือสตรีซึ่งไม่มีอยู่จริง ขันธ์ ๕ นั้นเรียกว่า สักกายะ คือหมู่ขันธ์ ที่มีอยู่จริงโดยคำว่า ส มาจาก สนฺต ซึ่งแปลว่า "มีอยู่จริง" กาย ศัพท์ แปลว่า"หมู่" รวมทั้ง ศัพท์จึงแปลว่า "หมู่ขันธ์ที่มีอยู่จริง" นั่นคือขันธ์ ๕ เหล่านี้เป็น สภาวะธรรมที่มีอยู่จริงตามไตรลักษณ์ชาวโลกสำคัญผิดว่าเป็นรูปร่างสันฐานบุรุษหรือสตรีจึงทำให้ เราเข้าใจผิดฝันว่าเป็นรูปร่างสันฐานตัวตน สรุปความได้ว่าเมื่อเราเพลิดเพลินยินดีในกามคุณพอใจในฌาณสุขเห็นผิดในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน หรือมีอวิชชาที่ไม่รู้เห็นรูปธรรมตามความเป็นจริงก็นับว่าโอฆะทั้ง ๔ ท่วมทับอยู่ไม่อาจว่ายข้ามห้วงกิเลสได้
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |