ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปัญญา ๓ ระดับ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61889 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 เม.ย. 2022, 06:50 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ปัญญา ๓ ระดับ | ||
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปัญญาไว้ถึง 3 ระดับ ซึ่งปัญญาทุกประเภทนั้นต้องสอดคล้อง ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีอะไรสำคัญมากน้อยไปกว่ากัน เนื่องจากการจะข้ามสะพานไปได้ ต้องเดินผ่านตั้งแต่ ต้นสะพาน ผ่านกึ่งกลางสะพาน แล้วจึงจะถึงปลายสะพาน ข้ามฟากได้ ปัญญา 3 ระดับก็เป็นฉันนั้น คือเริ่มจาก เข้าใจว่าอะไรคือ กุศลและอกุศล, เข้าใจกระบวนธรรมชาติ ตั้งแต่กฎแห่งกรรม ถึงไตรลักษณ์, และสุดท้าย จึงตระหนักถึงสภาวะของทุกข์และแนวทางการดับทุกข์ เริ่มมีแนวคิดที่ถูกต้อง ยังต้องตามด้วยปัญญาที่เท่าทันด้วย แม้จะมีแนวคิดที่ถูกต้อง แต่มนุษย์มักหลงกลกิเลส เพราะกิเลสไม่อยากให้มนุษย์ได้ดี เราจึงต้องใช้ปัญญาสอดส่องดูแลและควบคุมตนเองไม่ให้พ่ายแพ้กิเลส ควบคุมความคิดให้ระมัดระวัง แต่ปัญญาจะมีได้นั้น จะขาดเสียไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ การศึกษา เมื่อศึกษาจึงเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาจึงมีความคิด เมื่อมีความคิดจึงตั้งใจเมื่อตั้งใจแล้วจึงปฏิบัติใช่ไหม เราอยู่ในโลก แม้มีเพียงความรัก แต่ถ้าไม่ศึกษาในความรักให้ดี ก็จะกลายเป็นคนตาบอด แม้มีความเมตตาแต่ถ้าไม่ศึกษาให้ดีแล้วก็จะกลายเป็นคนโง่งม โดนเขาเอาความดีที่เราอยากทำนั้นไปใช้หลอกลวงผู้อื่น แม้เรามีความกล้าหาญ แต่ความกล้าหาญนั้นไม่ได้ศึกษาให้ดี ความกล้านั้นจะกลายเป็นมุทะลุเอาแต่ใจกล้าเบบผิดๆ กล้าแบบเอาชีวิตไปเสี่ยง แม้จะมีใจรับฟัง แต่ถ้าเอาแต่ฟังไม่ศึกษาสิ่งที่ฟัง ไม่ศึกษาสิ่งที่พิจารณา ก็เป็นอันตราย โดนเขาจูงไปไม่รู้ตัว การศึกษาทำให้เกิดปัญญา เกิดความคิด ทำให้เกิดความตั้งใจว่าจะเป็นสิ่งใด เป็นอะไรจากสิ่งที่ศึกษากัน เป็นคนเหมือนเดิม หรือเป็นพุทธะ วันนี้เรามาศึกษาเพื่อเป็นพุทธะ แต่ก่อนจะเป็นพุทธะต้องเป็นคนให้ดีก่อน เมื่อเป็นคนดีได้จึงก้าวไปสู่การเป็นพุทธะได้ ช่วงที่จะก้าวเป็นคนดี เป็นพุทธะช่วงนั้นต้องรู้จักเอาความดีช่วยคน ทำไมจึงต้องช่วยหากท่านมีทรัพย์ แต่เก็บทรัพย์ไว้ในดิน เรียกว่ามีทรัพย์หรือไร้ทรัพย์ถ้าท่านมีความรู้เก็บความรู้ใว้ ไม่เคยพูดไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร เรียกว่ารู้หรือไม่รู้ และถ้ารู้แล้วเอาแต่โอ้อวด แต่ไม่ถ่ายทอดอย่างจริงใจเรียกว่ารู้หรือไม่รู้ ฉะนั้น การถ่ายทอดก็ต้องระมัดระวัง ถ่ายทอดแบบไม่อวด บางคนมีทรัพย์ เก็บทรัพย์ไว้ นี่ถ็ไม่ถูกต้อง บางคนมีทรัพย์ได้แต่อวดทรัพย์ นี่ก็ไม่ถูกทาง ฉะนั้นมีสิ่งดี จงนำสิ่งดีออกใช้ ใช้แบบไม่ยึดติด ใช้แบบเปิดใจกว้าง พร้อมที่จะแก้ไขและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นพร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สังคมที่เป็นแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ เราจะช่วยให้ดีได้ต้วยตัวเองเป็นผู้เริ่มต้น แผ่นดินที่แห้งแล้งรอน้ำและรอต้นหญ้าที่แกร่งกล้าไปอยู่ในดินแดนนั้นโลกที่สกปรกโสมมรอพุทธะที่องอาจพร้อมจะนำ คุณธรรมไปเบ่งบาน ชะล้างโลกนี้ให้กลับสะอาดเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันตัวท่านไม่อยากทำดีเพราะอะไร หนึ่ง กลัวคำพูดคน สอง ทำแล้วอาย ทำดีไปแล้วกลัวโดนเขาล้อ โดนเขาว่าพอบอกว่าเราเป็นคนดีก็ถูกเพื่อนถากถางทำไมต้องกลัว ถ้าท่านอยากได้ดี อยากให้มีดี อยากให้เพื่อนดีด้วยเราไม่ต้องกลัวไม่เช่นนั้นท่านคงไม่รู้จักพระพุทธองค์ไม่รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าท่านกลัวการทำดี เพราะคนไม่อยากได้ดี ถ้ามีแต่คนชั่วร้าย แล้วพุทธะไม่ทำดีแล้วจะมีความดีหลงเหลือในโลกนี้ไหมท่านลองคิดให้ดีๆปัญญาจะเกิดได้ต้องควบคู่กับการศึกษาศึกษาทางโลกก็ได้ปัญญาทางโลก ศึกษาทางธรรมก็ได้ปัญญาทางธรรม ถ้าเกิดว่าเรามีกิเลส มีความโลภ มีตัณหา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราต้องทุกข์ แล้วเป็นอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ใช่หรือไม่ แล้วเราจะตัดที่ไหนลองใช้ปัญญาของท่าน (ตัดกิเลส ตัดความอยาก) ถามว่า กิเลสอยู่ที่ไหนความอยากอยู่ที่ไหน ต้องใช้ปัญญาตัดให้ถูกที่ใช่ไหม เหมือนท่านอยากเห็นนกท่านต้องไปมองที่ไหน(รัง, ฟ้า, ต้นไม้) ถูกทั้งสามคำตอบนะอยากเห็นปลาต้องไปมองที่ (น้ำ) นั่นก็คือ เราอยากหาว่าสิ่งนี้อยู่ที่ไหนเราต้องไปหาให้เจอว่ามาจากตรงไหนใช่หรือไม่ แล้วกิเลส อารมณ์เล่ามาจากที่ใด (ใจ) ฉะนั้น เราจะตัดก็ต้องตัดที่ใจ แต่ใจนั้นจะตัด ใช่ตัดตอนนั่งท่องมนต์นั่งไหว้พระตัดได้ไหม ตอนเราสวดมนต์ตอนนั้นเรามีกิเลส มีอารมณ์ มีตัณหาไหม (ไม่มี) บางครั้งก็ยังมีคั่งค้างอยู่ ยังเป็นตะกอนเกาะอยู่ที่ใจ ใครกล้ายอมรับบ้างว่าตอนนี้ใจสะอาดไม่มีความเกลียดอยู่ในใจ ท่านจะสวดมนต์ทุกขณะได้หรือไม่ (ไม่ได้) นั่นก็คือ เราไม่สามารถสวดมนต์แต่เพียงอย่างเดียวได้ แล้วปัญญาท่านจะเอามาจากอะไรถึงจะดับได้ทุกขณะ (สติ) เราจะทำอย่างไรปัญญาเราถึงจะสามารถตัดกิเลสได้ทุกขณะเวลา นั่นก็คือ ต้องมีสติและปัญญาให้เท่าทันทุกขณะจิต ทุกขณะอารมณ์ มนุษย์มักอยู่ได้ด้วยอารมณ์ของตน เดินเคลื่อนไหวไปตามแรงผลักดันของอารมณ์ตน เรามีอารมณ์ก็เพราะเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเรายังมีอารมณ์เหล่านี้ใจเราจะไม่สามารถที่จะตัดภพตัดชาติตัดอารมณ์กิเลสได้ เราก็จะต้องว่ายเวียนเกี่ยวกรรมไปเรื่อยๆ น่ากลัวนะ วันนี้เกี่ยวคนนี้ที วันต่อไปเกี่ยวคนนั้นที เราเกี่ยวเขาเราว่าเราปล่อยแล้ว แต่เขาไม่ปล่อย ฉะนั้นเกี่ยวน้อยๆ สร้างเหตุน้อย ผลจะได้ไม่ส่งกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเขาจะได้ไม่ต้องกลับมาทำร้ายท่านอีก การศึกษาธรรมนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวตนเองได้อย่างแท้จริงแล้ว ยังเข้าใจ รู้แจ้งชีวิต และนำพาชีวิตไปถูกทางปัญญาย่อมส่งผลแม้ในชาตินี้และชาติหน้าไม่ยอมทอดทิ้งกันเลยในระหว่างทางปัญญาเป็นสิ่งมีค่าทำให้เรารอดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวง ปัญญาทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าอื่นใด คนปัญญาจะเกิดได้จากการฝึกฝนเหมือนมีดจะคมได้ต้องหมั่นลับกับหิน และควรจะเรียนรู้ได้จากสิ่งใดบ้างจากผู้มีประสบการณ์มาแล้วถ่ายทอดเป็นหนังสือ จากการน้อมยอมรับฟังใฝ่หาผู้รู้ เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่เราดำเนินอยู่และในที่ผ่านมา เรียนรู้ได้จากการที่เรายอมบอกว่าเราเป็นผู้ไม่รู้เราโง่เขลา และมีใจอยากเรียนรู้พยายามนอบน้อมเข้าหา จะเรียนรู้ได้อย่างไรถ้าเราไม่สนใจ จะเรียนรู้ได้อย่างไรถ้าเรายังหยิ่งผยองในจิต จะเรียนรู้ได้อย่างไรคิดว่าตัวเองฉลาดแล้ว จะเรียนรู้ได้อย่างไรที่ดูถูกตัวเองว่าปัญญาไม่ดี จะเรียนรู้ได้อย่างไรในเมื่อคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ทางของเรา และสุดท้ายคิดว่าเราไม่มีเวลา เป็นการปฏิเสธที่นิ่มนวล ฉะนั้นเรียนรู้สิ่งใดก็ตามอย่าลืมว่าต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และยอมรับว่าเราไม่รู้และเราอยากเรียน ทุกความรู้ย่อมมีครูมาก่อนจะเป็นบาปไหมที่มองเห็นความรู้อยู่ซึ่งๆหน้าแต่คว้ามาใส่ตนไม่ได้....ปัญญา ทำให้เกิดได้ ๓ วิธี คือ ๑. เกิดขึ้นได้โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา) ๒. เกิดขึ้นได้โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา) ๓. เกิดขึ้นได้โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา) ปัญญาทั้ง ๓ นี้จะต้องสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน จะขาดเสียอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย ปัญญาที่ได้จากศึกษาเล่าเรียนหรืออ่านจากตำราก็ใช่ว่าจะต้องเชื่อทั้งหมด ยังต้องใช้ปัญญาขั้น จินตามยปัญญา ใคร่ครวญตรึกตรองว่าสมควรจะเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องใช้ปัญญา ระดับสูงคือภาวนามยปัญญาเข้ามาไถ่ถอนเพื่อความเห็นแจ้งรู้จริง
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.พ. 2023, 05:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัญญา ๓ ระดับ |
ปัญญา ๓ ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) สุดมยปัญญา เกิดจากเสียงแนะนำของผู้อื่น จินตามยปัญญา เกิดจากการใส่ใจโดยแยบคายซึ่งเกิดภายในตน ภาวนามปัญญา ปัญญาที่เกิดจากเสียงแนะน่าของผู้อื่น และการใส่ใจโคยแยบคาย ซึ่งเกิดภายในตน" ข้อความข้างตันเป็นการจำแนกปัญญา - ประเภทอีกนัยหนึ่ง กล่าวคือ ปุถุชนต้องฟัง คำแนะน่าจากพระศาสดาหรือสาวก จะเข้าใจด้วยตนเองไม่ได้ ปัญญาอย่างนี้เรียกว่า สุตมยปัญญา นอกจากนี้ เขาต้องมีการใส่ใจโดยแยบคายซึ่งเกิดขึ้นภายในตน เช่น การกำทนดลักษณะพิเศษของรูป และนามว่า รูปมีลักษณะแปรปรวน นามมีลักษณะน้อมไปสู่อารมณ์ เป็นต้น ปัญญาอย่างนี้เรียกว่า จินตามยปัญญา ส่วนปัญญาที่เกิดจากคำแนะนำของผู้อื่นและการใส่ใจโดยแถบคาย ชื่อว่า ภาวนามย ปัญญา ในคำว่า โยนิโสมนสิการ (การส่ใจโดยแยบคาย) คำว่า โยนิโส (โดยแยบคาย) คัมภีร็อรถ กถาอธิบายว่า อุปาเยน (โดยวิธี, นัย หมายถึง การไส่ใจตัวยวิธีที่ถูกต้อง ซึ่งเข้าใจความต่างกันของ รูปธรรมและนามธรรม อนึ่ง คำนี้เมื่อเกี่ยวกับจินตามยปัญญา หมายถึง การพิจารณาให้เข้าใจถึง ลักษณะพิเศษของรูปนาม การรับรู้ในลักษณะนี้มีอารมณ์เป็นสมมุติบัญญัติ แต่ปัญญาระดับภาวนามย ปัญญาไม่ไช่การพิจารณาอย่างนั้น แต่เป็นการหยั่งเห็นสักษณะพิเศษของรูปนามอย่างชัดเจน โดยไม่มี สมมุติบัญญัติใด ๆ เพราะวิปัสสนาญาณต้องมีอารมณ์เป็นสภาวธรรมเท่านั้น/ เวไนยชนผู้มีปัญญาแต่ละอย่าง ปัญญาทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา มีอยู่แก่บุคคลใด บุตคลนี้ชื่อว่า อุคฆฏิตัญญู (เพราะรู้แจ้งด้วยอุเทศ สุตมยปัญญามีอยู่ แต่จินตามยปัญญาไม่มีแก่บุคคลใต บุคคลนี้ชื่อว่า วิปจิตัญญู (เพราะรู้แจ้งด้วยอุเทศและนิเทศ] ทั้งสุตมยปัญญาและจินตามปัญญาไม่มีแก่บุคคลใด บุคคลนี้ชื่อว่า เนยยะ [เพราะ เป็นผู้ควรแนะนำด้วยเทศนาอันพิสดาร" [อุคฆฏิตัญญูเป็นผู้ที่มีปัญญาแก่กล้า เพราะได้ศึกษาเล่าเรียนและไตร่ครวญธรรมมาแล้วใน ชาติก่อน จึงบรรลุธรรมได้เร็วด้วยการฟังอุเทศ ส่วนวิปจิตัญญป็นผู้มีปัญญาไม่แก่กล้ามากนัก เพราะ ได้สังสมสุตมยปัญญาเท่านั้น จึงบรรลุธรรมได้ด้วยการฟังอุเทศและนิเทส ส่วนเนยยะเป็นผู้ที่มิได้ส่งสม ปัญญาทั้งสองประการนั้น จึงมีปัญญาน้อย บรรลุได้ด้วยเทสนาอันพิศดาร] |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |