ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

การเจริญมรรคภาวนามี ๒ ประการ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61876
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 06 เม.ย. 2022, 11:19 ]
หัวข้อกระทู้:  การเจริญมรรคภาวนามี ๒ ประการ

๖๔
การเจริญมรรคภาวนา มี ๒ ประการ

วิธีการเจริญมรรค หมายความว่า โยคีบางท่านย่อมเจริญวิปัสสนาที่มีสมถะนำหน้า
บางท่านเจริญสมถะที่วิปัสสนานำหน้า เช่น โยคีบางท่านในพระศาสนานี้ย่อมเจริญวิปัสสนา
ที่มีอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธินำหน้า ก็อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิได้ซื่อว่าสมถะ
โยคีผู้เจริญสมถะนั้นย่อมเห็นแจ้งซึ่งสมาธินั้นและจิตเจตสิกที่ประกอบกับสมาธินั้นโดยความ
เป็นไตรลักษณ์มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สมถะของบุคคลนั้นย่อมเกิดขึ้นก่อน
ส่วนวิปัสสนาเกิดขึ้นภายหลัง ดังนั้นบุคคลผู้เรียกว่าสมถะยานิกะนั้น จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที
เจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะนำหน้า สำหรับบุคคลผู้เจริญภาวนาในลักษณะเช่นนี้กล่าวคือบุคคล
ผู้นำเอาสมถะมาเป็นบาทฐาณแล้วเจริญวิปัสสนาภายหลังนั้น อริยมรรคย่อมเกิดขึ้นแก่โยคีผู้นั้น

หลักการเจริญที่เรียกว่าสมถปุพพังคมภาวนานัยกล่าวคือเจริญวิปัสสนาภาวนา
ซึ่งมีสมถะนำหน้าเป็นอริยมรรคภาวนาบุคคลผู้เป็นวิปัสสนายานิกะ ข้อนี้ตรงกับคำอธิบาย
แห่งฎีกาว่า"ปฐม สมถยานิกสฺส วเสน วุตฺโต."
หลักการเจริญภาวนาข้อที่ ๑ ถูกแสดงไว้โดยความเป็นสมถยานิกบุคคล จากคำกล่าว
ในคัมภีร์อรรถกถานี้พึงทราบว่า โยคีเจริญวิปัสสนาย่อมเห็นแจ้งซึ่งสมาธิและสัมปยุตตธรรม
ที่ประกอบกับสมาธินั้นโดยความเป็นไตรลักษณ์ ซึ่งถ้าเป็นสมถยานิกะแล้วโดยส่วนมาก
เป็นการเจริญตามแนวนี้ทั้งสิ้น

ไฟล์แนป:
GettyImages-477401521.jpg
GettyImages-477401521.jpg [ 100.86 KiB | เปิดดู 496 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 06 เม.ย. 2022, 15:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การเจริญมรรคภาวนามี ๒ ประกาา

นอกจากนี้ ผู้ศึกษาควรทำความเข้าใจแม้ซึ่งคำอธิบายที่จะกล่าวต่อไปนี้ไว้ด้วยว่า ในคัมภีร์อรรถกถานั้น
ท่านเพียงแต่กล่าวว่า หลังจากบุคคลเขริญสมถะแล้วย่อมเห็นแจ้งโดยความเป็นไตรลักษณ์มีอนิจจา
ลักษณะเป็นต้นเท่านั้น โดยที่ท่านไม่ได้กล่าวว่าเป็นการให้บังเกิดขึ้นหรือเจริญนามรูปปริเฉทญาณ
และปัจจยปริคคหญาณทั้งสองแจ่อย่างใด ซึ่งการกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่ควรเข้าใจผิดว่า แม้ญาณทั้งสอง
ก็จะต้องเจริญโดยมีสมถะนำหน้าก่อน และไม่ควรที่เข้าใจผิดว่า อนิจจานุปัสสนา เป็นต้น
สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากญาณทั้งสองนั้นเช่นกัน แต่ควรจะทำความเข้าใจหลังจากที่เจริญ
สมถะแล้วสามารถที่จะเห็นแจ้งด้วยญาณทั้งสองนั้น หลังจากนั้นจึงเห็นแจ้งไตรลักษณ์มีอนิจจลักษณะเป็นต้น

สาเหตุที่สามารถให้เข้าใจเช่นนี้นก็คื คำว่า "อนิจจาทีหิบุคคลย่อมเห็นแจ้งด้วยไตรลักษณ์
มีอนิจจลักษณะเป็นต้น เป็นคำที่กล่าวไว้โดย ปธานนัย นัยที่ยกเอาสิ่งที่เป็นประธานขึ้นกล่าวนั้น
หมายความว่า ทรงแสดงธรรมที่เป็นปรัธานเท่านั้น ส่วนธรรมที่ไม่ได้เป็นประธานให้สามารถรู้ได้โดยนัย
ซึ่งเรียกว่า ปธานนัยนั่นเอง เพราะฉะนั้น แม้จะกล่าวถึงอนิจจานุปัสสนาโดยตรง หรือกล่าวไว้โดย
เป็นประธานส่วนญาณทั้งสองคือนามรูปปริเฉทญาณและปัจจยปริคคหหญาณนั้น แม้ไม่ได้
กล่าวไว้แต่พระอรรถกถาจารย์ท่านก็ได้อธิบายขยายควาให้ อุปมาเหมือนกับคำว่าราชา อาคจฺฉติ
พระราชาเสด็จออกจากพระนคร แม้จะกล่าวถึงพระราชา พระองค์เดียว แต่พึงทราบว่าโดย
ปกติแล้วพระราชามีข้าราชบริพาาแวดล้อมไปด้วยเสมอ ซึ่งถ้าไม่ถือเอาในความหมาย
ในลักษณะเช่นนี้ แต่กลับไปเข้าใจผิดว่าวิปัสสนาญาณเริ่มขึ้นที่อนิจจาทินุปัสสนาซึ่งจะทำให้
ไม่สอดคล้องกับคัมภีร์ทั้งหลายที่แสดงวิปัสสนาได้ ข้อนี้นักศึกษาพึงทำความเข้าใจให้ดี

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/