ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มหากุศลจิตตุปบาท http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61483 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 ธ.ค. 2021, 14:05 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | มหากุศลจิตตุปบาท | ||
มหากุศลจิตตุปบาท แนวทางหยั่งลงในปฏิจจสมุปบาท อินทรีย์ ขันธ์ ธาตุ และอายตนะ แนวทางนั้นชื่อว่า โอตรณหาระ โอตรณหาระ คือแนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฏิจจสมุปบาท เช่น นโม พุทฺธสฺส(ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า)องค์ธรรมคือ มหากุศลจิตตุปบาท จำแนกดังนี้ คือ ๑. ขันธ์ ๕ - เวทนาเจตสิกในจิตตุปบาทข้างต้น ชื่อว่า เวทนาขันธ์ - สัญญาเจตสิก ชื่อว่า สัญญาขันธ์ - เจตสิกอื่นเว้นเวทนาและสัญญา ชื่อว่า สังขารขันธ์ - มหากุศลจิต ชิ่อว่า วิญญาณขันธ์ ๒. อายตนะ ๑๒ - มหากุศลจิต ๘ ดวง ชื่อว่า มนายตนะ - เจตสิก ๓๘ ดวงที่ประกอบตามสมควร ชื่อว่า ธรรมายตนะ ๓. ธาตุ ๑๘ - มหากุศลจิต ๘ ดวง ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ - เจตสิก ๓๘ ดวงชื่อว่า ธรรมธาตุ ๔. อินทรีย์ ๒๒ - เวทนาเจตสิกในมหากุศลโสมนัส ๔ ชื่อว่า โสมนัสสินทรีย์ - เวทนาเจตสิกในมหากุศลอุเบกขา ๔ ชื่อว่า อุเบกขินทรีย์ - ชีวิตินทรีย์เจตสิก ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์ - มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มนินทรีย์ - ศรัทธาเจตสิก ชื่อว่า สัทธินทรีย์ - วิริยเจตสิก ชื่อว่า วิริยินทรีย์ - สติเจตสิก ชื่อ สตินทรีย์ - เอกัคคตาเจตสิก ชือว่า สมาธินทรีย์ - ปัญญาเจตสิก ชื่อว่า ปัญญินรีย์
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 ธ.ค. 2021, 14:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มหากุศลจิตตุปบาท |
๕. ปฏิจจสมุปบาท (อนุโลมนัย) - เจตนาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า สังขาร - เหตุของสังขาร คือ อวิชชา สังขารทั้งหลายย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย - วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย - นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย - สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย - ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย - เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย - ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย - อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย - ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย - ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย - ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสัย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 ธ.ค. 2021, 15:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มหากุศลจิตตุปบาท |
๖. ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิโลมนัย) - ปัญญาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า วิชชา - เมื่อวิชชาเกิด อวิชชาย่อมดับไป - สังขารย่อมดับเพราะอวิชชาดับ - วิญญาณย่อมดับเพราะสังขารดับ - นามรูปย่อมดับเพราะวิญญาณดับ - สฬายตนะย่อมดับเพราะนามรูปดับ - ผัสสะย่อมดับเพราะสฬายตนะดับ - เวทนาย่อมดับเพราะผัสสะดับ - ตัณหาย่อมดับเพราะเวทนาดับ - อุปาทานย่อมดับเพราะตัณหาดับ - ภพย่อมดับเพราะอุปาทานดับ - ชาติย่อมดับเพราะภพดับ - ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมดับเพราะชาติดับ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 ธ.ค. 2021, 16:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มหากุศลจิตตุปบาท |
ความจริงแล้วพระสูตรเป็นบุคคลาธิษฐานเทสนา คือ เทสนาที่มีบุคคลเป็นที่ตั้ง จึงอาจทำให้ไม่พบ องค์ธรรมโดยตรง แต่เมื่อจำแนกองค์ธรรมตามสมควรแล้ว แจกแจงเป็นขันธ์อายตนะ ธาตุ เป็นต้น ตามโอตรณหาระนี้ ก็จะทำให้เข้าใจหลักธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง เป็นบุคคลาธิษฐานนั้นได้อย่างชัดเจน ในสมัยก่อนบุคคลที่ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมได้ ก็เพราะสามารถเข้าใจ องค์ธรรมแล้วจำแนกเป็นขันธ์เป็นต้นได้ จึงทราบว่าธรรมอย่างไหนควรกำหนดรู้ ธรรมอย่างไหนควรกำหนดละ ธรรมอย่างไหนควรทำให้แจ้ง และธรรมหมวดไหนควรอบรมให้มากขึ้น แล้วกำหนดรู้ขันธ์ ๕ จึงบรรลุคุณธรรมพิเศษในพระศาสดาได้ เช่น คาถาที่พระอัชสฌิแสดงแก่อุปติสสะมาณพว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต อาห เตสญฺจ โย นิโรโธ เอวํวาที มหาสมโณ ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น และตรัสความความดับของธรรมเหล่านั้น มหาสมณทรงมีวาทะเช่นนี้ คำว่า ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งเกิดจากตัณหา แม้ว่าพระอัชสฌิจะมิได้ระบุธรรมดังกล่าว คืออะไร และเหตุเกิดคืออะไร แต่อุปติสสะมาณพก็เข้าใจได้ว่าธรรมดังกล่าว คือ ขันธ์ ๕ และเหตุเกิดคือตัณหา เพราะสมมุติบัญญัติตามหลักสันสกฤตถือว่า เป็นสิ่งไม่มีเบื้องต้น เนื่องจากเป็นบัญญัติของคนสมัยก่อนสืบทอดกันต่อๆมา จึงถือว่าไม่มีเหตุเกิดแต่อย่างใด ดังนั้น สิ่งที่มีเหตุเกิด ก็คือปรมัตถธรรมหรือสภาวธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ นั่นเอง อันมีเหตุเหตุเกิด คือตัณหาที่เป็นความทะยานอยาก ในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 ธ.ค. 2021, 16:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มหากุศลจิตตุปบาท |
คำว่า ความดับของธรรมเหล่านั้น คือความดับของขันธ์ ๕ นั่นเอง อนึ่ง ขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้(ปริญเญยยะ) ตัณหาเป็นตัวสมุทัยที่ควรละ(ปหารัพพะ) ความดับของขันธ์เป็นทุกขนิโรธที่ควรกระทำให้แจ้ง(สัจฉิกาตัพพะ) อุปติสสะมาณพเข้าใจข้อความเหล่านี้ ได้ด้วยปัญญาของตนที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ อีกทั้งเข้าใจแนวทาง ในการเจริญวิปัสสนาที่เป็นอริยมรรค ที่มีองค์ ๘ อันเป็นธรรมที่ควรอบรม(ภาเวตัพพะ) เมื่อท่านเข้าใจอริยสัจ ๓ ข้อแรกที่กล่าวไว้ในคาถาโดยตรง และเข้าใจอริยสัจที่ ๔ ที่กล่าวไว้โดยอ้อมแล้วได้เจริญสติกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ทีปรากฏในปัจจุบันขณะ ตามความเป็นจริง จึงบรรลุธรรมเป็นโสดาบันเมื่อฟังธรรมจบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |