ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

สมูหฆนะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61302
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 12 พ.ย. 2021, 14:26 ]
หัวข้อกระทู้:  สมูหฆนะ

สมูหฆนะ

โดยปกติแล้วนักปฏิบัติที่ยังไม่เคยกำหนดวิปัสสนา ย่อมสำคัญผิดคิดว่า นามและรูปเป็นสิ่งเดียวกัน หรือเป็นวัตถุเดียวกัน ยากที่มีใครสามารถแยกแยะ นามกับรูปออกจากกันได้ เช่น ในเวลาที่กระทำการคู้แขน เหยียดขา เขาย่อมไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อาการอยากคู้ อยากเหยียดของจิตใจ กับอาการคู้ อาการเหยียดของรูปกายนั้น เป็นสภาวธรรมที่แตกต่างกัน แต่จะมองเห็นเป็นภาพรวมไปเลยว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ ในกรณีที่เกี่ยวกับรูปของบุคคลเดียวกัน เขาย่อมมีความสำคัญผิดคิดว่า รูปในร่างกายตนนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เช่นว่า เห็นว่า ตา หู จมูก ผิวพรรณและเสียงเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นในเวลาที่เห็นส่วนของร่างกาย เช่นมือด้วยตา กับเวลาที่สัมผัสมือดังกล่าวด้วยกาย เขาย่อมเกิดความสำคัญว่า รูปผิวพรรณที่เห็นได้ด้วยตา กับรูปกายที่สัมผัสได้ด้วยกายนั้น คือ สิ่งเดียวกัน โดยสำคัญว่า สิ่งที่เขาเห็นคือมือและสิ่งที่สัมผัสก็คือมือ ยิ่งไปกว่านั้นยังสำคัญว่ารูปที่รองรับการเห็นกับรูปที่รองรับการสัมผัสนั้นเป็นรูปเดียวกัน

นี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเท่านั้น หากจะกล่าวถึงอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นแล้วช่างกว้างขวางพิสดารยิ่งนัก จึงขอให้นักปฏิบัติสำเหนียกรู้ตามนัยที่กล่าวมานี้ว่า สิ่งที่เราพากันยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดคิดว่าหมู่นามรูปเป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นกองเดียวกัน นั้นท่านเรียกว่า สมูหฆนบัญญัตื และเนื่องจากไม่สามารถใช้วิปัสสนากำหนดสถาวธรรมซึ่งมีสภาพที่แตกต่างกัน ให้เห็นเป็นสิ่งแตกต่างกันได้สมูหฆนะเข้าปิดบังอนัตตลักษณะของนามรูปไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อใด นักปฏิบัติตามกำหนดนามรูปอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้สามารถกำหนดแยกแยะนามรูปได้ หมายความว่า นามรูป จะปรากฏเป็นของต่างกัน เช่น ในขณะที่ทำการคู้เข้าจิตที่ต้องการอยากจะคู้กับรูปที่กำหนดคู้จะปรากฏให้เห็นเป็นทีละอย่างๆไปโดยไม่ควรปะปนกัน ในขณะที่ทำการเหยียด จิจที่ต้องการจะเหยียด กับรูปที่กำลังเหยียดก็จะปรากฏโดยทำนองเดียวกันนี้ นอกจากนี้ ในขณะที่กำลังกำหนดว่า"พองหนอ" อาการที่ท้องพอง นั้นเป็นรูป ส่วนการกำหนดรู้ เป็นนาม แม่ในการกำหนดอารมณ์อื่นๆ ก็ปรากฏโดยทำนองเดียวกันนี้ ก็ถ้านามกับรูปปรากฏเป็นอย่างๆ เช่นนี้ ย่อมแสดงว่า สมูหฆนะได้ถูกทำลายลงแล้ว และถึงตอนนั้นก็จะเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 12 พ.ย. 2021, 16:28 ]
หัวข้อกระทู้:  สมูหฆนะ

จิตที่อยากคู้อยากเหยียดนั้นไม่สามารถทำหน้าที่คู้หรือเหยียดได้โดยตรงและรูปที่คู้หรือเหยียดก็ไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้หากไม่มีจิตคอยกระตุ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่งกันและกันตลอดเวลา แม้รูปที่พองยุบ ถ้าขาดจิตเสียแล้วก็ไม่สามารถ ทำหน้าที่รับรู้หรือกำหนดได้ โดยทำนองเดียวกัน จิตที่กำหนดว่ารู้จะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ถ้าปราศจากอาการพองหรืออาการยุบของรูป การรู้เช่นนี้แหละคือจุดเริ่มต้น ที่จะทำให้อนัตตลักษณะปรากฏออกมาตามสภาพที่เป็นจริง

นอกจากนี้แล้วในเวลาที่นักปฏิบัติจำเป็นต้องกำหนดการเห็น อาการได้ยิน และการสัมผัสเหล่านี้โดยต่อเนื่องกัน อาการทั้งหลายดังกล่าวก็จะปรากฏเป็นอย่างๆไป เช่นรูปที่เห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง เสียงที่ได้ยิน ก็เป็นอย่างหนึ่ง รูปที่สัมผัสก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง จักขุปสาทรูปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง โสตปสาทรูปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง กายปสาทรูปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การเห็นเป็นนาม สิ่งที่เราเห็นเป็นรูป ส่วนการกระทบกันระหว่างรูปารมณ์กับการเห็น เรียกว่า ผัสสะ สัมผัสนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ครั้นเห็นแล้วเวทนา(ซึ่งอาจเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว)ก็เกิดขึ้น เวทนาที่ว่านี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นนักปฏิบัติสามารถเห็นปรากฏการณ์ ของสภาวธรรมชาติของนามรูปเช่นนี้ สมูหฆนะบัญญัติของเขาก็จะแตกสลายไปในที่สุด

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/