ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วิปัสสนา มี ๓ อย่าง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61024 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 02 ต.ค. 2021, 15:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | วิปัสสนา มี ๓ อย่าง |
วิปสฺสนา ปเนสา ติวิธา โหติ สงฺขารปริคฺคณฺหนกวิปสฺสนา ผลสมาปตฺติวิปสฺสนา นิโรธสมาปตฺติวิปสฺสนาติ. ตตฺถ สงฺขารปริคฺคณฺหนกวิปสฺสนา มยฺทา วา โหตุ ติกฺขา วา, มคฺคสฺส ปทฏฺฐานํ โหติเยว. ผลสมาปตฺติวิปสฺสนา ติกฺขาววฏฺฏติ มคฺคาภาวนาสทิสา. นิโรธสมาปตฺติวิปสฺสนา ปน นาติมนฺทนาติติกฺขา วฏฺฏติ.[/size] (วิสุทฺธิ. ๒/๓๙๔. ปฏิสํ.อฏฺ ๑/๓๓๓) วิปัสสนานี้มี ๓ อย่าง คือ ๑. วิปัสสนาที่กำหนดรู้กองสังขารเพื่อบรรลุอริยมรรค ๒. วิปัสสนาที่กำหนดเพื่อผลสมาบัติ ๓. วิปัสสนาที่กำหนดเพื่อนิโรธสมาบัติ ในวิปัสสนา ๓ อย่างนั้นวิปัสสนาที่กำหนดรู้กองสังขาร ไม่ว่าจะเชื่องช้า หรือปราดเปรื่องย่อมเป็นเหตุให้ได้มรรคโดยตรงทั้งสิ้น (ถ้าวิปัสสนาเชื่องช้า จะทำให้เกิดทันธาภิญญามรรค ถ้าปราดเปรื่อง จะทำให้เกิดขิปปาภิญญามรรค นี้เป็นความแตกต่างระหว่างเชื่องช้ากับปราดเปรื่อง ก็เมื่อใด วิปัสสนาถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะของวุฏฐาคามินี เมื่อนั้นย่อมสามารถเป็นเหตุให้มรรคบังเกิดขึ้นโดยตรง) ส่วนวิปัสสนาที่กำหนดเพื่อผลสมาบัติ มีความหมายเหมือนกันกับมรรคภาวนา (เพราะเป็นไปโดยอาการที่ปราศจากสังขารและปัจจัยให้กับผลซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์เหมือนกับมรรค) ดังนั้น จะต้องเป็นวิปัสสนาที่ปราดเปรื่องอย่างเดียวจึงจะเหมาะสม ส่วนวิปัสสนาที่กำหนดเพื่อนิโรธสมาบัตินั้น จะต้องไม่เชื่องช้าหรือปราดเปรื่องจนเกินไปจึงจะไม่เหมาะ คำว่า วิปัสสนาที่กำหนดผลสมาบัติจะต้องปราดเปรื่อง นี้เป็นคำกล่าวที่มุ่งถึงวิปัสสนาของผู้ที่เริ่มต้นเข้าผลสมาบัติใหม่เพราะว่าในอรรถกถาแห่งปฏิสัมภิทามรรคได้กล่าวไว้อย่างนี้ว่า สงฺขารุเปกฺขาย ติกฺขภาเว สติ กิเลสปฺปหาเน สมตฺถสฺส มคฺคสฺส สมฺภวโต ตสฺสา ติกฺขภาวทสฺสนตฺถํ เววจนปเทหิ สห ทฬฺหํ กตฺวา มูลปทานิ วุตฺตานิ. ผสฺสนิรุสฺสาหภาเวน สนฺตสภาวตฺตา มคฺคายตฺตตฺตา ย มนฺทภูตาปิ สงฺขารัเปกฺขา ผลสฺส ปจฺจโย โหตึติ ทสฺสนตฺถํ มูลปทาเนว วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานื. [size=110](ปฏิสํ. อฏฺ.๑/๒๙๒) |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ต.ค. 2021, 06:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิปัสสนา มี ๓ อย่าง |
(ในวาระของมรรค) พึงทราบว่าเมิ่อสังขารุปกขาฐาณมีความปราดเปรื่องย่อมเป็นเหตุให้มรรคที่มีความสามารถในการทำลายกิเลสเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ท่านจึงกล่าวที่เป็หลักใหญ่ๆ (มี อุปฺปาทํ เป็นต้น) โดยเสริมบทที่เป็นไวพจน์(๑๐ บท)มาสนับสนุน เพื่อแสดงความปราดเปรื่องแห่งสังขารุเปกขาญาณนั้น ส่วนในวาระของผลสมาบัติ พึงทราบว่า ท่านกล่าวเฉพาะบทหลักใหญ่ๆ เท่านั้น(บท ๕ บทมี อุปฺปาทํ เป็นต้น) เพื่อแสดงให้เห็นว่าสังขารุเปกขาญาณนี้ จะมีความเชื่องช้าก็ย่อมสามารถเป็นเหตุปัจจัยให้กับผลได้ เพราะสังขารุเปกขาในผลเป็นสภาวธรรมที่สงบ โดยปราศจากความขวนขวายดิ้นรน และเพราะสังขารุเปกขาในผลเป็นสิ่งที่ได้มาโดยอาศัยมรรค* อนึ่ง เมื่อสามารถเข้าผลสมาบัติได้โดยต่อเนื่องแล้ว แม้ว่าสังขารุเปกขาญาณจะเชื่องช้า ก็สามารถเข้าถึงผลได้ จึงจะเห็นได้ว่าตรงตามคำในอรรถกถาที่ท่านกล่าวไว้ไม่ผิด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- *ไม่ใช่เป็นธรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นผลพลอยได้จากการบรรลุมรรค จึงเรียกได้ว่า เป็นสภาวธรรมเก่าที่กลังมาเกิดขึ้นอีก |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ต.ค. 2021, 07:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิปัสสนา มี ๓ อย่าง |
สัมมาทิฏฐิ ละมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นอปริหายิกธรรม เป็นธรรมที่ไม่นำความเสื่อมมาให้ มี ๓ ระดับ ๑. ปุพพภาคสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิขั้นพื้นฐาน เช่น ความเชื่อในกรรมและผลของกรรม ว่ามีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๒. วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิที่พิจารณารูปนามเห็นเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่อยู่ในการบังคับบัญชา (เห็นเป็นอนิจลักษณะ ทุกขลักษณะอนัตตลักษณะ ของรูปนามขันธ์ ๕ ) ๓. โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิในอริยมรรค เรียกว่า เป็นความเห็นถูกต้องที่แท้จริง คือ เกิดในที่มรรคจิตเกิด เป็นหนึ่งในองค์มรรค ๘ สัมมาทิฏฐิมี ๓ ระดับ คือ ช่วง ระดับต้น ระดับกลาง ระดับโลกุตตระ เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิอย่างถูกต้อง สำหรับทิฏฐิในที่นี้เป็นการพูดรวมทั้งปุพพภาควิปัสสนา และโลกุตตระ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ต.ค. 2021, 10:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิปัสสนา มี ๓ อย่าง |
อานิสงส์ของผลสมาบัติ การที่จะได้เสวยโลกุตตรสุขหลังจาดที่ได้บรรลุมรรคผลแล้ว จะต้องเข้าผลสมาบัติโดยก่อนเข้าจะต้องกำหนดระยะเวลาให้แน่นอนในขณะที่เข้าผลสมาบัติย่อมได้รับประโยชน์ คือการอยู่อย่างสงบปราศจากทุกข์ทั้งมวล นี้แหละคือประโยชน์ หรืออานิสงส์ของการเข้าผลสมาบัติ ลักษณะการเข้าถึงสมาบัติ เทฺวโขอาวุโสปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา สมาปตฺริยา สพฺพนิมิตฺตานญฺจ อมนสิการกาโร. อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโร พระบาลีดังกล่าวนี้มาในมหาเวทีลลสูตร(ม.มู.๑๒/๔๕๘/๔๐๗) ซึ่งมีใจความว่า ขณะที่กำหนดสังขารนิมิตอันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอารมณ์อยู่ดีๆ ก็ได้สลัดทิ้งอารมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถัดจากนั้นช่วงขณะที่จิตเข้าถึงนิพพานธาตุ อันสงบปราศจากอารมณ์ต่างๆนั่นแหละ คือการเข้าผลสมาบัติ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ต.ค. 2021, 11:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิปัสสนา มี ๓ อย่าง |
สำหรับลำดับกระบวนการเข้าผลสมาบัตินั้น พึงทราบตามนัยคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังนี้ ผลสมาปตฺตตฺถิเกน หิ อริยาสาวเกน รโทคเตน ปฏิสลฺลีเนน อุทยพฺพยาทิวเสน สงฺขารา ปสฺสิตพฺพา. ตสฺส ปวตฺตานุปุพฺพวิปสฺสนสฺส สงฺขารารมฺมณโคตฺรภุญาณานฺตรา ผลสมาปตฺติวเสย นิโรเธ จิตฺตํ อปฺเปติ. ผลสมาปตฺตินินฺนตาย เจตฺถ เสกฺขสฺสาปิ ผงเมว อุปฺปชฺชติ น มคฺโค. (วิสุทฺธิ. ๒/๓๘๗) ในเบื้องต้นพระอริยสาวกผู้ต้องการจะเข้าผลสมาบัติ ต้องหลีกเร้นหาที่เงียบสงัดอยู่ตามลำพังแล้วพึงกำหนดนามรูป(สังขาร)ที่กำลังเกิดดับอยู่ไปตามลำดับญาณตั้งแต่อุทยัพพยญาณ เป็นต้น แล้วหลังจากนั้น ทันทีที่พระอริยะผู้กำหนเวิปัสสนามาตามลำดับญาณกระทั่งถึง สังขารุเปกขาญาณ แล้วต่อด้วยโคตรภูญาณซึ่งมีสังขารเป็นอารมณ์ และถัดจากนั้นจิตก็จะเข้าถึงนิโรธ(นิพพาน) ตามอำนาจของผลสมาบัติ ในที่นี้ถึงแม้จะเป็นพระเสกขบุคคล แต่มรรคก็ไม่เกิดขึ้น จะเกิดได้เฉพาะผลจิตเท่านั้น เพราะได้น้อมไปในผลสมาบัติแล้วนั่นเอง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |