ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การรู้อริยสัจ ๔ ด้วยมรรคญาณ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=60623 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 ส.ค. 2021, 17:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | การรู้อริยสัจ ๔ ด้วยมรรคญาณ |
อริยมรรค ๘ ท่านเรียกว่า "ญายะ" คือ ธรรมที่ควรรู้ คำว่า "ญายสฺสอธิคมาย" ก็คือเพื่อเข้าถึงอริยมรรคที่เรียกว่า ญายะนั้น หมายความว่า เพื่อการบรรลุอริยมรรคนั้น จริงอย่างนั้นเมื่อบุคคลเจริญสติปัฏฐาน มรรคกล่าวคือ การกำหนดเช่นนี้เป็นโลกียะ ในส่วนที่ใกล้เข้าถึงมรรคแล้วนั้น สติปัฏฐานมรรคนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อการบรรลุโลกุตตรมรรคนั้นนั่นเที่ยว โค้ด: การรู้อริยสัจ ๔ ด้วยมรรคญาณ เมื่อโยคีสามารถรู้ซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งหลาย อย่างประจักษ์แจ้งด้วยมรรคญาณแล้ว ย่อมสามารถที่จะรู้โดยไม่ต้องสับสนดังนี้ คือ รู้การกำหนด และรูปนามที่ตนกำหนดทุกอย่างได้ สามารถรู้รูปนามที่ตนไม่ กำหนดเหมือนที่ตนกำหนเได้ รู้ซึ้งถึงข้อไม่ดีข้อเสียของทุกข์อันเกิดแต่การบีบคั้น เพราะการเกิดและการดับว่าเป็นสิ่งที่ไม่สงบระงับ รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความสุข จอมปลอม ซึ่งเป็นภาพลวงตาไม่ใช่ของแท้ไม่ใช่ของที่ยั่งยืน เป็นของที่รุมเร้า บีบคั้นทั้งสิ้น เมื่อโยคีรู้เช่นนี้ ก็จะไม่นำเอาทุกขสัจมาเป็นอารมณ์ แม่จะนำมาเป็น อารมณ์ ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า โยคีนั้นย่อมรู้มรรคสัจด้วยมรรคญาณเช่นกัน โค้ด: อุปมาเหมือนกับคนที่ไม่หลงทาง ที่เกี่ยวกับเรื่องสถานที่ เช่น รุ้ว่าหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ที่ไหน มีถนนใด มีบ่อน้ำ สระน้ำตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ส่วนที่เป็นทิศตะวันออก ทิศตะวันตกเป็นต้น นั้นตั้งอยู่ที่ไหน ซึ่งแต่ก่อนก่อนที่จะรู้นั้นเขาก็เคยเป็นคนหลงทิศทางมาก่อน การที่ได้รู้ของจริงนั้นก็เหมือนกับการหลุดออกจากความหลงทิศทาง ของคนที่เคยหลงทางมาก่อนนั้นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหมือนกับบุคคล ที่เพิ่งหลุดมาจากสถานที่ที่มีแดดร้อน พอถึงที่ๆมีความร้อนน้อยกว่าก็ย่อม จะคิดว่าสถานที่ก่อนนั้นร้อนส่วนสถานที่นี้ร่มเย็นแต่พอมาถึงสถานที่ๆ มีความเย็นกว่านั้นอีกก็ย่อมคิดว่าสถานที่ใหม่นี้นั้นแหละเย็น แต่เมื่อใด ที่บุคคลนั้นเข้าไปถึงสถานที่ๆเย็นที่สุดๆ ก็จะรู้ว่าสถานที่ๆใหม่นี้นั่นเที่ยว เย็นที่สุด ส่วนสถานที่ๆผ่านมานั้นยังร้อนอยู่ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ส.ค. 2021, 19:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การรู้อริยสัจ ๔ ด้วยมรรคญาณ |
ในทำนองเดียวกัน บุคคลผู้ที่ปราศจากการเจริญวิปัสสนาก็ย่อมสำคัญผิด คิดว่ารูปนามต่างๆที่นอกจากเวทนาแล้วก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น ซึ่งเหมือนกับบุคคลผู้ ออกจากสถานที่ๆเย็นแล้วมาสู่สถานที่ร้อนน้อยก็เลยคิดว่าสถานที่ใหม่นั้นแหละคือ สถานที่เย็น แต่เมื่อบุคคลนั้นได้ลงมือปฏิบัติจนเป็นวิปัสสนาโยคีผู้สามารถกำหนด รู้รูปนามแล้ว แม้จะเห็นว่ารูปนามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี และคิดว่าวิปัสสนาที่กำหนด อยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี การคิดเช่นนั้นเหมือนกับความคิดที่บุคคลผู้ที่เข้าถึงสถานที่ๆมี ความร้อนน้อยกว่าสถานที่ๆร้อนนั่นเอง เมื่อบุคคลได้รู้พระนิพพานอันเป็นที่ดับร้อนจริงๆ ในขณะที่เข้าถึงมรรคแล้ว ก็ย่อมรู้ว่าสังขารทั้งหมดทั้งปวงกล่าวคือรูปนามนั้น เป็นสภาวธรรมที้ไม่เย็น เปรียบเหมือนการปักใจอย่างแน่วแน่เกี่ยวกับสถานที่เย็นที่สุดได้ตามความ เป็นจริงนั้นเองแม้แต่การตัดสินใจเกี่ยวกับอารมณ์อื่น เช่น แสงสี ที่งดงามที่สุด กลิ่นที่หอมที่สุด เสียงที่ดีที่สุด รสที่ดีที่สุด สัมผัสที่ดีที่สุด มิตรที่ดีที่สึด ทางที่ดี ที่สุด เมืองหรือนครที่ดีที่สุด ก็จะสามารถนำมาเปรียบเทียบโดยทำนองเป็นต้นว่า อารมณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี การที่มรรคญาณรู้ทั้งๆที่ไม่ได้เอาทุกขสัจเป็นอารมณ์นั้นท่านเรียกว่า ปริญญา- ปฏิเวธะหรือปริญญาสมยะ เป็นการรู้แบบรู้แจ้งแทงตลอดไม่มีอะไรขวางกั้น กล่าวคือารมณ์ต่างๆโดยความเป็นทุกข์ เป็นความรู้ที่ถํกต้องตามความเป็นจริง ทุกประการ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |