ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การรู้สมุทัย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=60620 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 31 ก.ค. 2021, 16:19 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | การรู้สมุทัย | ||
การรู้สมุทัย โยคีที่กำหนดรู้รูปและนามที่เกิดขึ้นทุกขณะนั้น ย่อมสามารถรู้ตามที่ตัณหา ความอยากความต้องการนั้นเกิดขึ้นในขณะต่างๆ มีขณะเกิดขึ้นนั่นเทียว ก็การรู้เช่นนี้เป็นการรู้ที่ประจักษ์ซึ่งสมุทัยที่เป็นปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ สมุทัยที่เป็น ปัจจุบันนี้ จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งสำหรับการเกิดทุกข์กล่าวคือรูปนามในภพ ข้างหน้าซึ่งเป็นผลของกรรมที่ตนได้กระทำไว้ในภพชาติปัจจุบัน แต่ยังไม่ใช่สมุทัย ที่เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ในชาติปัจจุบันแต่อย่างใด สำหรับตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิด ทุกข์ชาติปัจจุบันนั้นได้สำเร็จไปแล้วนับตั้งแต่ตอนที่บุคคลได้กระทำกรรมเก่า ก็ลักษณะของการทำกรรมเก่านั้นพึงทราบดังนี้ เนื่องจากคนเรานั้นมีตัณหาความอยากความปรารถนาในภพชาติหรือ ในกามรมณ์หรือในกามวัตถุอยู่ จึงต้องทำกรรมลงไปหมายความว่า เมื่อต้องการ อยากให้ตนเองมีสถานะดี มีภพชาติที่ดี ก็ทำกุศลกรรมขึ้นด้วยอำนาจของ กุศลกรรมนั้นนั่นเทียว จึงได้บังเกิดรูปนามที่เรียกว่าทุกขสัจในภพชาตินี้นับตั้งแต่ ปฏิสนธิกาลเป็นต้นมา เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่สามารถรู้ประจักษ์แจ้งตัณหา ของตนที่สำเร็จมาแล้วในชาติปางก่อนได้ อนึ่งตัณหาในอดีตกับตัณหาในปัจจุบันที่ตนได้ประจักษ์แจ้งนั้นต่างกันเฉพาะ ความเป็นอดีตและปัจจุบันเท่านั้น คือต่างกันเพียงกาลเวลาเท่านั้น ส่วนสภาว- ลักษณะนั้น พึงทราบว่าเหมือนกัน จึงกล่าวได้ว่าตัณหาในขันธสันดานของบุคคล คนหนึ่งหนึ่งก็คือตัณหาตัวเดียวกันคำกล่าวนี้อาศัยนัยโวหารที่เรียกว่าเอกัตตนัย สำนวนที่กล่าวถึงบางส่วนของสิ่งที่มีสภาพเดียวกันแต่หมายรวมเอาทุกส่วนได้ อุปมา เหมือนกับบุคคลเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทรก็สามารถกล่าวได้ว่าบุคคลนั้น ได้เห็นมหาสมุทรแล้ว หรือเห็นส่วนหนึ่งของภูเขาก็กล่าวว่าได้เห็นภูเขาแล้วแม้การรู้ ปัจจุบันสมุทัยอย่างเดียวก็สามารถกล่าวได้ว่าได้รู้สมุทัยสัจแล้วเช่นกัน จะอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ทำการกำหนดรู้วิปัสสนานั้นมิใช่จะรู้เฉพาะตัณหาที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังสามารถรู้ตัณหาที่เป็นอดีตได้โดยอนุมานญาณนับตั้งแต่โยคีนั้นได้ นามรูปปริเฉทญาณเป็นต้นไป
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 ส.ค. 2021, 05:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การรู้สมุทัย |
ลักษณะการรู้ โยคีผู้เจริญวิปัสสนาย่อมสามารถเห็นการเกิดขึ้นของรูปนามอย่างแจ่มแจ้ง โดยความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน เช่นรู้ การที่อาการคู้อาการเหยียดจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็เพราะกระทำการเหยียดการคู้หรือเพราะความต้องการที่จะคู้และต้องการที่ จะเหยียด การที่รูปเย็นรูปร้อนเกิดขึ้นได้นั้น ก็เพราะมีปัจจัยที่เป็นธาตุเย็นธาตุร้อน ทำให้เกิดขึ้น เพราะมีรูปารมณ์ที่สามารถเห็นได้ และเพราะมีจักขุปสาทคือตา จักขุวิญญาณ จึงเกิดขึ้น การที่ความนึกคิด ความดำหริ ความจำจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็เพราะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏอยู่ เพราะมีจิตก่อนๆ จึงทำให้จิต หลังๆ เกิดขึ้นได้ดังนี้ เป็นต้น การเห็นโดยประการต่างๆดังกล่าวมานี้จะค่อยๆชัดเจนขึ้นที่ละขั้นๆ ตามลำดับญาณ และจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นในวิปัสสนาที่กำลังจะเข้าสู่กระแสอริยมรรค ยิ่งเป็นมรรคชั้น สูงแล้วยิ่งชัดเจนสุดๆ ก็เมื่อโยคีได้เห็นได้รู้เช่นนี้แล้ว ย่อมสามารถที่จะตัดสินได้ อย่างถูกต้องและง่ายดายว่า รูปนามที่กำหนดรู้ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ปราศจากเหตุ รูปนามที่เกิดขึ้นในปฏิสนธิกาลล้วนแต่มีเหตุทั้งสิ้น เมื่อโยคีทำการพิจารณาในระหว่าง ที่กำหนดรู้อยู่นั้น เช่นการกำหนดรู้ว่ รูปนามเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด โยคีนั้นจะ สามารถตัดสินได้ว่า รูปนามเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะกุศลธรรมที่ได้กระทำไว้ในภพชาติ ปางก่อน ก็สาเหตุที่รู้ได้โดยถูกต้องเช่นนี้นั้น เนื่องจากว่า โยคีผู้ปฏิบัติภาวนาทั้งหลาย นั้น ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีศรัทธาเชื่อกรรมและผลของกรรมมาแล้ว ซึ่งตรงกับคำพระบาลี ที่ว่า ทิฏฺฐิ จ อุชุกา คือ มีความเห็นที่ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง กัมมัสสตาสัมมาทฺฏฐิ ของ โยคีนั้นบริสุทธิ๋หมดจดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้โยคีผู้บริบูรณ์ด้วยสุตะและจินตามยะแล้ว ก็จะ ได้รับการเอื้อเฟื้ออุปถัมภ์โดยปัจจักขญาณ จึงสามารถจะรู้ได้อย่างถูกต้องและเพราะ สาเหตุที่โยคีผู้ปฏิบัติได้ประจักษ์โดยแจ่มแจ้งในข้อที่ว่า เพราะมีความปรารถนาต้องการ จึงมีการคิดและการกระทำ ดังนี้เป็นต้นแล้วนั่นเที่ยว จึงจะสามารถรู้ได้อย่างถูกต้องว่า ก็เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตัณหาที่เป็นความปรารถนาความ ต้องการนั่นเทียว คือสาเหตุหลักของรูปนามขันธ์ ๕ ในภพชาตินี้ แม้แต่ในภพชาติก่อนก็มีกรรมเป็นรากฐานโดยมีตัณหาเป็นตัวเหตุต้นตอให้ ทำกรรมนั้นเหมือนการกระทำกรรมในภพนี้นั่นเทียว อนึ่ง การรู้ว่ารูปนามขันธ์ ๕ ในภพชาตินี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดสายอย่างนั้นย่อมมีความสอดคล้อง กับคัมภีร์อัฏฐกถาที่ว่า โค้ด: ตสฺเสว โข ปน ทุกฺขสฺส ชนิกํ สมุฏฺฐานปิกํ ปุริมตณฺหํ อยํ ทุกฺขสมุทโยติ (ทีอฎฺ ๒/๓๘๖) |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 04 ส.ค. 2021, 07:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การรู้สมุทัย |
โยคีย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า ตัณหาในภพชาติก่อนที่จะสำเร็จมาเป็นกรรมเก่า ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์และเป็นเหตุให้กระตือรือร้นนั่นเทียว ท่านเรียกว่า ทุกขสมุทัย สำหรับการรู้สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในภพชาติในปัจจุบันนี้เป็นการรู้ด้วย อนุมานวิปัสสนากล่าวคือวิปัสสนาที่รู้ได้โดยเทียยเคียงคาดคะเน อนึ่ง เกี่ยวกับ การรู้โดยอนุมานนี้ ที่ต้องนำมากล่าวแสดงไว้โดยยาวเหยียดนั้น ก็เพื่อต้องการ ให้ผู้อ่านมีความเข้าใจเท่านั้น แต่สำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว พึงทราบดังต่อไปนี้ ก็ อนุมานญาณสำหรับผู้ปฏิบัตินั้นย่อมเป็นการรู้ที่ไม่นาน เป็นการรู้ในช่วงเวลา ที่สั้น แค่รู้เพียงขณะเดียวก็สามารถจะเทียบเคียงกับของจริงได้ ก็เมื่อโยคีได้กำหนด พิจารณาเทียบเคียงในบางครั้งบางคราวในเวลาที่กำหนดนั้น เสร็จแล้วก็สามารถ ดึงจิตมาพิจารณาอารมณ์ที่กำหนดอยู่เหมือนเดิมต่อไปได้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 04 ส.ค. 2021, 15:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การรู้สมุทัย |
แม้จะปรากฏแต่ก็รู้ได้ยาก แม้ว่าทุกขสัจและสมุทยสัจที่กล่าวมานี้ต่างก็ปรากฏเกิดขึ้นในขันธสันดาน ของตนอยู่นั่นเทียว แต่เป็นการยากที่จะรู้ลึกซึ้งว่าสภาพที่เป็นทุกข์และเป็น สภาพที่ไม่ดี และยากที่จะรู้ว่าเพียงสภาวะที่เหตุให้เกิดทุกข์ ก็สภาวที่เห็น ได้ยากนี้จะไม่ปรากฏจึงเห็นได้ยาก สาเหตุที่สภาวะเหล่านี้เกิดอยู่แต่รู้ได้ยากนั้น ก็เพราะว่าบุคคลไม่ได้ใช้สติกำหนด ไม่ได้ใช้สติพิจารณานั่นเอง แต่ถ้าเมื่อใดโยคี เอาใจใส่ใช้สติกำหนดพิจารณาตลอดเวลาอยู่นั้นก็สามารถที่จะตามรู้สิ่งที่ควรรู้ ด้วยวิปัสสนาญานได้นั่นเทียว ซึ่งเมื่อรู้ด้วยวิปัสสนาญานนั้นแล้วก็จะสามารถที่ จะรู้ได้โดยประจักษ์แจ้งยิ่งกว่าด้วยมรรคญาณต่อไป ก็รู้ด้วยมรรคญาณนี้เป็น การรู้ที่หนักแน่นกว่าความรู้ในทางโลกียะโดยประการทั้งปวง โค้ด: ทุกฺขสจฺจญฺหิ อุปฺปตฺติโต ปากฎํ, ชาณุกณฺฎกปหาราทีสุ อโห ทุกฺขนฺติ วตฺตพฺพตมฺปิ สมุทยมฺปิ ชาทิตุกามตาภุญฺชิตุกามตาทิวเสน อุปปตฺติโต ปากฎํ, ลกฺขณปฏิเวธโต ปน อภยมฺปิ ตํ คมฺภีรํ. อิติ ตานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิ. (ที.อฏฺ ๒/๓๙๑) |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ต.ค. 2021, 06:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การรู้สมุทัย |
ธรรมดาว่าทุกขสัจย่อมปรากฏชัดโดยอุปปัตติ กล่าวคือการเกิดขึ้น(หมายความว่าทุกขสัจ ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นการคู้เข้า และการเหยียดออกเป็นต้น เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่าย) แม้ใน ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสะดุดตอไม้ ถูกหนามตำ เป็นต้น จนถึงทำให้ร้องควรญครางว่า "ทุกข์หนอ" ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏชัดยิ่งกว่าทุกขสัจนั้นอีก(หมายความว่าในบรรดาทุกขสัจทั้ง หลาย การเกิดขึ้นของทุกขเวทนาปรากฏชัดยิ่งกว่าทุกขสัจเหล่านั้น) แม้แต่สมุทยสัจก็เป็น สิ่งที่ปรากฏชัดโดยอุปปัตติกล่าวคือการเกิด เช่น เกิดอยากกิน อยากรับประทานอาหาร อย่างนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ทุกขสัจและสมุทยสัจทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่ลุ่มลึกยากที่จะรู้ ได้โดยสภาวลักษณะ ทั้งนี้เพราะว่าทั้งสองมีสภาพที่บุคคลเห็นได้ยากนั่นเอง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |