ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่างไร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=46002
หน้า 3 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 21 ธ.ค. 2015, 06:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่า

SammaSuk เขียน:
มีแบบที่เรียนแล้วได้เงินมั้ย เหมือนท่านอนาถบิณทิกะเศรษฐีจ้างลูกฟังธรรมกับพระพุทธองค์
ถ้าเรียนจบได้ 2000 บาท อะไรงี้มีมั้ยครับ เผิ่อว่าคนจะสนใจมากขึ้น มีสมุด ปากกา แจกด้วยมั้ย


เจ้าจงรีบๆเข้าเถอะอาการแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ลองอ่านพระผู้มีพระภาคตรัสไว้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=23&p=11

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 21 ธ.ค. 2015, 07:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่า

SOAMUSA เขียน:
:b8: สาธุทุกๆ ท่าน ขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ

การเรียนพระอภิธรรมนั้น ไม่ใช่เรียนแค่ปีเดียวแล้วจะเข้าใจได้มากมายทันที ยังต้องเรียนต่อไปเรื่อยๆ
การเรียนนี้ถึงเรียนตั้งแต่จูฬตรีจนจบมหาเอกแล้ว ก็ยังเป็นความรู้ที่เล็กน้อยมากๆ ไม่ได้ศึกษากันอะไรมากมายในสิ่งที่ต้องรู้จริงๆ การเรียนนี้จึงเป็นแค่พื้นฐานปูทางเท่านั้นที่จะให้เราเข้าไปศึกษาต่อ ในการอ่านพระสูตรได้เข้าใจ ให้เราไปอ่านคัมภีร์ต่างๆ ได้เข้าใจ ให้เราไปอ่านหนังสือต่างๆให้เข้าใจเช่น วิสุทธิมรรค เป็นต้น และฟังอาจารย์สอนกรรมฐานในสำนักต่างๆ ได้เข้าใจง่ายขึ้นค่ะ

เพราะถ้าจะเอาความรู้จริงๆ จากการอ่านพระสูตรนั้น ทุกๆ ท่านก็คงเข้าใจได้ว่า แต่ละบรรทัดถ้าจะให้เข้าใจได้จริงๆ จะยากมาก บางครั้งแค่เนื้อความสามบรรทัด เราติดขัดกับความเข้าใจได้หลายๆ จุด ถึงแม้มีคำอธิบายจากอรรถกถามาอ่านประกอบก็ตาม ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพระสูตรได้ มีสภาวธรรมปรากฏอยู่มากมายในพระสูตร ที่ผู้อ่านไม่สามารถเข้าถึงความเข้าใจได้อย่างแท้จริง จึงต้องอาศัยพระอภิธรรมที่อธิบายถึงสภาวธรรมเข้าไปประกอบกับการอ่านค่ะ

ในปุจฉาและวิสัชนา นั้น มีสภาวธรรมปรากฏอยู่มากมายในคำถามและคำตอบที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เราจะเข้าใจได้นั้น ต้องมีการเข้าใจว่าเป็นคำถามในปัญหาใด และในคำถามนั้นทรงแสดงถึงเรื่องใดอย่างไร การเรียนพระอภิธรรมจะนำทางให้เราเข้าถึงในสภาวธรรมที่ปรากฏอยู่ในคำถาม และสามารถเข้าใจได้ถึงคำตอบว่ามีส่วนใดของปรมัตถธรรมปรากฏอยู่ในคำตอบ เราจะสามารถแยกปรมัตถธรรม ออกเป็นส่วนๆ จากคำตอบนั้นได้ เราก็จะสามารถเข้าถึงสุตมยปัญญาในปุจฉาและวิสัชนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์ต่างๆค่ะ

การเรียนพระอภิธรรมนี้ จะต้องมีการประกอบร่วมกัน ๔ อย่างคือ
๑. อาจารย์ผู้สอน เป็นผู้อธิบายเนื้อหาให้เราเข้าใจ
๒. ตัวเรามีความมุ่งมั่นที่จะเรียน ประกอบกับความเพียร ถึงจะเข้าใจอะไรได้ไม่มากในเบื้องต้น
อาศัยความมุ่งมั่นกับความเพียร อดทนไม่ละทิ้ง ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่ทิ้ง ไปฟังบรรยายทุกครั้ง และสอบด้วย
เพราะการสอบจะเป็นการกระตุ้นให้เรายิ่งต้องใส่ใจ ยิ่งใส่ใจศึกษามากขึ้น ความเข้าใจก็มากขึ้น
๓. กัลยาณมิตร คือมีเพื่อนๆ คอยช่วยอธิบายในบางจุดที่เราสงสัย เพราะบางครั้งเพื่อนที่เรียนเก่งๆ เค้าก็ช่วยแนะนำเราได้นะคะ
๔. ต้องอาศัยเวลาค่ะ คือเข้าไปนั่งเรียนปุ๊บ เข้าใจแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจำได้ ออกจากห้องเรียนแล้วไม่สนใจกลับไปทบทวนก็จะลืมในเวลาอันรวดเร็วค่ะ เป็นอย่างนี้จริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จะจำกันได้ง่ายๆ ค่ะ ต้องอาศัยเวลามาท่องย้ำไปย้ำมาจนไม่ลืม เช่น อย่างการเรียนคัมภีร์หนึ่งๆ นั้น ต้องใช้เวลาเป็นปีในบางคน กว่าจะเข้าใจและท่องย้ำไปย้ำมา จึงจะสรุปรวบรวมความต่างของแต่ละหัวข้อ เพื่อสามารถตอบปุจฉาและวิสัชนาได้โดยไม่ต้องดูหนังสือ แต่บางคนก็อาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นั้น ขึ้นอยู่กับความเพียรด้วยค่ะ เป็นต้น

(ในคัมภีร์ต่างๆนั้นในแต่ละหนึ่งปุจฉาเท่ากับ ๑ พระธรรมขันธ์และหนึ่งวิสัชนาของปุจฉานั้น ก็เท่ากับ ๑ พระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้น ในปุจฉาวิสัชนา ๑ คู่นี้ ก็คือ ๒ พระธรรมขันธ์ ใน ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์)

แต่ในบางคนนั้น เรียนได้ไม่ค่อยเข้าใจ ในตอนแรกๆ เพื่อนช่วยอธิบายก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่อาศัยมาฟังบรรยายบ่อยๆ แล้วกลับไปทบทวนซ้ำไปซ้ำมา พอเวลาผ่านไปสักพักก็เรียนเก่งขึ้นมาได้

ในคนที่อายุมากๆ สูงวัยแต่มีความเพียรมาก ก็เรียนเก่งก็มีค่ะ ถึงแม้จะลืมไปบ้างบางครั้ง แต่ก็เคยได้เข้าใจ พอฟังย้ำไปย้ำมาก็เข้าใจ แต่ความจำสั้นค่ะ เดี๋ยวก็ลืมอีกแล้วก็มี ท่านสว.(สูงวัย)ประเภทนี้ จะมีความเพียรแรงกล้ามาก สามารถสอบผ่านได้ค่ะ

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ
แปลว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

ในหัวข้อ ๑-๔ นี้ขอติดที่อ้างอิงไว้ก่อน หาเจอแล้วจะนำที่อ้างอิงมาใส่ให้ในภายหลังค่ะ

สำหรับท่านที่ต้องการหนังสือเรียน
สามารถบอกกับเพื่อนๆ หรือถามคุณแม่ชีที่ห้องธุระการได้ว่า มีหนังสือเรียนบริจาคหรือไม่
เพราะคุณแม่ชีจะมีหนังสือเรียนเก่าที่มีคนมาบริจาคไว้ สำหรับรุ่นน้องนำมาใช้เรียนต่อได้ค่ะ

สำหรับปากกาและหนังสือ ถ้าต้องการรับบริจาคก็จะมีคนซื้อมาแจกกันค่ะ

ยิ่งถ้าเป็นพระหรือแม่ชี คนที่นี่เค้าถวายค่าเดินทางไปพม่า ไปอินเดียกันเลยนะคะ


ได้อ่านทุกตัวอักษรจึงเชื่อได้ว่า ได้กลั่นมาจากใจจริงเข้าใจธรรมได้จริง
ถึงแม้จะพบกับอุปสรรคใดๆก็ไม่ถอยกลับ มีแต่มุ่งไปสู่ความเจริญฝ่ายเดียว

ก็ต้องขออนุโมทนาสาธุ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 21 ธ.ค. 2015, 07:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่า

ได้ไปขุดกระทู้เก่าๆเมื่อ ๑ ปีที่แล้วเห็นว่าดีก็เอามาเล่าใหม่

ขุดหาขุมทรัพย์ โดยไม่มีลายแทง
เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว
ก็ได้นำเอาปริยัติธรรมเพื่อประกาศพระศาสนาให้ชาวโลกรู้
จึงได้แสดงพระธรรมจักรกัปปวัตนะสูตร แก่ปัจวัคคีย์พระอัญญาโกณฑัญญะ
ได้บรรลุธรรมดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรกของโลก


ปริยัติธรรมจึงเป็นเป็นผู้นำทางศาสนา เป็นเหตุแห่งการบรรลุ ฌาน มรรค ผล นิพพาน
เมื่อไม่มีเหตุ ผลย่อมจะเกิดมาจากที่ใด เมื่อไม่รู้ปริยัติก็ไม่สามารถที่จะไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หรือจะพยายามจะขมเข็มในมหาสมุทร

หลายท่านปฏิเสธปริยัตินั่นเป็นหนทางที่เข้าใจผิด เป็นการเข้าข้างตนเองเป็นอย่างมาก
เช่นพูดว่าศึกษาปริยัติติดตำราบ้าง รู้แต่ชือบ้างคือรู้ด้วยสัญญาไม่ทำให้เกิดปัญญา
เหมือนทับพีไม่รู้รสน้ำแกงบ้าง แล้วแต่จะสรรหาคำพูดมาลบล้างปริยัติให้ได้ว่า
ไม่มีประโยชน์ สู้ลงมือปฏิบัติเลยไม่ได้ ได้รู้ของจริงทำให้เกิดปัญญา แม้คำพูดที่อ้างนั้นยังเป็นคำปรามาสคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วยว่าไม่ควร(แล้วอะไรจะเกิดขึ้น)

จะขอยกตัวอย่างเพื่อเป็นคำถามด้วยว่า
ถ้าหากเราจะไปรบกับข้าศึกหรือจะไปปราบข้าศึก
เราไม่ได้ศึกษาให้ดีว่าข้าศึกมีเท่าไหร่ หน้าตาเป็นอย่างไร มีชื่อว่าอะไร
ข้าศึกมีอาวุธอะไร มีกำลังพลเท่าไร
ใครเป็นหัวหน้า ทางหลบหนีของข้าศึกมีทางไหนบ้าง
ทางเข้าปราบข้าศึกมีกี่ช่องทาง ใครเป็นกองทัพสนับสนุนบ้าง
เมื่อเราได้ข้อมูลในการรบแล้วย่อมเป็นผู้รบชนะแต่ฝ่ายเดียว

เหมือนสุภาษิตใครไม่ทราบว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก็ใช้ได้อยู่
ถ้าเราไม่ได้ศึกษาศัตรูข้าศึก หรือกิเลส ให้ดีพอ ก็ไม่สามารถที่จะรบหรือปราบกิเลสให้ราบคาบได้ ข้าศึกมีปืนเป็นอาวุธแต่เราเอาดาบไปปราบข้าศึกย่อมแพ้แน่นอน เสียกำลังพลเสียทั้งเวลา

ชีวิตแต่ละท่านก็คงมีเหลือไว้ก็คงไม่มากพอที่จะต้องไปเสียเวลาอีก
ปริยัติกับปฏิบัตินั้นก็ควรควบคู่กันไปจึงจะทำให้เกิดปฏิเวธได้ แต่ถ้าคิดว่าปริยัติไม่ดี
มิต้องทำให้ ท่านมหาเปรียญธรรม ทั้งหลายมิต้องยุ่งกันใหญ่เลย หรือมหาวิทยาลัย
ทั้งหลายคงมิต้องหมดประโยชน์ไปเลยหรือ ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่เรียนรู้ก็ไม่สามารถที่จะ
รู้ได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ท่านว่าจริงไหม

นักศึกษาปริยัติมีความรู้ตัวดีว่าเราศึกษามาดีแล้ว
และก็พร้อมที่จะเดินทางสู่เส้นทางที่ถูกต้อง การที่ได้ศึกษาปริยัตินั้นก็เท่ากับได้
ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อยู่แล้ว จะทำให้ไม่คลาดเคลื่อนคลายสงสัยได้
ว่าจริงหรือไม่จริงถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

มิได้ออกมาต่อต้านหากแต่ออกมาพูดให้เห็นความเป็นจริงว่าควรจะเป็นอย่างนั้น

เจ้าของ:  SOAMUSA [ 21 ธ.ค. 2015, 12:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่า

ลุงหมาน เขียน:
SammaSuk เขียน:
มีแบบที่เรียนแล้วได้เงินมั้ย เหมือนท่านอนาถบิณทิกะเศรษฐีจ้างลูกฟังธรรมกับพระพุทธองค์
ถ้าเรียนจบได้ 2000 บาท อะไรงี้มีมั้ยครับ เผิ่อว่าคนจะสนใจมากขึ้น มีสมุด ปากกา แจกด้วยมั้ย


เจ้าจงรีบๆเข้าเถอะอาการแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ลองอ่านพระผู้มีพระภาคตรัสไว้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=23&p=11


:b8: สาธุค่ะลุง

สมบัติของมหาจักรพรรดิทั้งโลกรวมกัน ยังมีค่าไม่เท่ากับการได้มาซึ่งโสดาปัตติมรรค
การทำเหตุให้ได้มา ย่อมสำคัญและมีค่ายิ่งค่ะ

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

ในทางโลกนั้น การที่เราจะรูัจักภายในร่างกายตนเองนั้น เรามีการเรียนวิชากายวิภาค (Anatomy) หมายถึง วิชาที่เกี่ยวกับรูปร่างและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด วิชากายวิภาคศาสตร์เป็นสาขาที่เก่าแก่สาขาหนึ่งของชีววิทยา ซึ่งกล่าวถึงรูปร่างและโครงสร้าง(Form and structure)ของสิ่งที่มีชีวิต รวมทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิชาสรีระวิทยา
คำว่า Anatomy แยกออกได้เป็น Ana =Apart แปลว่า เป็นชิ้นหรือเป็นส่วนๆ ส่วน Tomy หรือTome=Cutting แปลว่า ตัด ดังนั้น Anatomy เมื่อรวมกันแล้ว จึงหมายถึง การตัดหรือชำแหละออกเป็นส่วนๆ ซึ่งในการเรียน Gross Anatomy ใช้การชำแหละ (Dissection) ด้วยตาเปล่าเป็นหลัก
:b8: อ้างอิงhttp://clickcash4you.blogspot.com/2009/08/1.html

จะเห็นได้ว่า เรามีการแยกชิ้นส่วนแต่ละส่วนของร่างกายออกมาศึกษาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
หากเราไม่รู้จักความเป็นไปของส่วนต่างๆ ของร่างกาย เราก็ไม่รู้จักความจริงของร่างกาย
ถ้าไม่รู้จักความจริงที่เกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เราจะรักษาร่างกายได้อย่างไร ดังนั้นในการศึกษาทางด้าน
สุขภาพ นักศึกษาจึงต้องเรียน อนาโตมี่ ตามหลักสูตรที่ตนจะต้องเรียนในวิชาแพทย์ พยาบาล เป็นต้น

ทางธรรมก็เช่นกัน เราต้องรู้จักปรมัตถธรรม ๔ เพื่อนำตนไปสู่หนทางที่ถูกต้องเพื่อความพ้นทุกข์
เราจึงต้องเรียนพระอภิธรรม เพื่อให้เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง คือ รูป กับ นาม ซึ่งก็คือขันธ์๕
เพื่อที่จะใช้ รูปนามขันธ์๕ นี้พาตัวเราเองออกจากวัฏฏสงสารได้

จิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง
เจตสิก ๕๒
รูป ๒๘
คนส่วนใหญ่จะคิดว่า นี่อะไรกัน ในสมัยพุทธกาลมีอยู่ด้วยหรือ รูป ๒๘ จิตเท่านู้นเท่านี้ มีเจตสิกอีก
นี่แต่งกันภายหลัง ไม่เอาไม่เรียน นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

เป็นความเข้าใจผิดค่ะที่คิดเช่นนั้น ท่านอาจารย์ทั้งหลายที่แจกแจงให้เราเรียนกันนี้ ก็เพราะว่า
การอธิบายสภาวธรรมต่างๆ นั้นมีมากมาย จึงจำเป็นต้องชำแหละออกมา แล้วจัดระบบต่างๆ
ในคนในรุ่นหลังเข้าใจได้ง่ายขึ้น

เหมือนการชำแหละร่างกายคนออกเป็นชิ้นๆ เช่น หัว แขน ขา อวัยวะภายในเป็นต้น เพื่อนำมาผ่าให้เรียนรู้

จิต เจตสิก รูป ก็เช่นกัน มีสภาวธรรมมากมายซ่อนอยู่ ถ้าพูดสอนขึ้นมาลอยๆ จะจับต้นชนปลายไม่ถูก
จึงต้องแจกแจงเป็นประเภท เป็นอาการต่างๆ ก็คือสภาวธรรมต่างๆที่ปรากฏนั้นเอง ซึ่งก็จะอยู่ในเนื้อเรื่อง
ในพระสูตรต่างๆ ที่เป็นเรื่องเล่าเป็นเหมือนนิทาน มีสัตว์บุคคลตัวตนเข้ามาดำเนินเรื่องราวไปให้เห็นว่า
ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แล้วผลจบลงเป็นอย่างไร เบื้องลึกในเนื้อเรื่องเหล่านี้ได้แฝงไว้ซึ่งปรมัตถ์
สภาวธรรมที่คนฟังแล้ว อาจจะไม่สามารถเข้าถึงความเข้าใจของคำสอนได้ง่ายๆ ดังนั้นการฟังหรืออ่าน
จึงเป็นไปด้วยความศรัทธาและเรื่องราวของบุคคล แต่ความเป็นไปของสภาวธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม
นั้นเข้าถึงยาก จึงยากแก่การกระทำตามในคุณความดีที่ท่านเหล่านั้นได้ทำอย่างแท้จริง เราจึงต้องใช้
บัญญัติที่สามารถสื่อความเป็นปรมัตถ์ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นการแยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นกันอย่างชัดเจนในพระอภิธรรม จึงเป็นการชำแหละให้เห็นถึงเนื้อใน
และหมวดหมู่ตามความสำคัญของประเภทของเนื้อหา สามารถเชื่อมโยงสภาวธรรมกันได้เป็นระบบ
สอบสวนขึ้นไปลงมา ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องราวใดๆ ก็สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่มีสัตว์บุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าด้วยเรื่องสภาวธรรมล้วนๆ

เหล่านี้คือ ส่วนต่างๆที่ถูกจับแยกออกมาให้เห็นว่ารูปนามขันธ์ ๕ นั้นมีอะไร และทำหน้าที่ประสานสอดคล้องกันอย่างไร ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เมื่อนำมาแยกเป็นหมวดต่างๆ ที่สอดคล้องกันแล้ว
มีสภาวธรรมใดปรากฏอยู่บ้าง

การเรียนพระอภิธรรม จึงเป็นการเรียนเพื่อให้เกิดปัญญาที่เราเรียกว่า สุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่ได้มาจากการเรียนปริยัติ ซึ่งปัญญานี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่หายไปไหน แต่จิตจะบันทึกไว้ในขันธสันดานข้ามภพข้ามชาติได้
ซึ่งไม่เหมือนกันกับปัญญาที่ได้จากการศึกษาวิชาทางโลก ตายแล้วก็ไม่สามารถติดตามข้ามภพข้ามชาติ
ไปได้ แต่ปัญญาที่ได้จากการเรียนปริยัติ ปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน สามารถข้ามภพข้ามชาติ
เป็นปัจจัยต่อเนื่องไปในภพชาติหน้าได้ ให้มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อมีการศึกษาและกระทำซ้ำๆอีก
ก็จะพอกพูนปัญญามากขึ้นไปเป็นลำดับอย่างไม่หายไปไหน ยังคงเก็บไว้ในจิตที่สืบทอดต่อไป

เมื่อปัญญาที่เป็นเครื่องรู้เฉพาะตนนั้นเต็มเปี่ยมแล้ว ก็สามารถบรรลุได้เอง เช่น พระอริยะบางท่าน
ท่านมองดูสายน้ำ แล้วเกิดการพิจารณา ท่านสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ทันที ด้วยเพราะเหตุว่า
กุศลธรรมของท่านได้เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งมรรคสมังคี บรรลุตามลำดับจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าปัญญาได้สะสมมาแล้ว
ในอดีตชาติทั้งทางด้านปริยัติและการปฏิบัติ ทำให้ท่านได้ปฏิสนธิเป็นปัจฉิมภวิกบุคคล เป็นบุคคล
ที่จะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นอย่างแน่นอน

และปัจฉิมภวิกบุคคลบางท่าน เมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสสอนเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ทันที นั้นเป็นเพราะว่าท่านได้สะสมเหตุมาอย่างดีแล้วเช่นกัน จึงส่งผลให้ท่านสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่ได้ฟังคำสอนเพียงไม่กี่คำเท่านั้น

เมื่อคนรุ่นหลังได้อ่านหรือฟังประวัติพระอริยะเหล่านี้ ก็อย่าคิดว่าการบรรลุเกิดขึ้นได้โดยง่ายเท่านั้น
โดยไม่ย้อนไปดูอดีตเหตุที่สามารถทำให้บรรลุได้โดยง่ายนั้น เพราะท่านเหล่านี้ได้เคยทำในสิ่งที่ยากมาก่อนสะสมไว้ในขันธสันดานของท่าน นับเป็นแสนชาติก็ว่าได้ แล้วแต่ว่าแต่ละท่านจะสะสมกันนานเท่าไร

หนทางบรรลุของปุถุชนคนธรรมดาแบบเรานั้น ก็อย่าได้หวั่นไหวว่า จะนานเท่าไร ตราบใดที่เรายังต้อง
เวียนว่ายตายเกิด ตราบนั้นเราก็อย่าละเลยโอกาส ปล่อยโอกาสให้เสียไป เราต้องสะสมไปเรื่อยๆ
เหมือนเงินนั่นแหละ หยอดกระปุกมากก็เก็บไว้ได้มาก

การที่ท่านได้เกิดมาแล้วก็ขอให้ท่านเรียนพระอภิธรรมเพื่อให้เข้าใจปริยัติอย่างดี จะดูได้ว่า
ผลที่เกิดขึ้นในชาตินี้เป็นอย่างไร ก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน ด้วยการที่ท่านเปิดหนังสือนั่นเอง
ท่านหยิบหนังสือ คัมภีร์วิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน ถ้าท่านสามารถอ่านแล้ว นำไปเชื่อมโยงได้เกิดความเข้าใจ ก็ถือว่าท่านได้เรียนมาอย่างดีจนสามารถเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นได้
เช่น หน้าที่ ๗๗๓ - ๗๗๘ ท่านรู้หรือไม่ว่า หน้าที่เขียนใน ๖ หน้านี้ ถ้าเรียนในชั้นเรียน ท่านจะต้อง
เรียนถึงครึ่งปีในหลักสูตรของพระอภิธรรม เพื่อที่จะทำให้ท่านโยงเนื้อหา ๖ หน้านี้ให้เข้าถึงเรื่องวิถีจิต นี่แหละคืออุปสรรคตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นสำหรับการอ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค หากไม่มีความรู้ในเรื่องพระอภิธรรม

การอ่านนั้น ใครๆ ก็เปิดอ่านได้ แต่อ่านแล้วสามารถเชื่อมโยงความเข้าใจของเนื้อหาได้อย่างแท้จริง
จนกระทั่งเกิดปัญญานั้น ไม่ใช่ฐานะของทุกคนที่จะกระทำได้ แต่ถ้าท่านศึกษาพระอภิธรรมมาบ้าง
การอ่านของท่านจะเกิดความเข้าใจได้ตามกำลังของท่านที่ได้ศึกษามาค่ะ

ก็ขอให้สนใจไปศึกษากันนะคะ

ในกลางเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นี้ จะมีการเปิดเรียนพระอภิธรรมอีกครั้ง
ขอให้ทุกท่านที่สนใจเริ่มต้นเข้าไปศึกษากันตามสำนักที่เปิดเรียนใกล้บ้านท่านที่สุด
หรือจะไปตามสำนักที่ท่านต้องการจะไป ตามแต่สะดวก และก็ขอให้ท่านตั้งจิตไว้ว่าข้าพเจ้าจะศึกษาพระอภิธรรม
ขอให้บุญกุศลที่ได้เคยทำ จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาพระอภิธรรม อย่าได้มีอุปสรรคใดๆ
มาขวางทางของข้าพเจ้า ขอให้สำเร็จตามแรงอธิษฐานนี้ด้วยเทอญ

เจ้าของ:  SOAMUSA [ 03 ก.พ. 2016, 10:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มศึกษาพระอภิธรรมอย่า

ขณะนี้เดือนกุมภาพันธ์ การเรียนพระอภิธรรมเพิ่งเริ่มต้น
ใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะไปเรียนดีหรือไม่
ก็ยังทันนะคะ วันนี้พรุ่งนี้เดินไปเข้าเรียนได้เลยค่ะ

อย่าไปคิดมาก เห็นตัวอย่างคนเรียนพระอภิธรรมแล้ว ดูเหมือนจะมีมานะเยอะ
ใช้ปัญญาเที่ยวอวดชาวบ้าน ไม่ต้องห่วงค่ะ ชีวิตคนเรายังมันมีมานะด้วยกันทุกคน ถึงไม่เรียนก็มีมานะอยู่แล้ว
ไม่มานะเรื่องอะไรก็สักเรื่อง มานะเกิดวนเวียนสับเปลี่ยนกับอกุศลตัวอื่นเป็นประจำอยู่แล้ว
มานะเจตสิก ผู้ที่จะตัดได้เด็ดขาดคือ พระอรหันต์ ดังนั้นพวกเรานี่ยังเป็นบัวในตม อย่าไปกลัวว่ามานะจะเกิด เพราะอย่างไรมานะมันก็เกิดกับเราบ่อยๆ เป็นประจำอยู่แล้ว
ถ้ามาเรียนพระอภิธรรม แล้วมานะมันจะเกิดก็ช่างหัวมันค่ะ เพราะเรามีปัญญาจากการเรียนพระอภิธรรม
เมื่อมีปัญญามาก เราก็รู้วิธีแก้ไขได้ไม่ยากค่ะ สติจะเป็นตัวปรับให้เอง

การเข้าถ้ำเสือจะไปเอาลูกเสือ ก็ต้องเจอการต่อสู้กับแม่เสืออยู่แล้ว มันต้องบาดเจ็บบ้าง
อยู่ที่สติปัญญาจะต้องวางแผนสู้อย่างไร ให้เจ็บตัวน้อยที่สุด
การไปเรียนพระอภิธรรม อย่ากลัวว่ามีปัญญาแล้ว เดี๋ยวจะมีมานะเที่ยวข่มชาวบ้านเขา
จะมีก็มีไป ถึงเวลาก็ตามรู้ให้ทัน จะเจ็บตัวบ้างก็ต้องยอม ยอมเพื่อให้ได้ปัญญามา
เพราะปัญญาที่ได้มานี้ จะเป็นปัจจัยให้เราหนีออกจากวัฏฏะได้

ก็เอาปัญญานี่แหละแก้ปัญญหาให้ได้ ให้ตนเองเจ็บตัวน้อยที่สุด
มีมานะเกิดขึ้น เรียนมาแล้วก็ต้องตามรู้ให้ทัน คิดว่ามาประจัญหน้าดูสักตั้งดีมั้ยคะ

ธรรมดาอกุศลก็วนเวียนเกิดจนเป็นเจ้าเรือน วันๆ หนึ่งกุศลเกิดขึ้นได้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วจะกลัวอกุศลทำไม เพราะมันเกิดกันประจำอยู่แล้ว เรียนแล้วจะมีมานะเกิดก็ช่างหัวมันเพราะแก้ไขได้
คนเรามันคลุกอกุศลอยู่แล้วไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มาเอากุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญาดีกว่าค่ะ

การเรียนพระอภิธรรมนี่แหละ คือ การทำกุศลที่ง่ายที่สุดเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา
เป็นการทำกุศลให้เกิดพร้อมกับปัญญา ง่ายกว่าการทำกุศลอย่างอื่นเสียอีก อีกทั้งยังสามารถส่งผล
ให้เราเกิดเป็นติเหตุกบุคคลในชาติต่อไป เป็นบุคคลที่สามารถทำฌานได้ สามารถบรรลุุมรรคผลนิพพานได้


ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็สามารถฟังธรรมแล้วบรรลุได้
การทำทาน ทำให้เป็นกุศลจริงๆนั้นก็ยาก ทำทานให้ประกอบด้วยปัญญานั้นก็ยาก
ทำทานสักร้อยครั้ง จะสมบูรณ์จริงๆ สักกี่ครั้งกันถ้าไม่ศึกษาพระอภิธรรมให้รู้จักวิธีทำให้เป็น
ถึงศึกษามาอย่างดีแล้ว ก็ทำพลาดบ่อยๆ เชื่อเถอะ ทำทานทำยากกว่าการเรียนพระอภิธรรมเยอะค่ะ

คนทั่วไปนึกกันไม่ถึงหรอกว่า การเรียนพระอภิธรรมทำให้เกิดกุศลได้ง่ายที่สุดแล้วในการทำกุศลทั้งหลาย
และยังเกิดปัญญาแก่ผู้เรียนอีกด้วย อีกทั้งการเรียนพระอภิธรรมไม่ได้มีให้เรียนทุกครั้งที่เกิดมาด้วยค่ะ
มีที่โลกมนุษย์ที่เดียวที่มีให้เรียนแบบแจกแจงละเอียด เป็นเทวดายังไม่ได้เรียนพระอภิธรรมแบบคนเลย
เทวดามีแต่ฟังธรรมเท่านั้น ฟังไม่รู้เรื่องก็หมดสิทธิ์เข้าใจ

พระอภิธรรมไม่ได้มีให้เรียนได้บ่อยนักนะในสังสารวัฏฏ์ ยามว่างเว้นจากพุทธศาสนา ก็ไม่มีให้เรียน
แล้วเวลาว่างเว้นนั้นยาวนานมาก อย่าเรียกเป็นปีเลย เรียกเป็นกัปหรือเป็นกัลป์ถึงจะใช่สุด
ปัญญาที่เกิดจากการเรียนพระอภิธรรมนี้จะไม่หายไปไหน จะติดตามเราไปเพื่อเป็นเหตุให้สั่งสมเพิ่มอีก
และยังทำให้เราฉลาดที่จะหลีกหนีความงมงายต่างๆ ได้อีกด้วย

เวลาว่างเว้นจากพุทธศาสนา เราก็ยังมีเหตุปัจจัยที่สั่งสมมา มีปัญญาสั่งสมมาจะมาช่วยเราได้
ก็สามารถปฏิบัติตนไปตามเหตุที่สั่งสมมาได้ วันนี้จึงต้องทำเหตุไว้ค่ะ วันหน้าช่วยเราได้จริงๆ

ช่วงว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา การปฏิบัติก็ยังมีให้ปฏิบัติได้ แต่พระอภิธรรมไม่มีให้เรียนนะคะ

มาเรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะ

------------------------------------------------------------

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=155
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

[155] ปฏิสัมภิทา 4 (ปัญญาแตกฉาน - analytic insight; discrimination)
1. อัตถปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจ้งในความหมาย, เห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึ่ง ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึ่ง ก็สามารถคิดแยกแยะกระจายเชื่อมโยงต่อออกไปได้จนล่วงรู้ถึงผล - discrimination of meanings; analytic insight of consequence)
2. ธัมมปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในธรรม, ปรีชาแจ้งใจหลัก, เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ เห็นผลอย่างหนึ่ง ก็สามารถสืบสาวกลับไปหาเหตุได้ - discrimination of ideas; analytic insight of origin)
3. นิรุตติปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ, ปรีชาแจ้งในภาษา, รู้ศัพท์ ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คำพูดชี้แจ้งให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้ - discrimination of language; analytic insight of philology)
4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ, ปรีชาแจ้งในความคิดทันการ, มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีเข้ากับเหตุการณ์ - discrimination of sagacity; analytic insight of ready wit; initiative; creative and applicative insight)


นิรุตติปฏิสัมภิทา นี้เกิดจากการเรียนพระบาลี และการเรียนพระอภิธรรม

หน้า 3 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/