ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=40501 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ธ.ค. 2011, 08:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
อสัญญสัตตาพรหม (พรหมลูกฟัก) เป็นพรหมที่มีแต่รูปไม่มีจิต แต่มีชีวิต อยากทราบว่ามีอะไรเป็นอาหาร ตลอด 500 กัปล์ครับ |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 19 ธ.ค. 2011, 13:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ทุกชั้นพรหม บุคคล เว้นอาหาร
สมุฏฐาน เว้นอาหาร ไม่ครบสี่ (กรรม),(จิต), (อุตุ) พรหมอ้วนพี อสัญญี มีอยู่ สองฐานเอย เหลือชีวิต นวก กลาปเก้า อีกหนึ่งเขา เรียก อุตุชกลาปเหวย สองสมุฏ - ฐานกรรม อุตุเลย ยกเว้นเอ่ย กล่าวถึงจิต (อาหาร)นา กล่าวถึงเกิด กำเนิด ปฏิสนธิ ในบาลี อาหารสูตร อัฏฐกถา อาหารสี่ มีก้อนหยาบ อีกผัสสา มโนสัญญา เจตนาและ วิญญาณ คำข้าวยัง รูปกาย ให้ตั้งอยู่ นามรูปคู่ เกิดเพราะ วิญญาณาหาร ผัสสะนำ นามกาย พบภัยพาล เจตผสาน นำภพสาม ตามบาลี กล่าวถึงอยู่ ดำรง ตามบุญกรรม จะอิ่มหนำ ด้วยวิราคะ สัญญี(สัญญาวิราคะ) เป็นอำนาจ ห้าร้อยกัปป์ ฌานลาภี หมดวสี จุติพร้อม ในปัญจโวการา |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 ธ.ค. 2011, 06:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ขอกราบนมัสการท่านพุทธฎีกาที่ช่วยค้นหาคำตอบให้ สิ่งที่กระผมค้นหามาก็ได้ดังนี้ ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีทั้งสองครับ กระผมเองก็ค้นหาว่าสมุฏฐานของอสัญญสัตตพรหม มีแค่ 2 สมุฏฐาน คือ กรรมสมุฏฐาน และอุตุสมุฏฐาน คำตอบที่ได้มากับของท่านพุทธฎีกาตอบนั้น น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน หรือมีท่านใดมีคำตอบอีกช่วยกรุณาตอบด้วยครับอรรถกถาเอกนิทเทส ว่าด้วยอาหาร บรรดาคำทั้ง ๕ นั้นในเบื้องแรก คำว่า สพฺเพ สตฺตา - สัตว์ทั้งปวงในอภิญเญยยนิทเทส ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในภพทั้งปวง คือในกามภพเป็นต้น ในสัญญาภพเป็นต้นและในเอกโวการภพเป็นต้น. คำว่า อาหารฏฺฐิติกา - มีอาหารเป็นที่ตั้ง. ความว่า การดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เพราะอาหาร ฉะนั้นจึงชื่อว่า อาหารฏฺฐิติกา - มีอาหารเป็นที่ตั้ง. ก็ในคำว่า ฐิติ - การดำรงอยู่นี้ ท่านประสงค์เอา ความมีอยู่ในขณะของตน. ชื่อว่าอาหาร เพราะเป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่แห่งสัตว์ทั้งปวง เป็นธรรมอันหนึ่ง เป็นธรรมควรรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง. ครั้นรู้ปัจจัยแล้ว ก็เป็นอันรู้ปัจจยุปบัน - ธรรมเกิดแต่ปัจจัย เพราะปัจจัยและปัจจยุปบันทั้ง ๒ นั้นเพ่งความอาศัยกันและกัน. ญาตปริญญาเป็นอันท่านกล่าวแล้วด้วยคำนั้น. ถามว่า ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ว่า อสัญญสัตตาเทวา - อสัญญสัตตาพรหม ไม่มีเหตุ ไม่มีอาหาร ไม่มีผัสสะ๑- ดังนี้เป็นต้น คำนั้นจะมิผิดไปหรือ? ตอบว่า คำที่ท่านกล่าวนั้นไม่ผิด เพราะฌานเป็นอาหารของอสัญญสัตตาเทวาเหล่านั้น. ____________________________ ๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๐๙๙ ถามว่า ถึงแม้เป็นอย่างนั้น คำนี้ว่า๒- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาหารทั้งหลาย ๔ เหล่านี้เพื่อความตั้งอยู่แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว เพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัมภเวสี. อาหาร ๔ เป็นไฉน? คือ กพฬีการาหาร - อาหารคือคำข้าวเป็นอาหารหยาบหรือละเอียด, ผัสสะ - อาหารคือผัสสะเป็นที่ ๒, มโนสัญเจตนา - อาหารคือเจตนาเป็นที่ ๓, วิญญาณ - อาหารคือวิญญาณเป็นที่ ๔ ดังนี้ ก็ย่อมผิด. ตอบว่า ถึงแม้คำนั้นก็ไม่ผิด. เพราะในพระสูตรตรัสไว้โดยนิปริยายว่า ธรรมทั้งหลายมีอาหารเป็นลักษณะแล ชื่อว่าอาหาร แต่ในที่นี้ตรัสโดยปริยายว่า ปัจจัยชื่อว่าอาหาร เพราะสังขตธรรมทั้งปวงได้ปัจจัย ย่อมควร. ก็ปัจจัยนั้นย่อมยังผลใดๆ ให้เกิดขึ้น ชื่อว่าย่อมนำมาซึ่งผลนั้นๆ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าอาหาร. ____________________________ ๒- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๒๘ ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า๓- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อวิชชา เราก็กล่าว ว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร. ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารของอวิชชา, ควร กล่าวว่านิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา. ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย แม้นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ อะไรเล่าเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ฯลฯ ควรกล่าวว่า อโยนิโสมนสิการเป็นอาหารของนิวรณ์ดังนี้เป็นต้น. อาหารดังกล่าวแล้วนี้ ประสงค์แล้วในที่นี้. ____________________________ ๓- องฺ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๖๑ ครั้นถือเอาอาหารคือปัจจัยแม้นี้ อาหารทั้งโดยปริยาย และอาหารทั้งโดยนิปริยาย ก็เป็นอันถือเอาทั้งหมด. ในคำนั้น ปัจจยาหารย่อมได้ในอสัญญีภพ. จริงอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้เสด็จอุบัติขึ้น พวกที่บวชเป็นเดียรถีย์ทำบริกรรมในวาโยกสิณ ยังจตุตถฌานให้เกิดขึ้นออกจากฌานนั้นแล้ว ก็เห็นว่าจิตนี้เป็นของน่าติเตียนมาก ความไม่มีจิตเสียเลยเป็นการดี เพราะทุกข์มีการฆ่าและจองจำเป็นต้นย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยจิต, เมื่อไม่มีจิตทุกข์นั้นก็ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นจึงเกิดความยินดีพอใจ ฌานไม่เสื่อมทำกาละแล้วเกิดในอสัญญีภพ. ผู้ใดตั้งอยู่ในอิริยาบถใดในมนุษย์ ผู้นั้นก็ย่อมเกิดด้วยอิริยาบถนั้นสถิตอยู่ตลอด ๕๐๐ กัป. เป็นเหมือนนอน นั่งหรือยืนตลอดกาลยาวนานมีประมาณเพียงนั้น. ก็ปัจจยาหารย่อมได้แก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น. เพราะสัตว์เหล่านั้นเจริญฌานใดแล้วเกิด ฌานนั้นก็เป็นปัจจัยแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เหมือนลูกศรที่ยิงไปด้วยกำลังแห่งสายธนู กำลังสายธนูมีกำลังเพียงใดก็ไปได้เพียงนั้นฉันใด กำลังฌานปัจจัยมีประมาณเพียงใดก็สถิตอยู่ได้เพียงนั้นฉันนั้น. เมื่อกำลังฌานปัจจัยสิ้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็จุติ ดุจลูกศรที่มีกำลังสิ้นแล้วฉะนั้น. ส่วนสัตว์เหล่าใดเป็นผู้เกิดในนรก สัตว์เหล่านั้น ท่านกล่าวว่าไม่เป็นผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความเพียร ไม่เป็นผู้มีชีวิตอยู่ด้วยผลแห่งบุญเลย, อะไรเป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้นเล่า? กรรมนั่นแลเป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้นดังนี้. ถามว่า อาหารมี ๕ อย่างหรือ? ตอบว่า คำนี้ไม่พึงกล่าวว่ามี ๕ หรือมิใช่ ๕ ดังนี้. วาทะว่าปัจจัยเป็นอาหาร ท่านกล่าวไว้แล้วมิใช่หรือ? เพราะเหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นเกิดในนรกด้วยกรรมใด กรรมนั้นนั่นแหละเป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้น เพราะเป็นปัจจัยแห่งการดำรงอยู่. คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาคำใด คำนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า๔- ก็สัตว์นรกยังไม่ทำกาละตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้น. |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 16 ม.ค. 2012, 03:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
พึ่งเห็นครับลุงหมานอนุโมทนาสาธุ ^^ |
เจ้าของ: | ปัตติปิตา [ 16 ม.ค. 2012, 07:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ด้วยความเคารพอย่างสูง ใครก็ได้ช่วยบอกผมเอาบุญทีเถิดครับ ว่า การคุยเรื่องจำพวกนี้ได้ประโยชน์อะไร เป็นประโยชน์ในกาลปัจจุบันหรือประโยชน์ต่อใคร อะไร อย่างไร? ผมอ่านดูแล้วไม่เห็นจะทำให้พ้นทุกข์แต่ประการใด การที่ท่านมานั่งหาคำตอบกันว่า "อสัญญสัตตพรหม" กินอะไรเป็นอาหาร ท่านเอาเวลาไปหาอาหารที่เรารู้ว่า คนที่เขายากจน ที่เขาอดอยาก ได้กินดีกว่าไหม คนลำบากมีอีกมาก ท่านทำอย่างกับว่า หากท่านรู้แล้วว่า อสัญญสัตตพรหม เขากินอะไร ท่านจะหาให้เขากินได้ ป.ล.ผมไม่ได้มาหาเรื่องนะครับ แค่ต้องการรู้ว่า การพูดเรื่องพวกนี้มันได้ประโยชน์อะไร กับใคร อย่างไร??? ....ผู้ด้อยปัญญา |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 16 ม.ค. 2012, 09:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"
ความรู้ทุกอย่างเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าจะนำมาใช้เมื่อไร ความรู้ไม่หนักนะ ไม่เหมือนแบกดิน แบกหิน take easy please ![]() |
เจ้าของ: | ปัตติปิตา [ 17 ม.ค. 2012, 17:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" หรือเปล่าครับ คนเราเดี๋ยวนี้ รู้ทุกอย่างครับ(เรื่องพรหมกินอะไรยังรู้เลย) เว้นเรื่องของตัวเอง |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 17 ม.ค. 2012, 21:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
แล้วคนมีอะไรเป็นอาหาร |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2022, 09:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ปฤษฎี เขียน: แล้วคนมีอะไรเป็นอาหาร คนมีอาหาร ๔ คือ ๑. กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ๒. ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ ๓. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา ๔. วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2022, 09:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ปัตติปิตา เขียน: ด้วยความเคารพอย่างสูง ใครก็ได้ช่วยบอกผมเอาบุญทีเถิดครับ ว่า การคุยเรื่องจำพวกนี้ได้ประโยชน์อะไร เป็นประโยชน์ในกาลปัจจุบันหรือประโยชน์ต่อใคร อะไร อย่างไร? ผมอ่านดูแล้วไม่เห็นจะทำให้พ้นทุกข์แต่ประการใด การที่ท่านมานั่งหาคำตอบกันว่า "อสัญญสัตตพรหม" กินอะไรเป็นอาหาร ท่านเอาเวลาไปหาอาหารที่เรารู้ว่า คนที่เขายากจน ที่เขาอดอยาก ได้กินดีกว่าไหม คนลำบากมีอีกมาก ท่านทำอย่างกับว่า หากท่านรู้แล้วว่า อสัญญสัตตพรหม เขากินอะไร ท่านจะหาให้เขากินได้ ป.ล.ผมไม่ได้มาหาเรื่องนะครับ แค่ต้องการรู้ว่า การพูดเรื่องพวกนี้มันได้ประโยชน์อะไร กับใคร อย่างไร??? ....ผู้ด้อยปัญญา เรื่องที่สนทนากันก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คำสอนสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่นำออกจากทุกข์ทั้งสิ้น |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2022, 11:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อสัญญสัตตพรหม มีอะไรเป็นอาหาร |
ปัตติปิตา เขียน: เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" หรือเปล่าครับ คนเราเดี๋ยวนี้ รู้ทุกอย่างครับ(เรื่องพรหมกินอะไรยังรู้เลย) เว้นเรื่องของตัวเอง พระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกสอนครับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |