วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2022, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว




3443-บุหรี่.jpg
3443-บุหรี่.jpg [ 60.9 KiB | เปิดดู 695 ครั้ง ]
อาเสวนปัจจัย
สิ่งที่ทำอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นอุปนิสัยใจคอ

ปัจจยธรรม ได้แก่ ชวนจิตที่เรียงรายกันเกิดขึ้นก่อนๆ
ปัจจยุปันนธรรม ได้แก่ ชวนจิตที่เรียงรายกันเกิดขึ้นหลังๆ

อนึ่ง ตามธรรมชาติของวิถีจิตแล้ว พึงทราบว่า หากกุศลจิตเกิด กุศลจิตนั้น
ก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง ๗ ครั้ง(๗ ดวง) แม้ในอกุศลจิตก็เช่นเดียวกัน
ก็แล ในการเกิดขึ้นโดยเสมอภาคกันแห่งจิตทั้งหลายเหล่านั้น พึงทราบว่า
พลังอำนาจของจิตดวงที่เกิดขึ้นก่อนจะช่วยเกื้อกูลให้จิตดวงหลังๆ มีพลัง ลักษณะ
การเกื้อกูลเช่นนี้เอง พระบรมศาสดาท่านทรงเรียกว่า "ความเป็นอาเสวนปัจจัย"
อาเสวนปัจจัย ก็คือ การอบรมบ่มเพาะอุปนิสัยใจคอ การฝึกฝนจนเกิด
ความเคยชิน ตัวอย่างในทางที่ไม่ดี ก็เช่น คนติดเหล้า ติดบุหรี่ หรือสิ่งเสพติดอื่นๆ
ตอนแรกๆ ก็เป็นเพียงแค่การอยากลอง แต่พอได้ลองแล้วก็เกิดติดอกติดใจจนต้อง
ลองเป็นครั้งที่ ๒-๓-๔ ๕ จนกระทั่งถึงขั้นอเตกิจโฉ คือ เยียวยาไม่ได้ นี่แหละ
เป็นผลของการเสพคุ้นที่ทางพระอภิธรรมท่านเรียกว่า อาเสวนปัจจัย
ในเรื่องของการกินก็เช่นกัน คนตะกละชอบกินเนื้อ หากมื้อไหนไม่มีเนื้อ
ก็กินไม่ลง นอนไม่หลับ ในที่สุดก็ถูกกลกามเทพลวงกิน กล่าวคือ ทำให้ไม่สามารถ
แยกจิตกินกับจิตนอนออกจากกันได้(กินก็จิตนั้น นอนก็จิตนั้น) นี่แหละคือผลของ
การเป็นอุปการะแห่งอาเสวนปัจจัยในทางที่ไม่ดี
ผู้ที่ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าให้คนทั้งโลกได้ใช้มาถึงปัจจุบันก็คือ โธมัส แอลวา
เอดิสัน เขาผู้นี้คืออัจฉริยะ กว่าที่เขาจะประสบผลสำเร็จได้นั้น เขาต้องทำการ
ทดลองเป็นพันๆ ครั้ง นั่นก็คือ เป็นการทำอาเสวนปัจจัยดีๆนั่นเอง
แม้ในการประดิษฐ์โทรศัพท์ก็เช่นเดียวกัน กว่าจะสำเร็จได้ผู้ประดิษฐ์ ต้องทำอาเสวนปัจจัย
มากกว่า ๔๐ ปีทีเดียวการที่จะได้ยาดีมีประโยชน์ สามารถรักษาโรคร้ายให้หายได้นั้น จะต้องทำ
อาเสนวนปัจจัยกล่าวคือ
การวิจัยแล้ววิจัยอีกนับครั้งไม่ถ้วน จึงจะสำเร็จได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้น ก่อนที่จะทรงบรรสุอนุ
สัมมาสัมโพธิญาณได้นั้นต้องบำเพ็ญอาเสวนปัจจัยถึง ๖ ปี
พระมหาเถระนามว่า โปฏฐิละ ผู้เชี่ยวชาญปริยัติ ทำอาเสวนปัจจัย
๓๐ ปี จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

จากกรณีตัวอย่างที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า การอบรมบ่มเพาะจนเป็นนิสัย ความเคยชินหรือความ
ชำนาญนั้น เป็นสิ่งสำคัญ ในภาษาบาลีท่านเรียกว่า วาสนา
ซึ่งวาสนานี้ก็คืออุปนิสัยสันดาน จะเป็นเงา
ติดตามตัวเราไปในทุกภพชาติเลยที่จนต้องมีคำพังเพยที่ว่า "ดัดอะไรนั้นดัดง่าย แต่ดัดนิสัยนั้นดัดยาก"

ธรรมดาว่า จิตใจของมนุษย์ทั่วไปนั้น ย่อมไหลไปตามกระแสแห่งกิเลสตัณหาความสนุกเพลิดเพลิน
จากความสนุกเพลิดเพลินเป็นความเคยซิน หรือ วาสนา หรืออุปนิสัยใจคอ จนไม่สามารถตัดวงจร
อุบาทว์นี้ได้ จนต้องพบกับความหายนะวิบัติแห่งชีวิตในที่สุด นี่แหละเป็นผลแห่งอาเสวนปัจจัย

จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงหมั่นตรึกตรองเลือกใช้สอยแต่อาเสวนปัจจัยในทางที่ดีมีคุณประโยชน์
อะไรที่ไม่ดี ก็ไห้ลด ละ เลิก ส่วนที่ดีก็ขอให้หมั่นบ่มเพาะ,
ให้เป็นวาสนาภาคี จนสามารถตามเราไปทุกภพชาติเถิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร