วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 15:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ธรรมโอสถ : ความสุขของชีวิต

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แสง จันทร์งาม



ความสุขแท้จริงจากภายใน หาไม่ยาก
หาได้เมื่อถอนทุกข์ออกไป
ด้วยการอยู่ในโลกสมมุติ ด้วยใจที่เป็นวิมุตติ


เจ้าของนามปากกา ธรรมโฆษ
ผู้ใช้เวลาในชีวิตสร้างสรรค์จินตนิยายอิงหลักธรรม
เกื้อกูลสาธุชนให้เข้าใจถึงความสุขแท้ของชีวิต
ได้บรรยายธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม
ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งก่อตั้งขี้นโดย แม่ชีนันทญาณี (รุ้งเดือน สุวรรณ)
ผู้รับมรดกการเผยแผ่ธรรมให้แก่สตรี และเยาวชน
ตลอดจนสาธุชนทั่วไป ผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมจากเจ้าชื่น สิโรรส

ทีมงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้นำเทปการบรรยายธรรม
แก่นักศึกษาค่ายฝึกตน ชมรมพุทธศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุดนี้
ออกอากาศเผยแพร่ ในรายการคารวะแผ่นดินทางสถานีวิทยุ
INN FM 99.5 Mhz. เมื่อวันอังคารที่ 13 มีนาคม 2544
และได้ถอดเทปนำเสนอเนื้อความโดยสังเขป
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านโดยทั่วกัน



โดย ผู้จัดการออนไลน์

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผู้ที่จะเข้าใจในพระพุทธศาสนา
ต้องมีปัญญา แปลว่า ความรู้ มีหลายระดับ คือ

1. ระดับความจำ เป็นความรู้พื้นฐานเบื้องต้น ไม่มีผลเหนือจิตใจมากมาย

2. ระดับความเห็น เมื่อจำได้แล้ว นำมาทำใจ วิเคราะห์วิจารณ์
จะได้เห็น อย่างแจ่มแจ้ง มีผลมากต่อจิตใจ ทำให้เปลี่ยนแปลงมาก

3. ระดับญาณ เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่า
การเห็นเกิดจากภายใน เกิดแสงสว่างภายใน
ซึ่งมีผลมากต่อการก้าวสู่ทางพ้นทุกข์


ความรู้นั้น มีอยู่ 2 ประเภท คือ ความรู้ที่เป็นโลกียวิสัย
คือ ความรู้ทางโลก เป็นสัจโลกที่สามารถทำให้ชีวิตเราสะดวก
สบาย สนุก แต่ยังไม่เพียงพอ กลับทำให้เครียดมากขึ้น
ทุกข์มากขึ้น มีคนคิดฆ่าตัวตายมากขึ้น แสดงว่าสัจโลกนั้น
ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องรู้สัจธรรมด้วย


สัจธรรมที่ควรรู้

1. อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ถาวร ความเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีสิ่งใดคงที่

2. ทุกขัง ความไม่สบาย ไม่สมบูรณ์ เห็นความเจ็บปวด ต่อสู้ ดิ้นรน
เมื่อเห็นสิ่งนี้จะทำให้เกิดความเมตตา ความไม่เบียดเบียนกัน

3. อนัตตา ความไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เห็นเพียงสิ่งสมมติ

สัจธรรม 3 ประการนี้ คือ ความจริงแท้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่เห็นอยู่ทุกหนแห่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป


กำแพงพูดได้ต้นไม้แสดงธรรม
เป็นคำกล่าวของ หลวงพ่อที่วัดป่าดาราภิรมย์
เนื่องจากที่วัดป่านี้มีสุภาษิตติดอยู่ที่กำแพงทุกช่อง
สุภาษิตที่เป็นธรรมอันได้แก่

สัจธรรม 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือปัญญาพุทธ
ทำให้เรารู้แจ้ง เห็นจริง เพื่อดับทุกข์ เพื่อความสุขอันแท้จริง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดังนั้นสำหรับนักศึกษา ควรต้องรู้บทบาทของตัวเอง
บทบาทของนักศึกษา ในที่นี้ คือ การมาเตรียมชีวิต
เพื่อความเป็นคนที่ถึงพร้อมมีคุณค่า ประกอบด้วย


1. ความรู้ที่ครบวงจร คือ รู้ทั้งสัจโลก สัจธรรม
ความรู้ที่พร้อมครบถ้วนสมบูรณ์

ชีวิตจะได้สะดวก สบาย สนุก และสุข
คุณสมบัตินักศึกษาต้องรักในความรู้ ใฝ่รู้ ตั้งใจเรียน
อันจะนำความก้าวหน้าและความเจริญมาให้ในชีวิต
เพราะความรู้เป็นมิตรแท้ที่ไม่เคยทิ้งเรา
และจะ ติดตามไปช่วยเราทุกหนทุกแห่ง

2. ความสามารถ คือ ความเก่ง คิดเก่ง คิดเป็น
พระพุทธองค์สอนไว้ว่า คิดเหตุคิดผล ให้หนักแน่นในเหตุผล
ต้องแก้ให้ถูกเหตุ ถูกผล และพูดให้เป็น
พูดให้ถูกกาลเทศะ พูดถูกบุคคล ไม่ต้องพูดมาก พูดเมื่อจำเป็น

ภาษาสำคัญมาก เป็นสมบัติอันประเสริฐของมนุษย์
เพราะฉะนั้น ต้องคิดก่อนพูด เพื่อสิ่งที่พูดจะได้มีคุณค่า

นอกจากนี้ ก็ต้องทำให้เป็น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

3. เตรียมคุณธรรม ความดี ความขยันอดทน กตัญญูกตเวที

4. เตรียมอุดมคติ รู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรไม่เป็นสาระ เป็นตัวของตัวเอง
คือ เลี้ยงชีพ ไม่ได้เลี้ยงกิเลส

5. เตรียมอุดมการณ์ คนที่ทำงานอย่างมีจิตวิญญาณ
ตระหนักในสิ่งที่กำลัง สร้าง ตระหนักในงานหน้าที่ว่า
มีคุณค่าเพื่อส่วนรวม เราต้องมีอุดมการณ์ในการดำรงชีวิต
ต้องสำนึกถึงส่วนรวม นึกถึงบ้านเมือง แล้วช่วยกันอุทิศเพื่อสังคม


ตัวอย่างเช่น “มีนักปราชญ์ผู้หนึ่ง เดินไปตามถนนในเมือง
ซึ่งมีคนงานกำลัง นั่งทำงานอยู่นับร้อย
นักปราชญ์เข้าไปถามชายคนแรก ซึ่งกำลังนั่งแกะสลักหินว่า
กำลัง ทำอะไร เขาตอบว่า กำลังแกะสลักหิน
ส่วนชายคนที่สองตอบว่า กำลัง ทำมาหาเลี้ยงชีพ
ส่วนชายคนที่สามตอบว่า กำลังสร้างมหาวิหาร”
เมื่อถามว่าชายผู้ใดที่ทำงานอย่างมีอุดมการณ์
คำตอบคือ ชายคนที่สาม เพราะเขาทำงานอย่างมีจิตวิญญาณ
เขากำลังสร้างสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อมวลชน
คนที่สองแกะสลักไปก็คิดถึงเงินไป ซึ่งก็ย่อมไม่พอ
ย่อมจะไม่มีความสุข
ส่วนชายคนแรกทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีความสุข ไม่มีความก้าวหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.onion.

สาธุ สาธุ สาธุ

ลูกโป่ง นั่งลงหน่อยดิ

หลวงจีนงมงายขอกราบงาม ๆ


:b53:

โอมฺ มณีปทฺเม หุมฺ

หลวงจีนงมงาย


onion


แก้ไขล่าสุดโดย หลวงจีนงมงาย เมื่อ 09 ม.ค. 2010, 11:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนเรามีกี่ประเภท

1. คนบางคนมืดมาสว่างไป
ชีวิตยากจน ต่อมาขยันขันแข็ง ประสบความสำเร็จ

2. คนบางคนมืดมา แล้วมืดไป เป็นชีวิตที่น่าสงสาร และต่ำต้อย

3. คนบางคนสว่างมา มืดไป เป็นชีวิตที่น่าตำหนิ
เพราะฐานนั้นดีมาก่อน แต่ไม่ขวนขวาย

4. สว่างมา สว่างไป เป็นชีวิตที่ดี มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น หน้าที่นักศึกษา คือ เรียนรู้และทำความดีอย่าให้ขาด
เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดี รู้จักประหยัดการใช้เงิน
จงเลี้ยงชีพ อย่าเลี้ยงกิเลส


ธรรม คือ หน้าที่

หน้าที่ คือ สิ่งที่เราได้รับมอบหมายให้ทำและต้องทำ
ถ้าเราทำงานด้วยจิตที่รักงาน ทำงานด้วยความรัก มีฉันทะ
เราจะเพลิดเพลินกับงาน และขยันขันแข็งในงาน
คือ เมื่อเราเอาธรรมมาใช้ในการทำหน้าที่
เราจะประสบผลสำเร็จ ภูมิใจในหน้าที่
และการทำงานทุกอย่างควรมีสติกำกับ
มีความรู้ตัวพร้อมกำหนดทุกขณะเป็นการทำงานพร้อมกับปฏิบัติธรรม
เป็นธรรมในการปฏิบัติชีวิต ให้มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน

สมองและจิตใจ

สมองเป็นรูป เปรียบเสมือนเครื่องยนต์
จิตใจ เสมือนผู้คุม ควบคุมเครื่องยนต์
สมองเป็นเพียงเครื่องมืออยู่ภายใต้อำนาจของจิตใจ
จิตสามารถทำงานได้เหนือกาลเวลา
เช่น สามารถรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ในเวลานี้
วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาศึกษาเรื่องจิตวิญญาณกันมากขึ้น

ผลการศึกษานำไปสู่คำตอบที่ว่า จิตเป็นพลังงานลึกลับอย่างหนึ่ง
มีการทดลองเกี่ยวกับ โทรจิต โดยใช้จิตส่งถึงกัน
ซึ่งสามารถทำงานได้เหนือกาลเวลา

ทุกสิ่งทุกอย่างมีอะไรเป็นของเรา
ถ้าพูดตามอย่างนั้นไม่มีเลย เพราะเราเป็นธรรมชาติ
ที่ว่าเป็นของเรานั้น นั่นเป็นความรู้สึกนึกคิดที่เอาไปยึดถือ
แม้กระทั่ง จิตใจก็เป็นวิญญาณธาตุเป็นธาตุชนิด
หนึ่งเมื่อสลายก็เป็นเพียงกลุ่มพลังงานจิต
คือ ตัวต่อเชื่อมระหว่างชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง
จะเกิดได้เมื่อเรายังมีภาวะตัณหา มีกรรม อยู่นั่นเอง


ศาสนาในโลกนี้มี 2 ประเภท

1. เทวนิยม พระเจ้าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ลึกลับ
สร้างมนุษย์ขึ้นมาและเราต้องเคารพเชื่อฟังพระเจ้า
ต้องยอมสยบต่อเจตจำนงของพระเจ้า
เทวนิยมเป็นศาสนาสนองด้านอารมณ์ของคนได้อย่างมาก

2. อเทวนิยม เน้นเหตุผลไม่เน้นอารมณ์ดังเช่นพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการกราบไหว้วิงวอน บนบาน หรือบวงสรวง


หากจะดูภิกษุสงฆ์ที่ดีๆ ดูอย่างไร

พระพุทธองค์บอกว่า จะดูความกลัวของคน ต้องดูในยามมีภัย
ถ้าจะ ดูความรัก ต้องดูในยามยากจน
ถ้าจะ ดูสติปัญญา ให้ดูที่คำพูด การสนทนา
และถ้าจะ ดูศีลความดี ต้องดูอยู่ด้วยกันนานๆ
ดูอย่างละเอียดด้วยจิตใจเป็นธรรม
เฝ้าสังเกตพฤติกรรมนานาๆ
ดูแล้วว่าท่านไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นอยู่อย่างง่าย
นั่นคือ พระแท้ หากต้องใช้เวลาดูนานๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร