ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=27839
หน้า 1 จากทั้งหมด 4

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:24 ]
หัวข้อกระทู้:  ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


อัตชีวประวัติของอดีตขอทานที่ทุกคนเย้ยหยัน
มีพ่อตาบอด แม่กับน้องชายคนโตปัญญาอ่อน
ทั้งหมด 14 ชีวิตที่เขาต้องเลี้ยงดู
เขาต่อสู้กับชีวิตจนได้เป็น "บุคคลดีเด่นของไต้หวัน"
เพราะใจที่ ไม่ยอมแพ้ เพียงคำเดียว


ไล่ตงจิ้น
ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

ไล่ตงจิ้น เขียน
วิลาวัลย์ สกุลบริรักษ์ แปล

ตอนที่ 1
เรื่องของผม

22 ธันวาคม ปี 1999 ผมยืนอยู่บนเวทีในพิธีมอบรางวัล 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี หลังจากที่ผมรับรางวัลแล้วกล่าวคำปราศรัยยาว 40 นาทีสิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้น ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นปรบมือให้ผม ในนาทีนั้นแม่กับน้องชายคนโตก็นั่งอยู่ในห้องโถงพิธีด้วยเช่นกัน ผมมองพวกเขาที่นั่งอยู่หน้าเวที นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราได้ฟันฝ่าร่วมกันมาแล้ว ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจริง ๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับรางวัลหรือใบประกาศเกียรติคุณหรอกครับ ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยได้รับรางวัลและใบประกาศต่าง ๆ เป็นร้อย ๆ ใบ สิ่งเหล่านี้นับเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับ “ชีวิตสวะ” ของเด็กขอทานอย่างผม ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง แด่ทุกคนทั้งที่เคยเป็นกำลังใจและเคยช่วยเหลือผม มองย้อนกลับไป ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายไปตัดมาอย่างรวดเร็วในหัวของผม ช่วงระยะเวลา 40 ปีของผมช่างยาวนานเสมือนเวลา 80 ปีของคนอื่น
เพราะแต่ละก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า แต่ละก้าวที่ย่างไปข้างหน้านั้น ราวกับก้าวเดิน
บนถนนก้อนกรวด เลือดไหลซิบ ๆ แต่ก็ยังต้องฝืนยกเท้าก้าวต่อไป

ยังดีที่ผมไม่ล้มลง ยังดีที่ผมยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้ ยังดีที่ผมไม่เคยละทิ้งชีวิตนี้ไป

กระผม นายไล่ตงจิ้น เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1959 พ่อเป็นขอทาน แม่เป็นคนปัญญาอ่อน

“บ้านฉันช่างน่ารักจริงเอง สะอาด สดใส มีพลานามัย และเปี่ยมสุข” เมื่อได้ยินเด็ก ๆ ร้องเพลงนี้ทีไร
ใจผมกลับรู้สึกว่า “บ้านผมช่างแปลกเหลือเกิน” ก็ตอนที่พ่อตาแม่ยายผมห้ามลูกสาวเขาไม่ให้แต่งงาน
กับผม บ้านนั่นน่ะเป็นบ้านที่โคตรซวย บรมซวยที่สุดในโลกเชียวนะ” แล้วผมจะมีหน้าไปเถียงอะไรเขา
ได้เล่า ในเมื่อบ้านผมก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อผมไม่ได้เป็นเพียงขอทานธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็น
ขอทานตาบอดอีกด้วย แถมแม่ผมยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ หมอบันทึกลงใน
ใบวินิจฉัยโรคว่าแม่ไอคิวต่ำเพียงระดับ 58 เท่านั้น

นี่คือเรื่องราวการเติบโตของผม เป็นบันทึกชีวิตคลุกเลือดเคล้าน้ำตาที่พวกเราทั้งครอบครัวได้ช่วย
ประคับประคองกันมา ผมเลือกที่จะนำเรื่องราวเหล่านี้มาบันทึกเป็นหนังสือในวันนี้ เพื่อระลึกถึง
คืนวันในช่วงนั้น

พ่อผมเกิดที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แสนจะยากจนในอำเภออูรื่อ จังหวัดไถจง ปู่ย่ามีอาชีพ
รับจ้างทำนา เมื่อพ่ออายุได้สี่ขวบ ปู่ก็ป่วยตาย ย่าเลี้ยงดูลูกทั้งสาม (ได้แก่ พ่อผม ลุงและป้า)
แต่เพียงลำพัง ในสมัยนั้นแค่การเป็นหญิงม่ายก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีลูกติดอีกถึงสามคน
จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อย ๆ ซ้ำยังต้องโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดด้วยเหตุนี้
อีกสามปีต่อไป ย่าจึงยอมแต่งงานใหม่ไปอยู่หมู่บ้านซิ่วซาน อำเภอต้าหย่า โดยที่ลูกทั้งสามไม่ได้ติดตามไปด้วย ทุกคนยังอยู่ที่อู่เรือ ทำงานรับจ้างทั่วไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควายบ้าง พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

เมื่อพ่ออายุได้ 17 ปี ย่าก็เสีย ดังนั้นนอกจากพี่ชายกับพี่สาวแล้ว พ่อจึงไม่มีญาติที่ไหนอีก
แต่กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ปรานี สองปีต่อมา จู่ ๆ ตาของพ่อก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ในตอนนั้นทั้งลุงและป้าต่างก็แต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว ครอบครัวของแต่ละคนก็ลำบากมาก ไม่สามารถดูแล
น้องชายคนนี้ได้ ประกอบกับแพทย์ในสมัยนั้นก็ยังไม่พัฒนา ตาของพ่อจึงค่อย ๆ บอดลงในที่สุด
ที่น่าแปลกก็คือ อีกสิบกว่าปีต่อมา ลุงกับป้าก็ตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะตั้งฮวงซุ้ยบรรพบุรุษไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรมกันแน่ คงไม่มีใครตอบได้
สรุปก็คือเมื่อพ่ออายุได้ 22 ปี ตาก็บอดสนิททั้งสองข้าง

จากนั้นท่านจึงเริ่มใช้ชีวิตวณิพก หากินด้วยการเป็นหมอดูบ้าง หมอนวดบ้าง แต่เนื่องจากกิจการ
ไม่ค่อยดีนัก โดยส่วนใหญ่แล้วพ่อจึงมักจะไปดีดพิณขอทานตามตลาดสดบ้างตลาดโต้รุ่งบ้าง
ชีวิตพ่อมีเพียงแค่ไม้เท้าหนึ่งอัน ชามบิ่น ๆ หนึ่งใบกับพิณอีกหนึ่งตัว ระหกระเหินไปทั่ว
ค่ำไหนนอนนั่น ในใจพ่อคิดอะไรอยู่นั้น ผมไม่เคยเข้าใจ บางทีชีวิตเร่ร่อนขอทานของชายตาบอด
อาจจะมีสิ่งน่าพอใจอยู่บ้างก็ได้

พ่อซัดเซพเนจรไปเรื่อยจนอายุ 32 ปี วันหนึ่งพ่อเดินลัดเลาะไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำหมู่บ้าน
จ้างฮว่าเอ้อหลิน กะว่าจะนั่งพักขาใต้ร่มไม้ให้พอหายเหนื่อยเสียก่อน พอนั่งลงก็ได้ยินเสียง
คล้ายกับคนร้องครวญครางดังขึ้นใกล้ ๆ ตัว แม้พ่อจะมองไม่เห็น แต่ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียง
ของเด็กผู้หญิง เสียงโอดโอยนั้นบอกถึงความทรมานสุดทน พ่อสงสัยว่าเธออาจจะป่วย จึงยื่นมือออกไปแตะดู ตั้งใจจะถามเธอว่าเป็นอะไร แต่เด็กหญิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงจะถามแล้วไม่ได้คำตอบ แต่ในสถานการณ์นั้น พ่อก็ไม่ใจดำพอจะทิ้งเด็กหญิงไว้ตามลำพังได้ จึงนั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ

ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไร พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเด็กหญิงนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น แกถอนใจยาว เล่าให้พ่อฟังว่า “จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารนะเด็กคนนี้น่ะ บ้านแกอยู่ที่หมู่บ้านหยวนหลิน แต่ฐานะยากจน พอเกิดมาก็ถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมตระกูลเฉิงที่เอ้อหลิน หยวนโต้ง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ
พอตระกูลเฉิงรู้ว่าเด็กคนนี้ปัญญาอ่อนแต่กำเนิด แล้วยังเป็นโรคลมบ้าหมูอีก อย่าว่าแต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเลย แค่เลี้ยงดูพ่อแม่บุญธรรมแกยังไม่ใส่ใจดูแล ได้แต่ปล่อยแกตามยถากรรม จะอยู่จะกินอย่างไรก็ช่าง พอเด็กมันหิวก็จับมดจับแมลง ผลไม้ ผักหญ้าใส่ปากไปตามแต่จะเก็บได้ เหนื่อยก็ล้มลงนอน
กับพื้นสะเปะสะปะไปทั่ว พอป่วยก็ได้แต่มานอนโอดโอยอย่างที่เห็นนี่แหละ” พอพูดจบ ชาวบ้านคนนั้น
ก็ถอนใจยาวอีกเฮือกหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเดินจากไป

พ่อคิดว่า คนเราเกิดมาใต้ฟ้าผืนเดียวกัน พ่อเองก็ไม่มีพ่อแม่ ส่วนเด็กคนนี้ก็ถูกทอดทิ้ง ทำไมในโลกนี้
จึงมีคนน่าสงสารมากมายนักนะ แม้ตัวพ่อเองจะตาบอด แต่อวัยวะส่วนอื่นก็สมบูรณ์ดี ยังพาตัวไปขอทานได้ แม้จะต้องทนอดอยู่บ่อย ๆ แต่ลมหายใจก็ยังไม่สิ้น หากว่าพ่อใจดำจากไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าเด็ก
ที่น่าสงสารคนนี้จะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า พอคิดได้อย่างนี้แล้ว พ่อก็ตัดสินใจว่าจะพาเด็กหญิงนี้
กลับไปรักษาที่อูรื่อบ้านเกิดตัวเอง

ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันมา

ในสมัยนั้นยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า “พิธีแต่งงาน” เพียงคนสองคนอยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยา
กันได้แล้ว และเด็กผู้หญิงปัญญาอ่อนที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ก็คือแม่ผมเอง ตอนหลัง เวลาพ่อเล่า
ถึงเรื่องนี้ทีไร จึงมักจะพูดว่าพ่อไป “เก็บ” แม่มา ที่จริงจะว่าอย่างนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะตอนนั้นพ่ออายุ 32 ปีแล้ว ส่วนแม่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ทั้งคู่อายุห่างกันถึง 19 ปี ก็เหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ
นั่นแหละ

คำพังเพยกล่าวว่า “หงส์คู่หงส์ มังกรคู่มังกร คางคกงี่เง่าคู่กับเต่าเฒ่าหลังตุง คนหลังค่อมคู่
กับคนปัญญาอ่อน” ไม่รู้อย่างนี้ควรจะเรียกว่าสวรรค์บันดาลหรือสวรรค์กลั่นแกล้งดี

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 2
ลูกยกโหล

บ้านเรามีลูกทั้งหมด 12 คน ผมเป็นคนที่สอง มีพี่สาวหนึ่งคน ปีที่ผมเกิดนั้นพ่อผมอายุได้ 42 ปีแล้ว ตอนนั้นพวกเราร่อนเร่ไปถึงหมู่บ้านตงซื่อในไถจง ผมจึงเกิดที่ศาลเจ้าในสุสานแถว ๆ นั้น ศาลเจ้า
ในสุสานก็คือคฤหาสน์ในยมโลกของพวกคนตายนั่นเอง ฮวงจุ้ยเลยไม่เลวนัก ด้านหน้ามีแม่น้ำ ด้านหลังมีภูเขา หมอตำแยที่มาช่วยทำคลอดให้ แต่เช้าตรู่ยังบอกด้วยว่า ตอนที่แกทำคลอด แกเห็นมังกรเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวบนท้องฟ้าด้วย พ่อดีใจใหญ่ จึงตั้งชื่อผมว่า “ตงจิ้น” หรือบางทีก็เรียกว่า “ตงสุ่ย”

หลังจากผมเกิด แม่ก็ตั้งท้องอีกท้องแล้วท้องเล่า คลอดต่อ ๆ กันจนครบ “หนึ่งโหล” ครอบครัวที่ยากจนเพียงนี้ แถมยังมีลูกมากขนาดนี้ ลำพังที่พ่อหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั้นก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว จึงแทบจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลี้ยงดูพวกเราเลย ผมจำได้ว่าทุกครั้งที่ผมออกไปขอทานกับพ่อ พ่อจะต้องผูกแม่ไว้กับต้นไม้ด้วยเชือกหรือโซ่ เพื่อป้องกันไม่ให้แม่หนีไปเล่นน้ำ เพราะหากว่าแม่เกิดหลงทางขึ้นมา พ่อตาบอดของผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตามแม่ได้ที่ไหน

เมื่อไม่มีพ่อแม่คอยอุ้มชูดูแล เด็ก ๆ ทุกคนในบ้านเราจึงต้องช่วยดูแลกันเอง เล่นดิน กินทรายมาจนเติบโตขึ้น แต่ที่แสนจะโชคร้ายไปกว่านั้นก็คือ น้องชายคนโตปัญญาอ่อนและภาวะอารมณ์ผิดปกติแต่กำเนิด เพราะกรรมพันธุ์จากแม่ นับแต่นั้น คนที่ถูกผูกติดกับต้นไม้จึงไม่ใช่แม่เพียงคนเดียว แต่ยังมีน้องชายคนโตเพิ่มมาอีกคน

สำหรับพวกเรานั้น เนื่องจากพ่อมองไม่เห็น ท่านจึงต้องหาเชือกสีแดงมาร้อยลูกกระพรวนผูกไว้ที่คอลูกทุกคน เพื่อจะได้ฟังเสียงดูว่าพวกเราคลานเล่นกันไปถึงไหนแล้ว ถ้าใครไปไกลหน่อย พ่อก็จะรีบไปลากกลับมา

เรื่องที่เกิดขึ้นตอนอายุได้ 5 – 6 ขวบนั้น ผมจำได้แม่นยำ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสี่ขวบ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่พ่อกับพี่สาวเล่าให้ฟังภายหลัง

พี่สาวเล่าว่า ตอนแรกที่มีเธอคนเดียว พ่อจะมีไม้คานสำหรับหาบของไว้บนบ่า มีถุงย่ามอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งไว้สำหรับใส่ทารกน้อย อีกข้างไว้สำหรับใส่ผ้าห่ม เท่านี้ก็ไปได้ทั่วปฐพีแล้ว พอมีผมเพิ่มมาอีกคนก็เท่ากับว่ามีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากท้อง จะอาศัยแต่การขอทานของพ่อคนเดียวก็เริ่มจะไม่พอเสียแล้ว อีกอย่าง จะขนย้ายทั้งครอบครัวใหญ่ไปโน่นมานี่คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก

ดังนั้นเมื่อผมอายุได้ขวบกว่า พอเริ่มเดินได้ก็เตาะแตะตามพี่สาวออกไปขอทาน ผมจำได้ว่า พ่อแทบจะไม่เคยแสดงความชื่นชมหรือยินดีต่อใบประกาศนียบัตรใด ๆ ที่ผมได้มาจากการร่ำเรียนหนังสือเลยสักครั้ง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พ่อมักจะพูดติดปากอยู่เสมอ และในน้ำเสียงนั้นบอกถึงความภูมิใจว่า “ตอนที่อาจิ้นเพิ่งจะสองขวบน่ะ มันเดินขอทานตั้งแต่หมู่บ้านเฉ่าตุนถึงหมู่บ้านผูหลี่เชียวนะ ระยะทางห่างกันตั้งสี่สิบกิโลเมตรแน่ะ”

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อถึงชื่นชมกับเรื่องนี้หนักหนา แต่พอมาคิดดูอีกทีก็คงเหมือนกับครอบครัวคหบดีที่หวังให้ลูกชายมีความสามารถในวิชาคำนวณ ครอบครัวขุนนางข้าราชการที่หวังให้ลูกชายรู้จักการเข้าสังคมต่าง ๆ และเมื่อเกิดในครอบครัวยากจน พ่อจึงหวังให้ผมมีกำลังขาที่ดี และมีความอดทนสูงกระมัง ระยะทางตั้ง 40 กิโลเมตร แล้วผมก็เพิ่งสองขวบเท่านั้น คิดดูแล้วก็น่าหดหู่เสียจริง

ตอนผมห้าขวบ แม่ก็คลอดลูกติดต่อกันอีกถึงสามคน เนื่องจากพี่สาวเป็นผู้หญิงจึงต้องคอยดูแลน้อย ๆ อยู่ที่ศาลเจ้าในสุสาน ส่วนผมต้องเริ่ม “ขึ้นแท่น” ไอ้เสือปืนเดี่ยว ออกไปขอทานเพียงลำพัง

แม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่ “ประสบการณ์” ที่สั่งสมใน “พรรคกระยาจก” มาเป็นระยะเวลาถึงสามปีครึ่ง
ทำให้การออกขอทานไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนักสำหรับผม เพียงแต่การขาดความรู้เรื่องการคุมกำเนิดของพ่อแม่ ทำให้แม่ตั้งท้องและคลอดลูกต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่มีชีวิตใหม่ลืมตาขึ้นมา ไม่มีความปีติ ไร้ซึ่งการยินดี จะมีก็แต่ความกังวลใจในภาระที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากท้อง และภายหลังผมต้องเป็นผู้รับภาระหนักอึ้งที่จะต้องดูแลครอบครัวที่มีถึงสิบสี่ปากท้องเพียงลำพัง มันช่างเป็นเสมือนโศกนาฏกรรมที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้นสำหรับผม เสมือนถนนขรุขระที่ไม่มีปลายทาง

ก่อนผมสิบขวบ ครอบครัวเราไม่มีบ้านช่องเป็นหลักแหล่ง หรือแทบจะเรียกได้ว่าเราต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันจริง ๆ ผมผ่านวัยเด็กท่ามกลางลมหนาว น้ำค้าง แสงแดด พายุโหมกระหน่ำ มีต้นไม้เป็นหลังคา ผืนดินเป็นเตียงนอน และมีสุสานเป็นบ้านของเรา

พวกเราเคยอาศัยพักพิงมาแล้วแทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ตลาดสด ใต้เวทีโรงงิ้ว
ป่าร้าง ตามแต่สภาพอากาศที่ผันแปรไปตามฤดูกาล พูดได้ว่าไม่มีที่ไหนเลยที่เราอยู่ไม่ได้ ถ้าไปตามเมืองเล็ก ๆ เราก็อาศัยกันตามโรงเรียนบ้าง ศาลาตามสวนสาธารณะบ้าง สถานีรถไฟบ้าง หรือถ้าเป็นหมู่บ้านชนบท เราอาจพักกันตามสวนกล้วย ไร่อ้อย โรงเพาะเห็น หลุมหลบภัย หรือแม้แต่ในเล้าหมูก็ยังเคย แต่ที่ที่เราอาศัยกันบ่อยที่สุดคงจะเป็นศาลเจ้าในสุสาน เพราะการนอนอยู่กับคนตายนั้นไม่ต้องถูกมองด้วยสายตาดูแคลน และที่สำคัญคือ คนตายไม่ไล่ตะเพิดพวกเราแน่

เคยมีคนถามว่า ทำไมผมจึงจำเรื่องราวในอดีตได้ละเอียดชัดเจนนัก ผมคิดว่าคงเป็นเพราะว่าชีวิตผมลำบากและสะเทือนใจมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะการดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็เคยได้รับมาหมดแล้ว
เรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเข็มแต่ละเล่มที่คอยทิ่มแทงใจผม แล้วผมจะลืมมันลงได้อย่างไร เพียงหลับตาลงครั้งใด เรื่องราวในอดีตก็แจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ เหมือนแผลสด ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในหัวใจกระนั้น

แล้วจะให้ผมลืมมันลงไปได้อย่างไรเล่า

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 3
คนจรจัดไม่มีสิทธิเจ็บไข้ได้ป่วย

ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ชีวิตผมก็เร่ร่อนไปไม่มีที่สิ้นสุด

ในช่วงที่เราซัดเซพเนจรกันนั้น เนื่องจากพ่อมองไม่เห็น แต่เพื่อปกป้องพวกเรา พ่อจึงต้องพกอาวุธประจำกายไว้เสมอ ซึ่งได้แก่ ไม้คาน ไม้เท้า ก้อนหิน ตะปู และฆ้องที่ยามสมัยก่อนใช้ตีเพื่อบอกเวลา

ประสบการณ์จากการพเนจรมาหลายปี ทำให้พ่อกลายเป็นคนที่หูไวมาก แม้เพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงกระซิบเบา ๆ ลอยมาแต่ไกล หรือกระทั่งเสียงงูเลื้อยในพงหญ้า พ่อพร้อมจะยกไม้เท้าขึ้นมาป้องกันภัยทันทีที่ได้ยิน คราใดที่พบกับโจร คนจรจัด หรือพวกขี้เมาเข้า พ่อก็จะมีเทคนิคสามอย่างคือ

ข้อแรก ตีฆ้องสุดแรง ให้ดังจนคนแปลกหน้าตกใจวิ่งหนีไป

ข้อสอง ทำเป็นตั้งท่ามาตรฐานมวยจีน ให้ดูเหมือนว่าตัวเองนั้นเป็นนักบู๊มือหนึ่ง แล้วแกล้งทำหน้าตาให้ถมึงทึงขึงขังเข้าไว้ เหมือนจะขู่ว่า “อย่ามายุ่งกับข้า”

ถ้าสองวิธีนี้ยังไม่ได้ผลอีก พ่อก็จะเปลี่ยนมาใช้เทคนิคข้อที่สามคือ หยิบก้อนหินสามสี่ก้อนในถุงย่ามออกมาปาไปทางคู่ต่อสู้ พ่อบอกว่าท่านี้มีชื่อว่า “ท่าลิงเด็ดลูกท้อ” เคล็ดลับอยู่ที่การเคลื่อนไหวต้องรวดเร็วเป็นพิเศษ ภายหลังพ่อสอน “ท่าลิงเด็ดลูกท้อ” นี้ให้ผมและพี่สาวด้วย ดังนั้นในถุงย่ามของเราจึงมีหินสองสามก้อนพกไว้เพื่อป้องกันตัวเสมอ

ทุกครั้งที่ครอบครัวเราเดินไปถึงหมู่บ้าน ก็มักจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจแก่ชาวบ้านที่ได้พบเห็นเสมอ บางคนเห็นครอบครัวเราแล้วก็เวทนา จนต้องนำอาหารมาให้ตั้งแต่พวกยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอเสียด้วยซ้ำไป ส่วนตัวผมก็เหมือน “พ่อวัว” ตัวหนึ่งที่ลากลูกวัวข้างหลังอีกเจ็ดตัวให้คอยเดินตาม และแน่นอนพวกเราทุกคนเดินเท้าเปล่า

ชาวบ้านนอกส่วนใหญ่มีสัตว์เลี้ยงกันทั้งนั้น ถ้าเดินไม่ระวังก็อาจเหยียบโดนขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมา หรืออาจเป็นขี้ของสัตว์อื่นเลอะติดเท้าของเราได้ เวลานั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้ว่าเหม็นหรือหอมอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขำมาก แต่พอหัวเราะขึ้นมา ถึงพ่อจะตาบอด ไม้เท้าของพ่อก็จะลอยมาฟาดผมดังเผียะเข้าทันที แล้วพ่อก็จะให้ผมเอาขันไปตักน้ำตามบ่อมาล้างให้สะอาดก่อน จึงค่อยเดินทางกันต่อ

การเดินทางด้วยเท้าเปล่าทุกวัน ทำให้ฝ่าเท้าของเราด้านจนเป็นชั้นหนา ๆ หนาขนาดที่ว่าถ้าหากพลาดไปเหยียบโดนเศษกระจกเข้า ก็ไม่แน่ว่าเศษกระจกนั้นจะแทงทะลุเนื้อได้หรือเปล่า แต่ถึงจะพลาดไปเหยียบโดนตะปูหรือของแหลมคมอื่น ๆ เข้า พ่อก็มีวิธีรักษาแปลก ๆ เฉพาะตัวคือ ถ้าเหยียบโดนตะปูหรือถูกเศษกระจกบาด ให้ใช้ดินทรายปิดปากแผลไว้ แต่ถ้าถูกหมากัดก็ให้ใช้ขี้หมูมาทาแทนยา ไม่มีอะไรที่เรียกว่าอนามัยหรือไม่อนามัยเลยสำหรับพวกเราที่คลานเล่นกับพื้นดินมาตั้งแต่เล็ก ๆ หิวเมื่อไรก็หยิบดินหยิบทรายยัดใส่ปาก ใครให้อะไรมาก็กินลงไป บางครั้งเม็ดข้าวหล่นลงพื้นก็ยังเอามาใส่ปาก ไม่สนใจเรื่องสะอาดเรื่องสกปรก ได้แต่กลืนลงท้องไปเหมือน ๆ กัน

คนจรจัดไม่มีสิทธิเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะพวกเรายังต้องเดินทางกันตลอด

ระหว่างที่เร่ร่อนไป พ่อก็จะคอยสอนให้ผมเก็บเอาพวกก้อนหิน เศษกระจกและตะปูที่ตกอยู่ตามทางเดินออกไปทิ้ง หรือหากเป็นหลุมขนาดใหญ่ ให้ใช้ไม้ผูกผ้ามาปักไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อไม่ให้คนที่รีบเดินตอนกลางคืนอาจไม่ทันระวังสะดุดล้มเป็นอันตรายได้ พ่อบอกว่า “เมื่อตัวเองเคยเจ็บมาแล้วก็อย่าให้คนอื่นมาเจ็บซ้ำรอยเดินอีก”

พ่อเป็นคนไม่มีการศึกษา แต่เรื่องราวมากมายที่พ่อได้สอนให้แก่พวกเราล้วนเป็นเรื่องที่ออกมาจากใจจริงทั้งสิ้น

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 4
รู้ที่จะปรับเปลี่ยน รู้ที่จะอยู่รอด

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ผมกับพ่อก็ต้องเตรียมตัวออกจากที่พักกันแล้ว

จากที่พักของเราคือศาลเจ้าในสุสาน เดินออกจากสุสาน ข้ามเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง ตัดผ่านทางเดินตามคันนาเล็ก ๆ ทะลุถนนเส้นเกษตรกรรม กว่าจะมาถึงหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดก็เป็นระยะทาง 1 – 2 กิโลเมตร ทางเดินก็แสนจะขรุขระ ผมต้องคอยจูงพ่อเดินด้วยความระมัดระวังไปตลอดทาง

พอมาถึงหมู่บ้าน พ่อก็จะพาผมไปเดินเคาะประตูตามบ้านทีละหลัง ๆ ตอนนั้นผมยังเล็กมาก แล้วพ่อก็ตาบอดด้วย จึงทำให้มีเรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นกันอยู่หลายครั้งทีเดียว เช่น ครั้งหนึ่งที่เรามาเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง พอประตูเปิดออกมา เจ้าของบ้านก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าเราทันที พร้อมกับตะโกนด่าเสียงลั่นว่า
“เคาะหาอะไร ตาบอดเรอะ ไม่เห็นหรือไงว่าเรากำลังจัดงานศพกันอยู่น่ะ! หา!” โธ่! ก็ผมมองไม่เห็นจริง ๆ ตอนนั้นผมยังสูงไม่ถึงร้อยเซนติเมตรดีเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามีงานศพ พ่อรีบขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ แล้วเราสองคนก็รีบหลบออกมา เมื่อมาถึงบ้านอีกหลัง ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปใกล้สักเท่าไร หมาตัวโตตัวหนึ่งเห่าเสียงดังขึ้นพร้อมกับกระโจนออกมาทันที เราตกใจใส่เกียร์ถอยหลังหนีแทบไม่ทัน คนหนึ่งตาบอด อีกคนหนึ่งก็เด็กเล็ก ไม่รู้จะวิ่งไปทางไหนดี ลุกลี้ลุกลนวิ่งชนกันเองเข้า ผมโดนพ่อล้มทับเอาอย่างจัง เจ็บจนร้องไห้จ้า แถมยังถูกพ่อด่าซ้ำอีกว่า “หนอย! ข้าตาบอดแล้วแกก็เลยไม่มีตาด้วยหรือไง”

ผมเอามือนวดหัวเข่าข้างที่เจ็บ ร้องไห้พลางจูงพ่อเดินต่อไป พ่อก็ยิ่งโมโหหนักเข้า ตะเบ็งเสียงดุผมอีกว่า “แล้วแกจะร้องไห้หาอะไรอีก หา!”

ผมไม่กล้าส่งเสียงอีก พอน้ำมูกไหล ก็ได้แต่เบะปากเดินต่อด้วยความน้อยใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนนำอาหารเหลือที่บูดจนเริ่มส่งกลิ่นเปรี้ยวมาให้เรา กระนั้นเราก็ยังซาบซึ้งใจยิ่ง เฝ้าขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า จากนั้นก็มาเคาะประตูบ้างข้าง ๆ พอเจ้าของบ้านเปิดประตูผัวะออกมา ก็จ้องหน้าเราแล้วว่า
“จนจนผีจะมารับไปอยู่แล้ว ยังต้องมาทำบุญทำทานให้พวกแกอีกหรือไงวะ ว่าแต่น้องชาย ไอ้กับข้าวของพวกแกนั่นน่ะ เอามาเผื่อแผ่ให้พวกเรากินบ้างได้ไหม!”

ผมรู้สึกตกใจมากที่เขาอยากได้อาหารของเรา จึงรีบจูงพ่อเดินหนีไป นึกไม่ถึงเลยว่า ในโลกนี้
จะยังมีคนที่อยากได้แม้แต่ข้าวของขอทานด้วย ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ใกล้เที่ยงแล้ว อาหารในขันใบเล็กของผมเพิ่งจะได้มาแค่สองส่วนเท่านั้นเอง ไหนเลยจะพอกินกันทั้งบ้าน พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดของหมู่บ้านกำลังเก็บแผงกันพอดี
ผมก็รีบจูงพ่อดิ่งไปขอทานที่แผงผลไม้ทันที พวกเด็ก ๆ กลุ่มที่อยู่ไกล ๆ โน่นเห็นเราเข้า ต่างพากันตะโกนล้อเลียนว่า “เร็วเข้า! รีบมาดูนี่เร็ว ขอทานมาแล้ว ไอ้ตัวสกปรก ไอ้ตัวน่ารังเกียจ
แหวะ ไอ้ขอทานตัวเหม็นมาขอข้าวเขากิน แหวะ”

พ่อค้าเจ้าของแผงคงจะสมเพชพวกเรา จึงหยิบเอาผลไม้ที่ช้ำจนขายไม่ได้แล้วยื่นให้แก่พวกเราจำนวนหนึ่ง แม้ว่าผลไม้ที่พ่อค้าหยิบยื่นให้จะช้ำจนแทบจะเน่าแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันช่างหวานหอมเหลือเกิน

พอได้ผลไม้มา ผมก็นำมาคัดส่วนดีเก็บไว้ให้สำหรับพ่อกับแม่ก่อน จากนั้นตัวเองค่อยกินส่วนที่เหลือ เมื่อหวนคิดถึงสมัยนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาชนะความอยากของตัวเอง ยอมกินน้อยและกินแต่ส่วนที่แย่นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าความรู้สึกกตัญญูกตเวทีเหล่านี้ผมไปเรียนมาจากไหน ผมไม่รู้เลยจริง ๆ

ช่วงปี 1960 นั้น ไต้หวันยังเป็นสังคมเกษตรกรรมเล็ก ๆ ประเทศหนึ่ง ประชากรทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินหรือชาวนาก็ต้องพึ่งพาฟ้าฝนเป็นหลัก ฝนตกมากเกินไป พายุเร็วเข้าเกินไป หรือแล้งเกินไป ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวทั้งนั้น และในช่วงที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาตินี้ ชาวบ้านก็จะหน้าดำคร่ำเครียด พวกเราก็ยิ่งขอทานได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อทุกชีวิตก็ยังต้องอยู่ต่อไป ด้วยเหตุนี้พ่อจึงลงทุนซื้อสิงโตผ้ามาหนึ่งชุด ให้พี่สาวซึ่งตัวสูงกว่าอยู่ด้านหน้าเป็นหัวสิงโต ส่วนผมตัวเล็กกว่าอยู่ด้านหลังเป็นหางสิงโต แล้วเอาถุงใส่เงินเล็ก ๆ มามัดที่เอวกางเกงของเราสองคนไว้

ผมกับพี่สาวช่วยกันเชิดสิงโต ทั้งร้องทั้งเต้นไปแทบทุกบ้าน ไม่ว่าชาวบ้านจะต้องการโชคลาภจริง ๆ หรือว่าต้องการจะไล่พวกเราก็ตาม แต่ก็ยอมควักเศษสตางค์จ่ายให้พวกเรามากบ้างน้อยบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งเราสองพี่น้องพากันเชิดสิงโตอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เชิดอยู่นาน แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ยอมเหลียวแลพวกเราสักที อากาศก็ร้อนจัด พวกเราอยู่ใต้ผ้าคลุมเหงื่อแตกชุ่มเสื้อไปหมด แต่เมื่อยังไม่ได้สตางค์ เราก็ไม่ยอมจากไปง่าย ๆ

ผมกับพี่สาวยิ่งเชิดก็ยิ่งมัน เต้นจนชนกันเอง ต่างคนต่างล้มลง แล้วก็ช่วยพยุงกันลุกขึ้นมาใหม่ เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่กับผ้าคลุมสิงโตก็พลอยกระทบกันเกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋งน่ารำคาญ แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าของบ้านจะโมโหมากจนเข้าไปปล่อยหมาออกมาไล่พวกเรา และเพราะพี่สาวเป็นหัวสิงโต เธอจึงมองเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเจ้าหมาตัวนั้นก่อน เธอตกใจกลัวรีบหมุนตัวกลับหลังวิ่งหน้าตั้ง แต่ผมสิ ผมเป็นหางสิงโตอยู่ด้านหลัง มองไม่เห็นอะไรเลย เราสองคนจึงชนกันเต็มรัก จนสิงโตแทบจะพังหมด

ผมกับพี่สาวไม่เคยได้รับ “การเข้าคอร์ส” ฝึกฝนใด ๆ ทั้งสิ้น จะทำอะไรก็อาศัยแต่ครูพักลักจำเอาเท่านั้น ที่พากันเชิดสิงโตก็ไม่เคยลงเท้าได้เข้าจังหวะเลย เอาแต่ว่าไม่ต้องหกล้มหัวคะมำก็ต้องถือว่าบุญโขแล้ว ความจนสอนให้เราเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยน และการปรับเปลี่ยนทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้ และที่คือปรัชญาของการอยู่รอด

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 5
ปรัชญาจากศพ

ความกดดันในชีวิตสอนให้ผมโตเร็วกว่าเด็กทั่วไป พออายุได้สี่ขวบ ผมก็เริ่มรู้จักหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตัวเองแล้ว

เพราะเราต้องซัดเซพเนจรไปทั่ว เราจึงรู้ได้ไม่ยากว่าบ้านไหนมีคนตายบ้านไหนกำลังจัดงานศพ ขอให้เรารู้ เราจะแล่นไปถึงทันที เพื่อจะไปถามดูว่าทางบ้านนั้นขาดลูกมือบ้างไหม ต้องการคนแบก “เหลียนจู๋” หรือ “เหลียนจง” บ้างหรือเปล่า ที่เรียกว่า “เหลียนจู๋” และ “เหลียนจง” คืออุปกรณ์ที่บ้านเจ้าภาพงานศพใช้เป็นเครื่องนำขบวนในพิธีเคลื่อนย้ายศพ เดินอยู่หัวแถวถือธงแดงและธงขาว “เหลียนจู๋” คือการเอาก้านไม้ไผ่ผูกธงแดง ส่วน “เหลียนจง” คือการเอาก้านไม้ไผ่ผูกธงขาว ให้สองคนถือข้างละอัน ตามปกติคนที่ยืนหัวแถวถือเหลียนจู๋ เหลียนจงนั้นจะเป็นลูกชายของผู้ตาย แต่ถ้าผู้ตายไม่มีลูกชายก็จะต้องเชิญผู้อื่นมาช่วยถือให้

หลายคนอาจกลัวที่จะช่วยทำหน้าที่นี้ แต่สำหรับเด็กที่โตมาในสุสานอย่างผมแล้ว การแบกเหลียนจู๋ถือเหลียนจงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนัก ก่อนอื่นเจ้าภาพงานศพก็ต้องห่ออั่งเปาให้เรา ค่าแรงก็ประมาณ 2 – 3 เหมา รับเงินแล้ว เจ้าภาพยังจัดหาชุดกระสอบไว้ทุกข์ให้กับเราอีก ในพิธีศพจะมีนักบวชนำสวด แล้วญาติ ๆ ในบ้านเจ้าภาพจะสวดตามทีละวรรค สวดมนต์เสร็จแล้วยังมีการแสดงกายกรรมอีกด้วย

การแสดงนี้ บางครั้งมีคนขี่ม้าเหล็กล้อเดี่ยว บางครั้งก็เป็นการโยนรับลูกบอลหลาย ๆ ลูกพร้อม ๆ กัน นักแสดงบางคนใช้จมูกเป่าเครื่องดนตรี บางคนเหยียบกระดานไม้ที่วางบนลูกกลม ๆ ลื่นไปลื่นมา การแสดงเหล่านี้นี้พอดูบ่อยเข้าก็ชักไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในบางตอนของการแสดง นักแสดงจะโยนขนมและลูกอมต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ที่มาดูการแสดงอยู่รอบ ๆ และที่ผมทนยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงก็เพื่อนาทีนี้ละ เป็นนาทีที่ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สุด ผมกับพี่สาวต่างก็หยิบได้ขนมบิสกิตคนละชิ้น พี่สาวกัดคำเล็ก ๆ คำหนึ่ง เธอหันมาส่งยิ้มหวานให้ผม ถามว่า

“อาจิ้น ของเธออร่อยไหม” ชิ้นที่พี่สาวหยิบได้นั้นเป็นขนมบิสกิตที่มีน้ำตาลกรวดสีชมพูโรยหน้า ส่วนของผมเป็นบิสกิตไส้เนย

“อืมม...อร่อย อร่อยมาก ๆ” ผมพูดพลางยัดขนมที่เหลืออีกครึ่งเข้าปาก พอเห็นพี่สาวกำลังกัดขนมทีละคำเล็ก ๆ ราวกับกลัวขนมจะหมดไป ผมก็ได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“งั้นพี่แบ่งให้เธอครึ่งนึงก็แล้วกัน” พี่คงมองออกว่าผมอยากกินอีก เธอบิบิสกิตให้ผม แต่บิสกิตนั้นกรอบร่วน มันจึงแตกง่าย พอเริ่มบิเท่านั้น เศษขนมปังก็ร่วงลงมา ผมรีบเอามือเข้าไปรองเศษขนมปังไว้ด้วยความเสียดาย จะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้หรอก แล้วเราสองพี่น้องก็มองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมา

รสหวาน ๆ ของขนมและลูกอมพวกนั้น ผมยังจำได้ไม่รู้ลืมมาตราบจนกระทั่งวันนี้

พองานศพสิ้นสุดลง โดยทั่วไปเจ้าภาพก็มักจะจัดโต๊ะกินเลี้ยง เพื่อเชิญญาติ ๆ และแขกที่มาร่วมงานรับประทานอาหารกัน ผมก็รอจนกว่าพวกเขาจะกินเสร็จ จากนั้นก็ขอ “ของเหลือ” ที่เทรวมกันมากิน แม้จะเป็นเพียงเศษอาหารที่มีทั้งรสเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็มมัน ทุกรสชาติผสมรวมกันก็ตาม แต่นี่คืออาหารมื้อที่ดีที่สุดในประวัติการเร่ร่อนขอทานของเราเลยทีเดียว ในบางครั้งถ้าเศษอาหารมีมากพอ เราก็อาจจะมีเหลือไว้กินถึงพรุ่งนี้ได้ ไม่ว่ามันจะเย็นจะเปรี้ยวแค่ไหน เราก็กินกันได้ไม่ตะขิดตะขวง หากต้องการมีชีวิตต่อไปก็ต้องมีกระเพาะอาหารที่ทนทานเช่นนี้แหละ

สิ่งที่เราต้องระวังที่สุดคือ บางครั้งที่เจ้าภาพเทเศษอาหารรวมกัน ก็อาจเอาก้างปลาเทลงไปด้วย และหากบังเอิญน้องเล็ก ๆ กำลังหิวโหยอยู่ พอเห็นอาหารก็กระโจนเข้ามาตั้งหน้าตั้งตากิน ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ผลของการไม่ระวังก็คือก้างปลาติดคอ เจ็บจนพวกเขาร้องไห้กันจ้าละหวั่น เราต้องช่วยกันทั้งตบหลังทั้งล้วงคอ กว่าจะเอาก้างปลาออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ข้อดีของการร่วมงานศพยังไม่จบเท่านี้ ทั้งชุดเสื้อขาวกางเกงขาวที่เราสวมอยู่นั้น พอถอดออก เจ้าภาพก็ให้เอากลับบ้านได้ เอาเถอะ ถึงจะเป็นชุดไว้ทุกข์ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรใส่เลยไม่ใช่หรือ และโดยทั่วไปเมื่อฝังศพผู้ตายแล้ว เจ้าภาพก็จะเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้ของผู้ตายไปเผาหรือทิ้ง ผมเห็นแล้วก็แสนจะเสียดาย จึงรี่ไปขอเสื้อผ้าเหล่านั้น โดยไม่เลือกสีหรือขนาด (แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับเด็กอย่างเราแล้ว เสื้อผ้าเหล่านั้นใหญ่กว่ามาก) เอาแค่ให้ความอบอุ่นได้ก็พอแล้ว ถ้าเสื้อตัวใหญ่เกินไป เราก็พับแขนขึ้นหลาย ๆ ทบ แต่ถ้าขากางเกงยาวเกินไป ก็ได้แต่ปล่อยมันลากพื้นไปอย่างนั้น บางมีมันก็พันแข้งพันขาจนสะดุดล้มไปก็มี

สิบปีมานี้ ทุกคนในบ้านเราได้ใส่แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ ไม่เคยแบ่งว่าตัวไหนเป็นของใคร ใครหยิบได้ตัวไหนก็ใส่ตัวนั้น แล้วก็ยังมีเรื่องที่แสนจะน่าอายอยู่อีกเรื่องคือ เสื้อผ้าของผู้ตายที่เขาทิ้งเป็นชุดชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีชุดชั้นใน ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่เราเร่ร่อน ผมจึงไม่เคยใส่กางเกงในเลย!

ในช่วงที่ผมได้รับจ้างถือเหลียนจงเหลียนจู๋นั้น ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมในพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งพิธีปิดฝาโลง พิธีเซ่นไหว้ ตลอดจนพิธีการฝังศพด้วย ผมได้เห็นภาพการลาจากกันทีละฉาก ๆ
โดยเฉพาะตอนตอกฝาโลง หรือตอนขุดดินเพื่อฝังศพนั้น นับเป็นฉากที่เศร้าอาดูรที่สุด เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าจะไม่ได้เจอผู้ตายอีกตลอดไป ญาติพี่น้องของผู้ตายก็จะยิ่งร่ำไห้คร่ำครวญหนักยิ่งขึ้น
บางคนถึงกับกระโดดลงไปกอดโลงไว้ ไม่ให้เอาดินกลบโลงก็มี หรือที่ร้องไห้จนเป็นลมล้มพับไปก็
หลายคน พอเห็นความรักความอาลัยอย่างสุดซึ้งนี้แล้ว แม้คนนอกอย่างผมก็ยังอดร้องไห้ตามไปด้วยไม่ได้

เมื่อมาคิด ๆ ดู แม้พ่อกับแม่ผมจะเป็นคนพิการทั้งคู่ แต่อย่างไรท่านก็ยังอยู่เคียงข้างผม เทียบกับพวกเขาที่ต้องเสียญาติมิตรไป ผมยังโชคดีกว่ามาก ผมบอกกับตัวเองว่า การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้นควรจะทำให้ทันเวลา และควรจะทะนุถนอมสิ่งที่มีในตอนนี้ให้ดีที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาตราบจนกระทั่งวันนี้ ผมไม่เคยโกรธหรือคิดที่จะกล่าวโทษพ่อแม่เลย อาจเป็นเพราะผมได้ข้อคิดนี้ตั้งแต่อายุสี่ขวบก็เป็นได้

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 6
แม่หายไปไหน

เช้าวันหนึ่งเมื่อผมและพี่สาวจูงมือกันเดินกลับจากออกไปขอทาน ตอนนั้นเกือบ ๆ สิบโมง ทันทีที่พ่อได้ยินเสียงเรากลับมาก็รีบหยิบไม้เท้าเดินออกมาหา สีหน้าพ่อดูซีดเผือด บอกกับเราว่า “เร็วเข้า! แม่กับอาไฉหายไปไหนก็ไม่รู้”

พอผมหันกลับมาดูก็พบว่าใต้ต้นไม้นั้นเหลือเพียงแต่เชือกและโซ่เปล่า ๆ ไม่มีแม้เงาของแม่กับน้องชาย ผมกับพี่สาวรีบวิ่งออกมาข้างนอก แล้วแยกย้ายกันออกไปตามหาแม่กับน้องชายคนโต เราต่างก็เดินไปตะโกนไป “แม่-อาไฉ! อยู่ไหนกันน่ะ แม่!!!”

ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านก็ค้นหากันจนทั่วแล้ว แต่ยังไม่พบแม้แต่เงาของทั้งคู่ ทั้งหวั่นใจว่าพวกเขาจะหายตัวไป ทั้งกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น พี่สาวร้อนใจจนร้องไห้ออกมา กระนั้นขาทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมผ่อนแรงวิ่งตามหา เสียงเรียกหาปนเสียงสะอื้นสะท้อนทั่วทั้งหมู่บ้านที่แสนยากจนแห่งนี้ ฟังแล้วให้ความรู้สึกวังเวงยิ่งนัก ฟ้าก็ยังไม่วายให้ฝนตกมาเวลานี้อีก เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกชุ่มทั้งน้ำฝนและเหงื่อ ใบหน้าสกปรกของเราโดนฝนชะล้าง ก็เลยดูมอมแมมเหมือนกับลูกแมวลายจรจัดยังไงยังงั้น

เมื่อตามหาจนทั่วหมู่บ้านแล้วยังไม่พบ เราจึงเริ่มออกตามหาด้านนอกหมู่บ้าน ตะโกนกู่ร้องจนเสียงแทบไปหมด แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของแม่กับน้องชายคนโตเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ต่างก็สติไม่สมประกอบ หากเดินออกไปไกลจริง ๆ กลัวว่าจะกลับมาไม่ได้ โธ่! สวรรค์ แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะนี่ ขณะที่ผมกำลังหวั่นใจอยู่นี่เอง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่ในพงหญ้า ผมรีบกระโจนเข้าไปหาทันที ฮ้า! ใช่แม่จริง ๆ ด้วย! ขอบคุณสวรรค์ แม่! ใช่แม่ผมจริง ๆ ด้วย! ผมตะโกนลั่นออกมาด้วยความยินดี ตอนนี้ผมถึงได้เห็นว่าแม่ตกลงไปในบ่อน้ำข้างคันนา

ดีนะที่โซ่ยังไม่หลุดออกจากข้อมือแม่ ผมก็ออกจะไร้เดียงสาไปหน่อยที่เข้าใจว่า แค่คว้าโซ่เหล็กได้ก็จะช่วยเอาตัวแม่ขึ้นมาได้ แต่ในความเป็นจริง แม่กลับไม่ได้ให้ความร่วมมือกับผมเลยสักนิด มีแต่จะใช้แรงดึงดันกับผมเท่านั้น ต่างก็ยื้อยันกันไปมา ตูม! ตัวผมหล่นลงไปในน้ำ แถมหล่นลงไปก็ไม่เบานักทำเอาผมเปียกโชกไปทั้งตัวเลยทีเดียว แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังออกแรงดึงแม่ขึ้นจากบ่อน้ำ ตอนนี้แม่เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว จึงต่อต้านผมสุดแรง แล้วก็ผลักผมลงไปในน้ำ ผมตะเกียกตะกายขึ้นมาใหม่อีก สองคนต่างก็ล้มลงไปในบ่อนั่นเอง ดีที่บ่อน้ำไม่ลึกนัก เราจึงไม่เป็นอะไรมาก แค่กินน้ำโสโครกไปหลายสิบอึก กับน้ำเข้าตาจนแสบจะลืมไม่ขึ้นเท่านันเอง

แม่ต้องเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนร้ายแน่นอน จึงไม่ยอมกลับบ้านกับผม ผมจึงตะโกนบอกแม่ว่า “แม่! แม่ครับ! นี่อาจิ้นเองนะแม่ แม่มองผมสิครับ นี่อาจิ้นนะ!” แต่เสียงตะโกนก้องของลูกชายก็ไม่สามารถเรียกสติของแม่ให้กลับมาได้ แม่เพียงมองผมด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะตะโกนขัดขืนต่อ

ผมยืนอยู่กลางบ่อน้ำ ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วโผเข้ากอดแม่ไว้แน่น แม่จะต่อยจะทุบอย่างไร ผมก็ไม่หลบไม่ถอย ปากก็ตะโกนร้องไห้ “แม่...แม่...นี่ผมเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นะ! แม่ ผมเป็นลูกที่แม่คลอดออกมานะ แม่ผมอาจิ้นนะแม่” มีบางครั้งที่ผมรู้สึกแค้นใจเหลือเกิน ในโลกนี้จะมีแม่สักกี่คนกันนะที่จำลูกตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมคนคนนั้นถึงต้องเป็นแม่ผมด้วย

สักครู่ พี่สาวก็ตามมาพบเข้า เราสองคนช่วยกันทั้งปลอบทั้งขู่แม่อยู่นานกว่าจะพาแม่ขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ และกว่าจะลากแม่กลับมาถึงสุสาน “บ้าน” เราได้ ก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงกันเลยทีเดียว

พอกลับถึง “บ้าน” ผมกับพี่สาวก็หมดแรงล้มตัวลงกับพื้น หอบฮัก ๆ จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน ส่วนพ่อโมโหมาก คว้าไม้เท้าได้มือนึง มืออีกข้างก็ดึงโซ่ที่ข้อมือแม่ไว้ แล้วใช้ไม้เท้ากระหน่ำตีไม่ยั้งมือ แม่ที่น่าสงสารของผมเนื้อตัวเปียกชุ่ม ทรุดนั่งกองลงไปกับพื้น ได้แต่ร้องโอดโอย ผมกับพี่สาวตะโกนห้ามสุดเสียง “อย่าตีนะ อย่าตี” พ่อตีอย่างนี้เดี๋ยวแม่ก็ตายหรอก!” แต่พ่อกำลังโมโหจัด ไหนเลยจะยอมฟังเสียง เราไม่รู้จะห้ามอย่างไร เลยต้องคลานเข้าไปกอดแม่ไว้ คอยเอาตัวเองบังรับไม้เท้าของพ่อแทน จนพ่อรู้สึกตัวว่าที่ตีอยู่น่ะคือเราสองพี่น้อง ท่านก็ทั้งโกรธทั้งโมโหจนปาไม้เท้าทิ้ง แล้วพ่อก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา

ในที่สุดเราก็กอดคอร้องไห้กันทั้งบ้าน

จนพ่อหายโมโห เราจึงนึกขึ้นได้ว่าน้องชายคนโตก็ยังไม่กลับบ้าน โธ่! ถึงจะตามหาแม่เจอแล้ว แต่อาไฉล่ะ น้องไม่ได้อยู่ด้วยกันกับแม่นี่ แล้วน้องไปไหนเสียล่ะ

พอนึกได้ ผมกับพี่สาวก็รีบออกตามหาอาไฉทันที ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมได้แต่ภาวนาในใจให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้อาไฉปลอดภัย ถ้าคืนนี้หาน้องไม่พบ หากไม่เกิดอุบัติเหตุ น้องก็อาจจะเดินไกลออกไปเรื่อยและอาจจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลยก็ได้ เมื่อคิดดังนี้ ผมกับพี่สาวก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก ขณะที่วิ่ง ในใจของเด็กหกขวบอย่างผมก็อดเตือนตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้ ผมกลัวว่าเสียงร้องไห้ของผมจะไปปลุกคนตายที่อยู่ในหลุมให้ตื่นขึ้น แล้วพวกเขาก็อาจจะพากันลุกขึ้นมาจากหลุมทีละศพ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบตัดใจวิ่งไปข้างหน้า ไม่กล้าหันกลับมามองข้างหลังอีกเลย

เราสองพี่น้องเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ เราช่วยกันตามหาน้องจนทั่วหมู่บ้านอีกครั้ง แต่หมู่บ้านในยามค่ำคืนนั้นไม่มีแม้กระทั่งเงาของคน มีแต่เสียงหมาเสียงแมวเห่าหอนโต้ตอบกันไม่หยุดหย่อน และอาไฉก็ดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปกับความมืดด้วย เราต่างก็อ่อนล้ากันมาทั้งวันแล้ว แม้แต่คำว่าเหนื่อยก็ยังพูดไม่ออก บังเอิญมองไปเห็นข้างหน้ามีศาลเจ้าเล็ก ๆ ศาลหนึ่ง จึงพากันเดินเข้าไป พี่สาวบอกว่าเข้าไปไหว้เจ้าเสียหน่อย เผื่อท่านจะช่วยดลให้เราหาน้องชายได้พบ

เราจึงเดินเข้าไปในศาลเจ้าด้วยกัน ขณะที่คุกเข่าลงกำลังจะคำนับ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากใต้โต๊ะเซ่นไหว้ เป็นเสียงเหมือนคนพึมพำอยู่ ผมจึงลอกเลิกผ้าคลุมโต๊ะเปิดดู อ๋า! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้อาไฉก็มาหลบอยู่ใต้โต๊ะเซ่นไหว้นี่เอง เขามองหน้าเราอย่างใสซื่อ น้องผมสติไม่สมประกอบ เขาคงไม่มีวันรู้หรอกว่าวันนี้ผมกับพี่สาวต้องเสียน้ำตาด้วยความกังวลห่วงใยในตัวเขาไปมากมายเพียงไร

ในที่สุดครอบครัวของเราก็กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกคนล้วนหิวโซมาแล้วทั้งวัน ยังดีที่เมื่อเช้าเรายังพอขอข้าวมาได้บ้าง ให้พวกเขากินกันไปเถอะ ส่วนผมกับพี่สาวไปที่ริมบ่อน้ำ นั่งยอง ๆ เอามือวักน้ำใส่ปาก กินทีละอึกใหญ่ ๆ เติมกระเพาะที่หิวโหยให้เต็มไปพลาง ๆ ก่อน และแม้ว่ามันจะเป็นน้ำขม ๆ ผมก็ยอมกินอย่างเต็มใจ

ผมอธิษฐานต่อฟ้าดินว่า ขอเพียงให้ครอบครัวเราปลอดภัยกันทุกคน ต่อให้อาจิ้นกับพี่สาวต้องกินน้ำในท่อประทังชีวิต หรือแม้จะต้องขื่นขมสักเพียงไรก็ให้เรารับภาระนี้เองเถิด

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 7
ตาบอดออกลาย

ครอบครัวเราพากันเดินขึ้นไปทางเหนือ จนมาถึงหมู่บ้านจัวหลาน ในเขตเหมียวลี่

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่าที่หมู่บ้านจัวหลานมีชาวจีนแคะอาศัยอยู่มาก มักจะจัดงานวัดกันอยู่บ่อย ๆ คำว่า “งานวัด” สำหรับพวกเรา “ชาวพรรคกระยาจก” แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีราวกับหล่นมาจากสวรรค์เลยทีเดียว เพราะที่ไหนมีงานบุญที่นั่นก็ต้องมี “ของเหลือ” แน่ ๆ เพียงนึกถึงรสชาติอันแสนอร่อยของ “ของเหลือ” ก็ทำให้พวกเรามีแรงเร่งฝีเท้าให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้นอีกมากโข

แต่น้องเล็ก ๆ บางคนก็ทนกับการเดินทางเป็นระยะไกลเช่นนี้ไม่ไหว แม้ว่าจะกลัวแสนกลัวไม้เท้าของพ่อจนไม่กล้าหยุดเดิน แต่บางครั้งมันก็เหนื่อยจริง ๆ เดินอยู่ดี ๆ เกิดหลับไปก็มี และบังเอิญว่าทางที่เราเดินมักจะเป็นทางลัดคดเคี้ยวตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ถ้าไม่ระวังก็อาจสะดุดก้อนหินหกล้มลงได้ ตุ้บ! น้องชายคนเล็กหกล้มหน้าทิ่มลงไปกับพื้น แล้วก็มีเสียงร้องโฮลั่นของแกดังตามมา

เราไม่มีเวลาแม้แต่จะปลอบให้น้องหยุดร้องไห้ เพราะพ่อแสดงท่าทีให้เห็นว่าอย่างไรเราก็ต้องเดินต่อไป จะมีก็แต่พี่สาวเท่านั้นที่พยุงแกเดินต่อ พลางปลอบแกเบา ๆ ส่วนผมนั้น ข้างหนึ่งต้องคอยจูงพ่อ อีกข้างหนึ่งก็ต้องคอยพะวงว่าจะมีใครเผลอหลับล้มลงไปอีกไหม เลยต้องเดินพลางกวาดตาไปหน้าทีหลังที พอเห็นน้องชายคนโตเดินไปสัปหงกไป ก็ต้องรีบตะโกนเรียกเขา “อาไฉ! ตื่น ตื่น!” สักครู่น้องสาวคนเล็กหัวเริ่มเอียงเหมือนจะล้มลงไปอีก ผมรีบใช้มือข้างที่ว่างเปล่าตบหน้าน้องให้รู้สึกตัวตื่นกันที

การเดินทางเป็นไปอย่างรีบเร่งเช่นนี้ เพื่อไปหาความอบอุ่นและความอิ่มท้อง แม้การพักผ่อนสักเล็กน้อยก็ยังดูเหมือนความสบายที่มากเกินไป

ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงพี่สาวตะโกนขึ้นว่า “ว้า! อาไฉขี้แตกแล้ว” พ่อชะงักฝีเท้าทันที ผมหันกลับไปมอง แล้วก็เห็น “ก้อนทองคำ” กำลังหล่นลงมาจากกางเกงเก่าขาดปุปะของน้องชายคนโตจริง ๆ กลิ่นเหม็นสุดทนก็ตลบอบอวบตามออกมาทันที ทุกคนยกมือขึ้นอุดจมูกไว้ มีแต่น้องชายคนโตสติทึบเท่านั้นที่ยังยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนแม่นั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เอาแต่หัวร่องอหายใช้มือข้างหนึ่งจับกางเกงตัวเองแน่น แม่หัวเราะเสียท้องคัดท้องแข็งเลยทีเดียว แล้วสายตาอันแหลมคมของพี่สาวก็เหลือบไปเห็นเข้า เธอร้องออกมาว่า “อ้าว! แม่นะแม่! ทำไมถึงฉี่ราดใส่กางเกงอย่างนั้นล่ะ”

พี่สาวยังอุทานได้ไม่ทันจบประโยคดี ไม้เท้าของพ่อก็ลอยมาถึงเสียแล้ว หวดแรกเข้าที่น้องชายคนโต แล้วหักโค้งกำลังจะลอยมาทางแม่บ้าง ผมลืมสิ้นไปหมดทุกอย่าง รีบกระโดดเข้าไปขวางหน้าพ่อไว้ กางแขนออกกันไม้เท้าของพ่อ ปากก็ร้องบอกว่า “พ่อ! อย่าตีเลย อย่าตีอีกเลยนะพ่อ แม่กับอาไฉไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วผมจะช่วยทำความสะอาดให้พวกเขาเองนะพ่อ อย่าตีพวกเขาอีกเลย ตีอย่างนี้เดี๋ยวพวกเขาก็ตายหรอก”

ขณะที่ผมพูดนั้น ไม้เท้าก็ยังคงกระหน่ำลงมาที่ตัวผมอยู่ไม่ยั้ง เจ็บเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เสียงตะโกนขอร้องก็อู้อี้แทบไม่เป็นเสียงคน แต่พ่อกำลังโกรธเหมือนจะคลั่ง รัวตีไม่หยุดและไม่ยอมฟังเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

พี่สาวกับน้อง ๆ ต่างก็ตกใจกระโดดเข้ามากอดกันกลมดิก ทุกคนลืมนึกถึงเรื่องความสกปรกทุกอย่างไปเสียสิ้น

ส่วนผมร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไง ได้แต่นั่งลงคุกเข่ากับพื้น ก้มหน้ารับไม้ของพ่อแต่โดยดี พ่อตีจนตัวเองเหนื่อยจึงยอมโยนไม้เท้าทิ้งไป แล้วทรุดตัวนั่งลงหอบกับพื้น แต่ผมก็ยังไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด

รอสักครู่ เมื่อเห็นว่าพ่อเริ่มหายโมโหแล้ว ผมจึงค่อย ๆ ขยับไปหาพี่สาว พาแม่กับน้องชายไปล้างตัวทำความสะอาดที่แม่น้ำใกล้ ๆ บริเวณนั้น ขาทั้งคู่ของผมถูกตีจนบวมและชาไปหมด เวลาเดินเหมือนเหยียบบนพื้นผิวที่เอียงลาด รู้สึกตัวลอย ๆ ไม่เหมือนเหยียบพื้นจริง ๆ ส่วนมือทั้งสองข้าง แม้ขยับแค่นิดเดียวก็เจ็บร้าวไปถึงกระดูก แต่ผมไม่มีมือเหลืออีก และก็ไม่มีเวลาที่จะนวดด้วย ผมต้องเร่งมือหน่อย ต้องรีบเช็ดล้างทำความสะอาดน้องชายคนโตให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่พ่อจะเริ่มโมโหขึ้นมาอีก ผมต้องเร่งอีกหน่อย ผมทำเหมือนสะกดจิตว่า “ไม่เจ็บนะ ไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว อาจิ้นเจ็บไม่เป็นจริง ๆ นะ” ผมเชื่อว่าถ้าบอกกับตัวเองอย่างนี้แล้วจะได้ไม่เจ็บ แต่น้ำตาเจ้ากรรมไม่ยอมฟังเสียงยังคงไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

ต้องลำบากลำบนกันเสียขนาดนี้กว่าจะมาถึงเมืองจัวหลานได้ ก่อนอื่นเราต้องหาที่ที่เราจะยึดเอาเป็นบ้านให้ได้ก่อน แล้วผมกับพี่สาวจึงจะถือขันบิ่น ๆ ออกไปขอทานอย่างหมดกังวลได้ พวกเราจนถึงขนาดขันที่ใช้ขอทานก็มีเพียงใบเดียวเท่านั้น เราต้องเดินไปกลับอยู่หลายรอบทีเดียวกว่าจะหาอาหารมาได้มากพอสำหรับทุกคน แต่พอนึกถึงเศษอาหารเหลือ ๆ เนื้อปลาติดก้าง กับเสียงท้องร้องของทุกคนในครอบครัวแล้ว ก็ทำให้เรามีพลังจูงมือกันวิ่งไป ๆ กลับ ๆ ขอทานในงานวัดรอบแล้วรอบเล่า

ขณะที่เรากำลังจะวนเวียนเข้าไปขออาหารรอบที่สาม บังเอิญได้พบกับชายจรจัดคนหนึ่งที่กำลังเข้ามาขอทานในบ้านที่เรากำลังจะขอเหมือนกัน เมื่อเรากำลังจะเคาะประตูบ้าน ชายจรจัดคนนั้นก็หันมาจ้องหน้าเรา ผมกำลังจะหดมือแต่เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า ที่จริงเราก็คือเพื่อนร่วมอาชีพนี่นา เขาไม่ควรจะเอาเปรียบผมอย่างนี้ ผมไม่สนใจว่าหน้าตาเขาจะดูดุร้ายสักเพียงใด ผมสบตาเขา และรวบรวมความกล้ายกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้ง คราวนี้เขาปัดมือผมออกพูดขึ้นว่า “ออกไป แกสองคนนี่ไม่รู้จักดูเลยนะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้ว” พี่และผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจอยู่นานประมาณ 5 วินาที เขาถ่มน้ำลายแล้วเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตีเรา ปากก็ขู่ไปด้วยว่า “มองหาสวรรค์วิมานอะไร เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวพ่อก็ควักลูกตาออกมาซะหรอก” เขาทำท่าดุมากเหมือนกับจะกินเราเข้าไปในท้องอย่างนั้นแหละ เราสองพี่น้องเห็นแล้วก็ตกใจกลัวกันลนลาน พี่สาวรีบลากมือผมหนีออกมา

“ทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย ก็เราไปถึงก่อนชัด ๆ” ผมพูดอย่างไม่ยอมแพ้

“อาจิ้น ช่างมันเถอะ อย่าหาเรื่องเลยน่า” พี่สาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“ระวังให้ดีเหอะ! คอยดูนะ เดี๋ยวผมจะไปชกหน้ามัน” ผมยังดื้อดึง

“อาจิ้น!”

พี่สาวทำเสียงดุให้ผมเงียบ แต่ใจผมกลับคิดว่าเราก็เป็นขอทานเหมือน ๆ กัน แล้วทำไมต้องมารังแกกันอย่างนี้ด้วยเล่า ผมโกรธมาก เดินไปก็เตะหินตามข้างถนนแรง ๆ เพื่อระบายอารมณ์ไปตลอดทาง

พวกเราลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ เดินไปแถวโรงงิ้วเผื่อว่าจะโชคดีขึ้นมาบ้าง

ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นงานวัดที่ไหนคึกคักเท่าที่นี่มาก่อนเลย บนเวทีงิ้วมีนางเอกกำลังร้องห่มร้องไห้พร่ำรำพันถึงพระเอกใจดำ ชุดที่ใส่ก็สวยสดงดงาม ชายแขนเสื้อสะบัดไปมาน่าดูนัก แต่นี่ยังไม่สำคัญเท่าไร ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ แผงต่าง ๆ ที่ขายของอยู่หน้างานนั้น มีขายทั้งผลไม้เชื่อมเสียบไม้ ขนมสำลี ตุ๊กตาปั้นน้ำตาล มีของน่ากินต่าง ๆ แทบทุกชนิด แล้วก็ยังมีแผงยิงปืน ยิงลูกโป่ง ปาเป้าเอารางวัลอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแผงขายผลไม้ ที่แผงนี้เขาจัดเรียงแตงโมที่ผ่าเป็นซีก ๆ ไว้ขายด้วย เนื้อแตงโมนั้นสีแดงฉ่ำดูน่ากินชะมัด

ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

ชาวบ้านต่างหอบลูกจูงหลานมาเที่ยวงาน และแน่นอนว่าผู้ปกครองก็จะต้องซื้อของกินของเล่นให้กับเด็ก ๆ ด้วย แต่ผมกับพี่สาวไม่มีเงิน จึงได้แต่ยืนตาปริบ ๆ มองดูเด็ก ๆ คนอื่นทั้งเล่นทั้งกินกันอย่างเพลิดเพลิน

มีเด็กหญิงผมเปียคนหนึ่งถือขนมสำลีคำเบ้อเริ่มเข้าไปในปากเรียบร้อยแล้ว ผมเผลอแลบลิ้นออกมาเลียตามเธอบ้างโดยไม่รู้สึกตัว เหมือนกับตัวเองก็กำลังกินขนมสำลีอยู่เช่นเดียวกัน

ยังมีเด็กชายอีกคนหนึ่งใช้มือทั้งสองประคองแตงโมที่รูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยวอยู่ แล้วก็เริ่มดูดจั๊บ ๆ จากด้ายซ้ายไปด้านขวา หยุดนิดหนึ่งแล้วก็เริ่มใหม่จากด้านขวาไปด้านซ้าย น้ำหวานจากแตงโมที่แสนชุ่มฉ่ำเลอะปากของเขาแล้วค่อย ๆ ไหลเป็นทางยาวย้อยตามแขนลงสู่พื้นเป็นหยด ๆ ผมสูดปากตัวเองเต็มที่ รู้สึกเสียดายน้ำแตงโมที่ไหลหยดติ๋ง ๆ ลงพื้นนั้นเหลือเกิน

ไม่นาน เด็กชายก็กินแตงโมเสร็จ เห็นแม่ทำท่าว่าจะไปแล้ว จึงโยนเปลือกแตงโมทิ้งที่พื้นแล้วรีบวิ่งตามแม่ไป ผมกับพี่สาวสบตากันราวกับรู้ใจ เราสองคนค่อย ๆ เขยิบตัวไปช้า ๆ จนถึงเปลือกแตงโม เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเรา ผมก็แอบเตะเปลือกแตงโมชิ้นนั้น เตะครั้งเดียวไม่แม่น ต้องเตะอีก 2 – 3 หนจนเปลือกแตงโมเข้ามาอยู่ในมุมได้ แล้วเราสองคนก็รีบวิ่งซุกเข้าไปในมุมนั้นทันที เรานั่งยอง ๆ ลงกับพื้นอย่างรีบร้อน แล้วหยิบเปลือกแตงโมขึ้นมา พี่สาวกัดก่อนเป็นคำแรก เธอยิ้มแล้วยื่นส่งให้ผมบ้าง ผมกัดเปลือกแตงโมแรง ๆ หนึ่งคำ อืม! หวาน หวาน หวานจังเลย อร่อยจัง! ผมกับพี่สาวไม่เคยกินแตงโมมาก่อนเลย รสชาติของมันช่างหอมหวาน อร่อยน่าประทับใจเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่มีเนื้อสีแดง ๆ ของแตงโมเหลืออยู่แล้ว แต่เราก็ยังผลัดกันกิน ผลัดกันดูดน้ำแตงโมกันคนละคำ

ขณะกำลังดื่มด่ำกับการกินแตงโมอยู่นั้น ก็มีเท้าโต ๆ คู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรา ผมกับพี่สาวแหงนหน้าขึ้นมองพร้อมกัน ขอทานหนุ่มที่เพิ่งเจอเมื่อกี้นี้นั่นเอง

เขาลดเสียงลงต่ำพูดกับเรา “พ่อของพวกแกคือไอ้บอดนั่นใช่ไหม ระวังตัวกันไว้ให้ดีเหอะ อย่ามัวแต่เอาตาไปเก็บไว้ที่ตูด จะมาหากินแถวนี้ ทำไมไม่รู้จักสืบให้ดีเสียก่อนวะ...” แล้วก็ตามมาด้วยคำหยาบคายอีกเป็นชุด ๆ ผมกับพี่สาวตกใจ งงจนอ้าปากค้าง เป็นเวลานานกว่าพี่สาวจะได้สติโยนเปลือกแตงโมในมือทิ้งไป แล้วรีบแย้งขึ้นว่า

“คุณน้าคะ! ขอโทษค่ะ พวกเรายังเด็กอยู่ โปรดเมตตาปรานีให้อภัยพวกเราด้วยเถอะนะคะ” ขอทานหนุ่มไม่ได้สนใจสักนิด แถมยังตะคอกอีก “ยังจะพูดมากอีก!” แล้วก็ฟาดฝ่ามือลงที่หน้าพี่สาวเข้าเต็ม ๆ คนที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้นเริ่มหันมามองกัน อาซิ้มคนหนึ่งตะโกนโวยวายขึ้น ผมกำลังงงอยู่ว่า ผมควรจะทำอย่างไรต่อไป พอดีได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อผม

“อาจิ้น!” เสียงของพ่อผมนั่นเอง

พ่อแกว่งไม้เท้าตรงเข้ามาแล้วฟาดลงที่ตัวขอทานหนุ่มนั่นเข้าพอดี ผมรีบช่วยเหลือพ่อด้วยการกระโดดเข้าไปกอดขาขอทานหนุ่มคนนั้นเอาไว้ ผมออกแรงรัดขาแกเอาไว้ให้แน่นที่สุด แม้ว่าพ่อจะตาบอด แต่ท่านเป็นคนรวดเร็วและความรู้สึกไว จึงกระโดดโถมตัวลงมาได้อย่างแม่นยำ สองคนตีกันนัวเนียเสียแยกไม่ออก แต่ด้วยความหลักแหลมกว่า พ่อจึงลงมือจัดการกับจุดยุทธศาสตร์สำคัญของศัตรูก่อนทันที ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงเสียจนน่าเวทนา แล้วผมกับพี่สาวก็ช่วยกันกัดตามแขนขาของคู่ต่อสู้ ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ผมก็ถูกทุบตีเข้าเสียหลายหมัดทีเดียว เจ็บจนร้องไห้ออกมา ได้แต่ร้องว่า “ตีคนตายแล้ว! ตีคนตายแล้ว!”

โชคดีที่งานวัดคนเยอะ จึงมีคนเข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน แต่กว่าจะจับพ่อกับขอทานหนุ่มนั่นแยกออกจากกันได้ก็ไม่ง่ายเลย ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ รุมประฌามขอทานหนุ่มว่า “มือก็ดี ตีนก็ดี ยังจะมีหน้ามารังแกเด็กกับคนตาบอดอีก แย่จริงเชียว!” ขอทานหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรอีก นอกจากรีบวิ่งกะโผลกกะเผลกลากขาที่ได้รับบาดเจ็บหนีออกไป

ส่วนพ่อที่นั่งหอบอยู่กับพื้นคงจะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย พ่อใช้มือข้างหนึ่งกดท้องไว้ ผมกับพี่สาวโผเข้าไปกอดพ่อไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้กันใหญ่ ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงนางเอกงิ้วที่ยังคงพร่ำรำพันไม่รู้จบอยู่บนเวที

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 8
ขอทานกำมะลอ

จากเหตุชกต่อยที่งานวัด ทำให้ร่างกายพ่อช้ำในไม่น้อย ไม่เพียงเดินเหินลำบาก แม้จะกลืนอาหารก็ยังดูเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อพ่อนึกถึงความทุลักทุเลของพวกเราที่กว่าจะย้ายกันมาถึงที่นี่ได้ พ่อก็ไม่ยอมเสียเวลาหยุดพักผ่อน ดึงดันที่จะออกไปขอทานให้ได้ ไม่ว่าเราจะอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม

พ่อเริ่มต้นด้วยการแบ่งงานกันก่อน เนื่องจากที่งานวัดมีคนมาไหว้พระกันไม่ขาดสาย และผู้คนเหล่านี้ก็มักจะเต็มใจและพร้อมจะทำบุญทำทานอยู่แล้ว พ่อจึงให้ผมจูงมือท่านไปที่หน้าวัดก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเลือกหาทำเลที่นั่งให้ดี จากนั้นพ่อก็จะนั่งขอทานอยู่ที่นั่นคนเดียว ให้พี่สาวอยู่บ้านคอยดูแลทุกคน ส่วนผมก็ให้ไปเดินขอทานตามบ้าน

เมื่อตกลงกันได้อย่างนี้แล้ว ผมจึงจูงมือพาพ่อออกไปจากบ้านก่อน ในช่วงปี 1960 ตามบ้านนอกยังไม่มีรถยนต์หรือรถเครื่องใช้ จะมีก็แต่เกวียนวัวลากที่ใช้ขนข้าวหรือบรรทุกอ้อยเท่านั้น ในสมัยนั้นจึงมีแต่ถนนโรยกรวด ไม่มีถนนลาดยาง เวลาผมจูงพ่อเดินไปจึงต้องระมัดระวังแทบทุกฝีก้าว พอมาถึงใกล้ ๆ บริเวณงานก็เริ่มมองเห็นหลังคาเต็นท์ที่กางไว้ มันชวนให้คิดถึงบรรยากาศอันแสนคึกคักของงานในคืนเมื่อวาน ผมแทบจะซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ พอพ้นประตูวัด ผมก็พยายามยืดคอออกไปมองข้างนอกไกล ๆ โน้น คิดถึงความหวานหอมของแตงโม ขนมสำลี แล้วใจเริ่มลอยละล่องไปไกล แล้วทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงพ่อร้องดัง “โอ๊ย!”

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมมัวแต่คิดเพลินจนลืมช่วยดูให้พ่อว่าข้างหน้ามีขื่อประตูอยู่ แต่เพราะพ่อก็ตัวสูงกว่าผมที่เพิ่งจะหกขวบเท่านั้น ตัวก็เล็กนิดเดียวระดับสายตาก็ต่ำ บวกกับมัวแต่ใจลอยด้วย หัวพ่อก็เลยชนเปรี้ยงเข้ากับขื่อประตูพอดี

ผมตกใจจนตัวแข็งเป็นหิน เห็นพ่อใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก มืออีกข้างกดท้องที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้ ผมทายไว้ได้เลยว่าตัวเองต้องโดนฟาดแน่ ความจริงงานจูงพ่อเดิน ใครว่าเป็นเรื่องกล้วย ๆ คนหนึ่งตัวสูงอีกคนหนึ่งตัวเตี้ย คนหนึ่งเด็กอีกคนหนึ่งแก่ ระดับสายตาก็ต่างกัน จังหวะการก้าวเท้าก็ไม่เท่ากัน คนหนึ่งก้าวยาวอีกคนหนึ่งก้าวสั้น เดินไปด้วยกันทีไร ถ้าไม่ใช่ผมสะดุดก็ต้องเป็นพ่อหกล้มอยู่ทุกครั้งไป เดี๋ยวก็เหยียบขี้ควาย เดี๋ยวก็เหยียบโดนหมากฝรั่งเข้า พอพ่อโมโหก็มักจะระบายอารมณ์ใส่ผม

ขณะที่ผมกำลังหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา จู่ ๆ ผมก็ยื่นมือมา “ตายแน่ ตายแน่!” แต่พ่อเพียงแต่วางมือไว้บนบ่าผม แล้วพูดเบา ๆ ว่า “แกก็ตาบอดเหมือนกันเรอะ เอ้า! ทำไมยังไม่เดินอีก”

คนเรานี่ก็แปลกดีนะครับ ตอนที่ถูกตีก็อยากจะร้องไห้ ตอนนี้ไม่ถูกตีแต่กลับรู้สึกว่าขอบตาร้อนเหมือนน้ำตาจะไหล

เพราะมีงานวัด จึงทำให้เกิดขบวนการกลุ่มขอทานรวมตัวกันขึ้น ผมสังเกตดูตลอดทาง มีคนแกล้งทำเป็นแขนขาดขาขาด บางคนเอาผ้าดำโพกหัวไว้ปลอมตัวเป็นยายเฒ่าแก่ ๆ บางคนนั่งร้องห่มร้องไห้รำพันชีวิตอันน่าสังเวชของตนเอง ใช้สารพัดมารยาหลอกล่อ ถึงขนาดจะฆ่าตัวตายก็ยังมี บางคนยอมลงทุนโกนหัว สวมจีวร มือข้างหนึ่งถือลูกประคำ อีกข้างหนึ่งอุ้มบาตรปากก็พึมพำ “อามิตตาพุทธ! อามิตตาพุทธ!”

จะมีก็แต่ “พวกเดียวกัน” อย่างเราเท่านั้นที่พอจะดูออก ขอทานตัวปลอมพวกนี้ กลางวันจะเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับเรา แต่พอตกค่ำจะใส่วิกแต่งตัวด้วยชุดสากลโก้หรู เข้าพักโรงแรมมีระดับ กินเหล้าชั้นเยี่ยม

แล้วผมก็พาพ่อเดินมาถึงข้าง ๆ กระถางธูปทองด้านหน้าวัดได้จริง ๆ ตอนนี้บรรดาขอทานทั้งหลายนั่งเรียงกันเป็นแถว บางคนทั้ง ๆ ที่แขนขาแข็งแรงดี ตาก็มองเห็น ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะมาขอทานทำไมกัน หากคนที่ไหว้พระออกมาจากวัดมีเศษสตางค์ในกระเป๋าเยอะ ก็อาจจะได้ทานกันทุกคน คนละนิดหน่อย แต่ถ้ามีเศษสตางค์น้อย นั่นก็ต้องแล้วแต่อารมณ์เขาว่าอยากจะให้ใคร

พอผมช่วยหาที่นั่งให้พ่อได้แล้ว พ่อก็เร่งให้ผมออกไปขอข้าวทันที

ทุกครั้งที่ไปเคาะประตูตามบ้านแต่ละหลัง ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีบ้านที่ยอมเปิดประตูออกมา แต่จู่ ๆ ไม่รู้ว่าขอทานขาเป๋มาจากไหน รี่เข้ามาสวมรอยเหมือนว่ามาด้วยกันกับผม เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องด้วย ก็เอาข้าวที่เหลือส่งให้กับขอทานขาเป๋คนนั้นไปหมดเลย ที่ร้ายกว่านั้นคือ พอได้ข้าวไปแล้ว ไอ้เป๋นั้นก็วิ่งลิ่วจากไปทันที ความจริงแล้วชายคนนั้นไม่ได้ขาพิการสักหน่อย เขาแกล้งทำต่างหาก แล้วก็มีบางคนที่แกล้งทำเป็นใบ้ ทำมือไม้ออกท่าทางเพื่อขอข้าวกับเจ้าของบ้าน พอเจ้าของบ้านหมุนตัวกลับเท่านั้นแหละ ไอ้ใบ้คงจะไม่พอใจที่เจ้าของบ้านให้อาหารที่ไม่ดีพอหรือไม่มากพอ เลยตะโกนด่าออกมาว่า “เ_ด” เล่นเอาผมตกอกตกใจเสียแทบแย่

ขอทานกำมะลอมีมากจริง ๆ บางครั้งเถ้าแก่เนี้ยเปิดประตูออกมาเห็นผมเข้าก็รีบโบกมือไล่ผมอย่างรังเกียจ บอกว่า “ให้ไปแล้ว! ให้ไปแล้ว! ก็เพิ่งจะให้เพื่อนแกไปอยู่หยก ๆ บ้านนี้ไม่มีอะไรจะให้พวกแกแล้ว” เป็นอย่างนี้อยู่นาน ขันใบเล็กในมือผมยังว่างเปล่าอยู่เลย ขณะที่กำลังคิดจะเปลี่ยนไปขอทานที่ซอยอื่น จู่ ๆ ผมก็รู้สึกเวียนหัวและปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง เสียงท้องร้องดังจ๊อก ๆ อยู่ตลอดเวลา โงนเงนจนแทบจะยืนไม่อยู่

ไม่ได้นะ! ผมจะพักไม่ได้เด็ดขาด วันนี้ผมยังขอทานอะไรไม่ได้เลย จะให้ทั้งบ้านอดเหมือนผมน่ะหรือ แต่ว่า...ผมปวดท้อง...ปวด...ปวดเหลือเกิน...จะทำยังไงดีล่ะ ผมลองเอามือกุมท้องไว้แล้วก็พบว่ามันช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ผมจึงยกมือทั้งสองข้างไขว้กันไว้ที่เอวแทนเข็มขัด แล้วออกแรงรัดให้แน่นเข้าเหมือนใช้เชือกรัดไว้ที่เอว รัดแน่นเสียจนตัวเองแทบจะหายใจไม่ออก ผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วอาจทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง จึงฝืนลุกขึ้นมาใหม่ แล้วอดทนเดินไปที่บ้านหลังถัดไป

ที่จริงการทนฝืนอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาสักเท่าไรนัก แถมยังทำให้ผมรู้สึกอยากเข้าส้วมอีกด้วย แต่มองไปมองมาแล้วดูท่าจะไม่มีทางให้ผมปลดทุกข์ได้เลย จึงจำเป็นต้องเข้าไปถ่ายที่ที่นาข้างทาง แต่ซวยจริง ๆ เลย! ดันมีชาวนาเดินผ่านเข้ามา ผมรีบหยิบก้อนหินที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาเช็ดก้นทันที แต่พอกำลังจะลุกไป ชาวนาก็ตวาดผมว่า “ไอ้เด็กเวร! แกจะหนีไปไหน จะขี้ก็ไม่รู้จักไปเข้าส้วม กลับมาเลย กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ผมสะดุ้งเฮือกตกใจแทบตาย ได้แต่คำนับขอโทษแล้วขอโทษอีก ชาวนาคนนั้นจ้องผม สั่งให้ผมหาวิธีการกับ “ทองคำ” ของผมให้จงได้

แล้วผมจะทำยังไงดีนี่ ก้มลงดูขันใบเล็ก เครื่องมือหากินในมือยังคงว่างเปล่าอยู่ คิดว่าสักครู่ก็จะต้องใช้ขันใบนี้หากินต่อไปอีก แต่ถ้าผมไม่ใช่ขันใบนี้ตัก “ทองคำ” ไปทิ้งแล้ว จะให้ผมใช้มือหยิบไปทิ้งหรืออย่างไร ในที่สุดผมจึงจำเป็นต้องทรยศกับทุกคน โดยเอาขันใบที่พวกเราใช้กินข้าวกันมาตัก “ทองคำ” กองนี้ไว้ชั่วคราวก่อน แล้วก็หันมาขอโทษชาวนาคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นออกมา เร็วเข้า ผมวิ่งเร็วจี๋ดิ่งมาที่แม่น้ำ แล้วรีบล้างเจ้าขันน้อยคู่ชีพให้สะอาดหมดจด แต่ยังไงผมก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นอุจจาระยังลอยตลบอบอวลอยู่ พอนึกถึงว่าขันใบนี้คือชามที่เราใช้กินอาหารกันอยู่ทุกวัน ช่างน่าขยะแขยงจริง ๆ ยิ่งนึกก็ยิ่งขัดแรงขึ้นอีกหลาย ๆ ครั้ง เฝ้าบอกตัวเองในใจว่า “เรื่องนี้ต้องไม่ให้พ่อรู้เด็ดขาด!”

พอจบเรื่องนี้มาได้ ท้องก็ยิ่งหิวจัดขึ้น หิวจนมือไม้สั่นไปหมด ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่หมู่บ้าน ผมรู้สึกหงุดหงิดและทุกข์ใจมาก ใครเล่าจะอยากเกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นขอทานตาบอด แม่เป็นคนปัญญาอ่อน ต้องคอยเลี้ยงดูพวกเขาตลอดชีวิตบ้างล่ะ แต่พอก้มลงมองเห็นเจ้าขันใบน้อยในมือที่ยังว่างเปล่าแล้ว ก็กังวลว่าจะกลับไปบอกพ่อยังไง ผมก็เลยเอาขันมาเขกหัวตัวเองแรง ๆ หนึ่งที โทษตัวเองว่า เรานี่ช่าง “ใช้การไม่ได้” เลยจริง ๆ พลอยลืมไปว่าเจ้าขันใบนี้เพิ่งใช้ใส่ขี้มาอยู่หยก ๆ แล้วผมก็ใช้ขันใบนี้ครอบหัวไว้ เดินไปคิดไปว่าจะทำอย่างไรดีหนอ แล้วจู่ ๆ ก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาในตาผม ที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งมีชามข้าวหมาเล็ก ๆ วางอยู่ ผมปรี่เข้าไปด้วยความดีอกดีใจ พอมองไป “อู้ฮู!” ในชามมีข้าวเหลืออยู่จริง ๆ ด้วยแฮะ แม้ว่าเมล็ดข้าวนั้นจะแห้งกรังไปหมดแล้ว แถมยังมีมดติดไต่ยั้วเยี้ย แต่คนที่หิวโซอย่างผมไม่มีทางมองเห็นสิ่งเหล่านี้หรอก

ผมก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เมื่อมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่า หมาเจ้าของข้าวไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ จึงทำตัวลีบแนบกับกำแพง ค่อย ๆ เขยิบเข้าไปใกล้ชามข้าวหมา รีบหยิบชามข้าวหมาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบโกยข้าวเข้าปากสองสามคำ พอกำลังจะวางจานไว้ตรงที่เดิม ประตูบ้านก็เปิดดัง “แอ๊ด...” ออกมา

“อ้าว! เด็กคนนี้นี่ ทำไมย้อนกลับมาขอข้าวอีกนะ...” เจ้าของบ้านกำลังขยับปากเตรียมจะด่าผม แต่พอเห็นชามข้าวหมาในมือผม เมล็ดข้าวยังติดเลอะอยู่ที่ปากและแก้มอยู่สองสามเม็ด “ตายแล้ว ทำไมเธอถึงกินข้าวหมาล่ะ”

พอได้เห็นอย่างนี้เข้า จะด่าก็ด่าไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้า แล้วซักถามผมอย่างสนอกสนใจว่า ผมอายุเท่าไหร่ ทำไมถึงได้มาขอทานอย่างนี้ ผมก้มหน้าเล่าความจริงทุกอย่างให้เขาฟังโดยละเอียด พอฟังจบเขาก็ถอนใจดังเฮือก แล้วพูดว่า “เอ้า วางชามใบนั้นลงเสียก่อนเถอะ ระวังหมาฉันกลับมาเห็นแล้วจะโดยขย้ำเอา แล้วเธอก็รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันออกมา”

เจ้าของบ้านผู้อารีกลับเข้าไปถือข้าวปลาอาหารจานใหญ่มายื่นให้ผม ผมมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า แล้วน้ำตาก็พานจะไหล รีบคุกเข่าคำนับ ปากก็พร่ำเอ่ยคำขอบคุณอยู่ไม่ขาด “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับท่าน ขอให้ท่านร่ำรวยรุ่งเรืองตลอดไปนะครับ ค้าขายก็ให้ได้กำไร สุขภาพแข็งแรง อายุยืนเป็นหมื่น ๆ ปี มีโชคลาภตลอดไปนะครับ”

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

ตอนที่9
ลมบ้าหมูกำเริบ

มีวัดแห่งหนึ่งชื่อวัดหลิงซาน ตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งในเขตหนานโถว ทางวัดจะจัดงานมหรสพเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ทุกปี ปีละหนึ่งครั้ง แต่ละปีก็จะมีผู้มีจิตศรัทธาที่มาร่วมนมัสการกันอย่างล้นหลาม ดังนั้นทางวัดจึงตระเตรียมอาหารเจต่าง ๆ ไว้ ทั้งหมี่เจ หม้อโต ซาลาเปาเจ ข้าวสวย และกับข้าวมังสวิรัติต่าง ๆ อีกเยอะแยะไปหมด

ดังนั้นทุกปีเมื่อถึงช่วงงานเฉลิมฉลองนี้ ผมก็จะต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการข้ามภูเขาเป็นลูก ๆ เพื่อมาขอทานที่วัดหลิงซาน เดินจนกระเพาะร้องโครกขาก็แทบชา แต่พอเดินเข้าไปโรงเจปุ๊บ เห็นอาหารแต่ละจาน ๆ ที่จัดเรียงไว้บนโต๊ะยาวเท่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็แทบสลายหายเป็นปลิดทิ้งไปในวินาทีนั้นเลย ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ล้วนแต่เป็นคนมีจิตใจดี เพียงแต่ผมแจ้งให้พระหรือแม่ชีได้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ทางบ้านผม ท่านก็เต็มใจบริจาคข้าวสารเป็นกระสอบให้ผมแบกกลับบ้าน

วันนั้น ขณะที่ผมกำลังเดินกลับจากวัดหลิงซาน ต้องข้ามภูเขาเป็นลูก ๆ ผ่านหมู่บ้านสองสามแห่ง แขนขาก็เริ่มอ่อนล้าลงทุกที แต่เมื่อใจนึกถึงของที่กำลังแบกกลับมาด้วยแล้ว ก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าพ่อและน้องจะดีใจมากขนาดไหน แม้จะรู้สึกปวดขาไปหมด แต่ผมก็ยังสู้เดินหน้าอย่างไม่ย่อท้อ

จนจวนจะถึงบ้าน ก็เห็นผู้คนนั่งล้อมวงดูอะไรกันที่ไกล ๆ ตรงโน้น ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลืมน้ำหนักของของที่แบกไปเสียสิ้น รีบสาวเท้าแทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปข้างหน้า จึงได้เห็นแม่นอนชักอยู่กับพื้น โรคลมบ้าหมูของแม่กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ตัวแม่เกร็งไปหมด ตากลับขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว น้ำลายฟูมปาก นอนชักแหง็ก ๆ ดิ้นไปดิ้นมาอยู่กับพื้น พี่สาวกับพ่อทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กดตัวแม่ไว้กับพื้น เพราะกลัวว่าแรงดิ้นของแม่จะทำให้เด็กในท้องได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย

“แม่! แม่!” ผมโยนของในมือทิ้งไป รีบเข้ามาช่วยพี่สาวประคองแม่ขึ้น

พี่สาวเงยหน้าขึ้นมองผม ริมฝีปากของพี่ขาวจนซีด เหงื่อไหลเปียกชุ่มออกมาตามไรผม แม้เส้นผมจะรุ่ยร่ายตกลงมาปรกหน้าปรกตาไปหมด แต่ผมก็ยังมองเห็นน้ำตาของพี่

คนที่มุงอยู่ข้าง ๆ ตะโกนขึ้นว่า “ระวังนะ ระวังแกจะกัดลิ้นตัวเองเข้า เอ้า! เร็วเข้า รีบหน่อย ช่วยกันหาไม้มาให้แกกัดเอาไว้ก่อนเถอะ เร็ว ๆ เข้า ไม่งั้นก็เอาผ้ามาให้กัดแทนก่อนก็ได้!” “ระวังหน่อย! อย่าเพิ่งให้แกลุกขึ้นมานะ...” “พวกเธอต้องช่วยกันง้างปากเอาไว้นะ ถ้ากัดลิ้นขาดละก็ตายแน่เชียว”

เสียงผู้คนอึงอลโหวกเหวก เราได้แต่ทำตามที่พวกเขาบอก พ่อเปิดย่ามดึงเอาผ้าเก่า ๆ ออกมาผืนหนึ่ง ผมกับพี่สาวช่วยกันออกแรงง้างปากแม่ให้อ้าออก แต่แม่คงจะทรมานมาก จึงกัดฟันเม้มปากเสียแน่น ไม่ว่าผมกับพี่สาวจะช่วยกันออกแรงงัดยังไงก็ไม่สำเร็จ ผมร้องว่า “แม่ครับ ขอร้องละ ช่วยอ้าปากขึ้นหน่อยได้ไหมแม่” คนที่มุงต่างก็ร้อนใจ มีชายสองคนเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ คนหนึ่งล็อกมือแม่ไว้ อีกคนหนึ่งกดขาแม่เอาไว้ จากนั้นก็ออกแรงบีบปากแม่กว่าจะเอาผ้าผืนนั้นยัดเข้าไปในปากแม่ได้ ก็เล่นเอาบรรดาคนมุงหมดแรงหอบแฮก ๆ นั่งลงกับพื้นเลยทีเดียว ผมเองเปียกไปหมดทั้งตัว หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ หน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา

สมัยนั้นความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลของพวกเรายังไม่ดีพอ พอลมบ้าหมูกำเริบ นอกจากการระวังไม่ให้ผู้ป่วยกัดลิ้นตัวเองจนได้รับบาดเจ็บแล้วก็ทำได้แต่รอ รอให้โรคแสดงอาการจนกระทั่งหายไปเอง รอให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติเอง

น้องชายคนเล็กเดินเข้ามาคว้าชายเสื้อของพี่สาวอย่างหวาด ๆ แล้วถามขึ้นเบา ๆ ว่า “พี่ฮะ แม่จะตายหรือเปล่าพี่”

พี่สาวยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหล พูดอะไรไม่ออก ผมปลอบน้องชายว่า “เด็กดี น้องไปกินข้าวก่อนนะ ดูสิ พี่ได้ของมาจากวัดเยอะแยะเลย ไปเทใส่จานกินก่อนไป๊ เดี๋ยว...เดี๋ยวแม่ก็หาย”

“หนูไม่กิน หนูจะกินพร้อมกับพวกพี่ แล้วหนูก็ไม่อยากให้แม่ตายด้วย”

“แม่ไม่ตายหรอกจ้ะ” พี่สาวยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น

น้องชายคนเล็กไม่กล้างอแงอีก ยอมถอยไปแต่โดยดี กระนั้นก็ยังแอบมองเราอยู่ห่าง ๆ ด้วยความน้อยใจ

เสียงครวญครางของแม่ค่อย ๆ เงียบลงไป ความทุรนทุรายก็ดูเหมือนจะทุเลาลง มีแต่แขนขาเท่านั้นที่ยังเปะปะอยู่ไปมา และก่อนที่คนรอบข้างจะพากันแยกย้ายจากไป คนหนึ่งตบไหล่ผมเบา ๆ บอกว่า “เดี๋ยวไปหาน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แม่เขาเสียนะ”

ผมมองดูแม่ ผมและเนื้อตัวแม่มีแต่ดินทั้งนั้น ใบหน้าก็เปรอะไปด้วยคราบเลือดที่เกาโดนเข้าตอนทุรนทุราย พี่สาวลูบหน้าแม่เบา ๆ ด้วยความสงสาร ชีวิตแม่นั้นช่างน่าเวทนานัก นอกจากจะปัญญาอ่อนแล้วยังเป็นโรคลมบ้าหมูด้วย แถมยังมีอาการผิดปกติทางจิตอีก เหมือนระเบิดเวลาที่อาจระเบิดขึ้นมาตอนไหนก็ได้ แม่ต้องทรมานเพียงนี้ แล้วลูก ๆ อย่างเรามีหรือที่จะไม่พลอยเจ็บปวดตามไปด้วย

ผมถือเศษผ้าไปชุบน้ำที่ลำธารมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้แม่ ตอนนี้เองผมจึงได้พบวา ขณะที่กำลังฉุกละหุกเมื่อกี้นี้ แม่ทั้งฉี่ทั้งอึรดกางเกงไปหมด ผมกับพี่สาวช่วยกันเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ให้แม่ เพื่อให้แม่พักผ่อนได้สบายเนื้อสบายตัวยิ่งขึ้น แล้วเราก็ช่วยกันเฝ้าดูแลจนแม่หลับสนิท

กลางดึก จู่ ๆ แม่ก็ร้องไห้อาละวาดขึ้นมาอีก ทั้งนี้คงจะเป็นผลมาจากการชักเมื่อตอนเย็น ทำให้เด็กในครรภ์ตระหนกตกใจ จึงรีบออกมาดูโลกก่อนกำหนดเป็นแน่ พ่อผู้มีประสบการณ์ของผมฟังเสียงร้องไห้อาละวาดของแม่เพียงนิดเดียวก็รู้ว่า แม่ร้องแบบนี้แปลว่าเจ็บท้อง จึงรีบให้พวกเราหลบไปยืนแอบอยู่ด้านหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเราย่อมไม่มีเงินไปหาหมอที่โรงพยาบาล หน้าที่ทำคลอดจึงต้องตกเป็นของพ่อกับพี่สาวโดยปริยาย

ผมกับน้อง ๆ นั่งกันอยู่ข้างโต๊ะเซ่นไหว้ในศาลเจ้า ฟังเสียงร้องของแม่ที่ดังมาจากด้านหลัง เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อยก็เงียบหายไปแล้วก็ดังขึ้นมาใหม่ เสียงกรีดร้องแหลมดังในศาลเจ้ายามค่ำคืนนั้นดังแสบหูเสียเหลือเกิน เสียงเล็กแหลมนั้นราวกับจะทะลุขึ้นไปถึงเดือนดาวกระนั้น

ยังดีที่ครั้งนี้ได้คลอดในห้อง คราวที่แล้วที่แม่คลอด พวกเราพักอยู่ที่ทุ่งหญ้าโล่งแจ้ง จึงต้องคลอดกันตรงนั้นเลย เจ้าหนูน้อยเกิดมากลางพงหญ้าจะหาน้ำร้อนมาอาบให้ก็ไม่มี ต้องใช้น้ำเย็นจากแม่น้ำมาเช็ดตัวให้ จะอยู่หรือไปก็แล้วแต่สวรรค์จะเมตตา สำหรับเรานั้น แค่เรื่องอิ่มท้องยังต้องถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แล้วจะมีปัญญาที่ไหนให้แม่ได้อยู่ไฟ แม่จึงไม่มีน้ำนมเลี้ยงทารกที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมา พ่อเลยให้ผมเอาเงินที่ขอทานได้ไปซื้อนมข้นหวานกลับมา ผมยังจำได้ว่าเป็นนมข้นตรา “นกนางแอ่น” ซึ่งเป็นนมข้นในกระป๋องเหล็ก ต้องใช้หินทุบให้เป็นรูที่ข้างกระป๋องสองรู จากนั้นจึงเทนมใส่ชามเล็ก ๆ ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะขอทานได้น้ำอุ่นมาผสม แต่ถ้าโชคไม่ดีก็ต้องใช้น้ำสะอาดตามแม่น้ำมาผสมแทน คนให้เข้ากันเสียหน่อยแล้วก็เอามาป้อนแทนนมผงชงได้

ตอนนี้เสียงร้องของแม่ยิ่งกรีดแหลมมากกว่าเดิม ผมใจแทบขาด เมื่อก่อนตอนออกไปขอทาน มักจะได้ยินคนเขาพูดกันบ่อย ๆ ว่ามีคนคลอดลูกตายเพราะตกเลือด ผมได้แต่แอบภาวนาให้สวรรค์โปรดเมตตาเราสักหน่อย เท่านี้แม่ก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว อย่าให้แม่ต้องเป็นอะไรอีกเลย ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยรับรู้ ไม่เคยจำได้เลยสักครั้งเดียวว่าผมเป็นลูก แต่อย่างไรท่านก็ยังเป็นแม่ แม่ผู้ให้กำเนิดผม โอ! ได้โปรดเถิดสวรรค์ โปรดเมตตาให้แม่ผมคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัยด้วย

ทันใดนั้น เสียงร้องของแม่ก็กรีดแหลมขึ้นมาอีก ใจผมสั่นไปหมด ตาเบิกค้าง เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่ ณ ตรงนั้น ยังไม่ทันจะอ้าปากถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลันมีเสียงร้องจ้าของเด็กดังขึ้นมาเสียก่อน

“คลอดแล้ว คลอดแล้ว!” เสียงพี่สาวร้องดังขึ้น “อา! เป็นผู้หญิงจ้ะ”

ผมยกมือปิดหน้า บอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไรแล้ว แม่ปลอดภัยแล้ว”

แล้วแม่ก็คลอดน้องสาวออกมาอีกคน ดวงหน้าเล็ก ๆ ตัวแดง ๆ ปากน้อยนั้นเล็กกระจิริด แกกำลังร้องโยเยไม่ยอมหยุด คงเพราะหิว และอาจจะหนาวด้วย ผมก้มมองดูน้อง ชีวิตน้อย ๆ ของแกถูกส่งมาเกิดที่ครอบครัวเราอย่างไม่มีทางเลือก ยายหนูคงยังไม่รู้ตัวหรอกว่า แกได้เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวยาจกที่น่าอนาถานี้แล้ว อนาคตที่ยายหนูจะต้องเผชิญนั้นแสนสาหัสเสียยิ่งกว่าที่แกต้องดิ้นรนในท้องแม่เมื่อกี้นี้อีกไม่รู้กี่เท่า หากมีญาณพิเศษให้แกสามารถรู้ล่วงหน้า แกยังเลือกที่จะเกิดมาอีกหรือเปล่านะ

ผมก็ไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมควรจะดีใจหรือเสียใจกับแกดี ผมรู้สึกมืดมนไปหมด เหมือนกับท้องฟ้าที่ดำสนิทอยู่นอกหน้าต่างในยามนี้

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 10
ผมเป็นแม่นม

น้องเกิดมาแล้ว ผมจึงมีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

เด็ก ๆ มักจะร้องโยเยในตอนกลางคืน แกมักจะร้องกวนอยู่ทุกหนึ่งหรือสองชั่วโมง บางครั้งเพราะหิว เพราะผ้าอ้อมเปียก หรือบางครั้งก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าร้องทำไม อยากร้องก็ร้องเอาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น แถมยังร้องดังจนแผ่นดินแทบจะสะเทือนอีกด้วย แม่ผมนั้นนอกจากจะไม่รู้จักเลี้ยงน้องแล้ว หากบางครั้งเสียงร้องของน้องปลุกให้แม่ตื่นขึ้นมา แม่ก็จะร้องไห้ไม่หยุดไปด้วย ทำให้น้องชายคนโตพลอยตื่นขึ้นมาอีกคน แล้วทีนี้ก็จะแข่งกันร้องไห้ขึ้นมาทั้งบ้าน เล่นเอาคนอื่นไม่ต้องนอนกันเลยทั้งคืน

ดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงน้องร้อง ผมก็จะทะลึ่งพรวดขึ้น รีบใช้มือขยี้ตาให้หายง่วง จากนั้นก็ค่อยคลานไปอุ้มน้อง กล่อมให้น้องนอนด้วยความสะลึมสะลือ ปากก็พร่ำเห่กล่อมมั่วซั่วไปเรื่อย “เอ่เอเอ๊ เอ้า โอละเห่ เอ้า นอนเสียนอน เอ่เอเอ๊” ผมกล่อมน้องอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดตัวเองก็เผลอสัปหงกโงกหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ น้องสาวคนนี้ก็ความรู้สึกไวเสียเหลือเกิน พอสองมือผมหยุดเขย่าตัวแกเท่านั้นแหละ แกก็ร้องไห้จ้า ทำเอาผมตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ผมจึงจำเป็นต้องยืนกล่อมน้องต่อไปอีก “โอ๋ ๆ โอละเห่ หลับตาเสียนะคนดี พี่ชายรักน้องนะจ๊ะ เอ้า เอ่เอเอ๊” บางครั้งที่น้องร้องก็เพราะหิว แต่ค่ำคืนดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปหาน้ำข้าวได้ที่ไหน ผมร้อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ได้แต่เอานิ้วมืออันแสนสกปรกของผมยัดปากน้องแทนจุกนมไปพลาง ๆ ก่อน

สมัยนั้นเรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการตกเลือดดีเท่าไรนัก พอท้องแล้วก็คลอด นอกจากผมที่คลอดในศาลเจ้าแล้ว น้อง ๆ ที่เหลือล้วนคลอดตามป่าตามทุ่งทั้งนั้น ถ้าโชคดีหน่อยได้เกิดมาในช่วงที่พ่อยังพอมีเงินติดมืออยู่บ้างก็อาจไปเรียกหมอตำแยในหมู่บ้านมาช่วยทำคลอดให้ ไม่งั้นก็ต้องคลอดกันเองตามป่าตามทุ่ง แค่ใช้กรรไกรตัดไปที่รกของเด็กแล้วก็ผูก ๆ เข้า เท่านี้ก็เป็นอันว่าทำคลอดเสร็จพิธี แต่ที่ผมอยากจะเล่าอีกสักหน่อยก็คือว่า หมอตำแยที่เราเรียกมาช่วยทำคลอดให้แม่ แทนที่จะได้รับค่าจ้าง พอได้เห็นความเป็นอยู่ของเราแล้วกลับต้องควักเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวเราเสียอีก

ตอนเล็ก ๆ ผมมักจะคิดเสมอว่า พ่อกับแม่ทำไมไม่คิดบ้างว่า ถ้าออกลูกมาเยอะ ๆ แล้วจะอยู่กินกันยังไง เขาว่ากันว่า “มีลูกมาก พ่อแม่จะยากนาน” แต่ในครอบครัวผม ผมคือคนที่รับภาระแทนพ่อกับแม่ จึงน่าจะเป็น “มีลูกมาก พี่ชายจะยากนาน” เสียมากกว่า โดยเฉพาะพี่ชายที่วัยไม่ถึงสิบขวบอย่างผม แต่ไหนแต่ไรมา แม่ผมไม่ค่อยจะยอมให้ลูกกินนมตัวเอง ต้องให้พ่อคอยเอาไม้เท้าขึ้นขู่ทุกครั้งไป แม่จึงยอมฝืนใจให้ลูกกินนม แต่พอลูกกัดแรงไปนิด แม่ก็จะผลักออกจากอกด้วยความโมโห บางครั้งถึงกับลงมือตีลูกก็มี หลายครั้งเข้าพวกเราต้องยอมแพ้ ดูแลกันเองดีกว่า

การออกไปขอทานข้างนอกที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยจึงกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผมสบายที่สุดในแต่ละวัน เพราะพอกลับบ้านมาแล้ว ผมก็จะต้องเริ่มงานที่แสนจะยุ่งวุ่นวาย ไหนจะต้องเริ่มแบ่งอาหารให้กับทุกคนก่อน แบ่งให้พ่อกับแม่และลูกที่โตพอจะกินข้าวเองเป็นแล้วกลุ่มหนึ่ง ส่วนน้องชายน้องสาวที่ยังเล็กอยู่ ผมกับพี่สาวแบ่งกันป้อน ส่วนทารกน้อยที่ไม่มีนมแม่กิน จะป้อนข้าวก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะติดคอน้องตายเสียก่อน ผมก็เลยเอาเข้าปากตัวเองเคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยป้อนน้อง

พอวุ่นวายเรื่องกินเสร็จก็ต้องหันมาจัดการกับปัสสาวะอุจจาระที่เลอะเทอะอยู่ แม่กับอาไฉสอนเท่าไรก็ไม่รู้จักจำ จะต้องอึราดใส่กางเกงทุกวัน ที่โตหน่อยก็ต้องเปลี่ยนกางเกง ที่ยังเล็กอยู่ก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม จากนั้นต้องขนเอาเสื้อผ้าที่เลอะเทอะไปด้วยทั้งอึและฉี่ไปซักที่ริมแม่น้ำ แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยรังเกียจความเหม็นหรือสิ่งสกปรกเหล่านี้ วันเวลาและสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมขัดเกลาให้ผมเป็นคนอดทน ความสามารถทุกอย่างที่ผมได้มาและมีอยู่ในวันนี้ ก็มาจากสิ่งแวดล้อมที่บังคับทั้งนั้น

มีบางครั้งที่กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับน้องสาวอยู่ น้องชายคนเล็กก็กำลังเล่นอึตัวเอง แกกำลังจะหยิบเข้าปากพอดี ผมจึงต้องรีบวางมือจากน้องสาวเข้าไปห้ามน้องชายคนเล็ก พอดีกับน้องชายอีกคนดันมาลื่นล้มเข้า ก็แหกปากร้องไห้ใหญ่ ผมกำลังจะเข้าไปโอ๋น้องชาย น้องสาวคนโตก็ร้องอาละวาดเพราะความหิวขึ้นมาอีก ส่วนแม่กับอาไฉก็กำลังตีกัน จิกผมกันไม่หยุด

ผมมองสภาพความวุ่นวายที่ดูเหมือนจะไม่มีทางจบสิ้นแล้วรู้สึกระทดท้อเป็นที่สุด ผมปาของในมือลงกับพื้นอย่างเหลืออด แล้วก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย

ภาระที่แบกไว้นั้นหนักเหลือเกิน จนบางครั้งผมคิดจะหนีไป แล้วทิ้งทุกอย่างที่นี่เสีย ไปตายเอาดาบหน้าคนเดียว แต่พอคิดอย่างนี้ขึ้นทีไร ผมก็ใจอ่อนทุกที นึกถึงเมื่อคืนตอนที่ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องสาวคนเล็ก ตอนนี้น้องเริ่มจำคนได้แล้ว น้องมองหน้าผมแล้วก็ยื่นจมูกขึ้นยิ้มน้อย ๆ ให้ผม น่ารักที่สุดเลย สิ่งนี้เองที่สอนให้ผมรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “หัวใจละลาย” ความรู้สึกเช่นนี้ยังจะมีสิ่งอื่นใดในโลกมาแลกไปได้อีกหรือ ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองแรง ๆ ถือชามที่บรรจุอาหารอยู่เต็ม สาวเท้าก้าวยาว ๆ อยากกลับถึงบ้านไว ๆ

เพิ่งจะพ้นประตูบ้าน พี่สาวก็วิ่งหน้าตั้งออกมาบอกผมว่าน้องสาวคนเล็กเป็นไข้ ร้องไห้โยเยตลอดบ่ายไม่หยุดเลย หน้าตาหัวหูแดงไปหมด แกร้องไห้ไม่ลืมหูลืมตา ไข้ขึ้นจนร้อนจัดไปทั้งตัว พี่สาวทั้งกอดทั้งปลอบ น้องก็ยังร้องไห้อยู่อย่างนั้น ทีแรกผมกะจะป้อนข้าวน้อง แต่พอเอาข้าวที่กัดละเอียดแล้วมาป้อนให้น้อง น้องกลับไม่ยอมกลืน พ่อบอกผมให้หาผ้าชุบน้ำมาวางไว้ที่หน้าผากแก เผื่อจะช่วยลดไข้ได้บ้าง ผมก็รีบทำตาม ถึงอุณหภูมิในตัวจะไม่ลดลง แต่ในที่สุดเสียงร้องของแกก็ค่อย ๆ เบาลงทุกที ผมกับพี่สาวทั้งเหนื่อยและเพลียจัดจนเผลอหลับไปที่ข้าง ๆ ตัวแกนั่นเอง

แล้วคืนนั้นผมก็ฝันร้าย ผมฝันว่าน้องนั่งอยู่ที่พื้น และมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด แกเรียกผม “พี่ พี่” ผมตกใจตื่นขึ้นมามีเหงื่อเย็น ๆ ท่วมตัว พอรู้สึกตัวก็รีบพลิกตัวไปดูแกอีกที เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย ถึงแกจะหายใจแรงนิดหน่อย แต่ก็ดูจะหลับสนิทดี ผมบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นไรแล้ว แล้วก็หลับต่อ

ตอนเช้าตรู่ ผมตกใจตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องไห้ของพี่สาว ผมขยี้ตาให้หายสะลึมสะลือ เหลียวมาเห็นน้องสาวนอนหน้าเขียว เปลือกตาปิดสนิท ผมลองคลำ ๆ ดูก็พบว่าตัวแกเย็นเข้ากระดูก น้องตายไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ผมร้องไห้ฟูมฟาย เฝ้าโทษตัวเองที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังประมาทไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติของน้อง ผมเป็นพี่ชายยังไงกันนี่ ขนาดน้องสาวหมดลมสิ้นใจไปข้าง ๆ ตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย

พ่อแอบน้ำตาไหลเงียบ ๆ บอกให้ผมกับพี่สาวไปขุดหลุมที่ข้างศาลเจ้า แล้วเอาน้องสาวตัวน้อยอายุไม่ทันจะถึงขวบที่น่าเวทนาของผมไปฝังไว้ที่นั่น ผมกับพี่สาวขุดหลุมไปก็ร้องไห้ไป แม่ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เห็นเรากำลังช่วยกันขุดดินก็รี่เข้ามาเล่นดินทรายกับพวกเราอย่างเริงร่า ผมมองเห็นใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มสดใสของแม่ ก็พานให้ยิ่งเสียใจแทนน้อง น้ำตาค่อย ๆ รินไหลร่วงลงไปในหลุมหยดแล้วหยดเล่า

พ่อใช้เสื่อฟางพันตัวน้องแล้วเอาลงไปวางในหลุม ไม่มีป้ายปักหน้าหลุมศพไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มีแม้แต่ชื่อในทะเบียนบ้าน ชีวิตน้อย ๆ ชีวิตนี้ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้บนโลกนี้เลย อยู่แค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสองร้อยกว่าวัน แล้วก็จากไปอย่างสงบ ผมตักดินขึ้นมาก้อนหนึ่ง ค่อย ๆ ปล่อยมันลงเพราะไม่อยากสาดดินให้เปื้อนน้อง หัวใจผมเหมือนจะถูกมีดกรีด น้ำตาไหลลงมาราวกับสายฝน ผมตะโกนอยู่ในใจ “น้องเล็ก พี่ขอโทษ เป็นเพราะพี่เองแท้ ๆ ที่ไม่รู้จักดูแลน้องให้ดี พี่มันไม่ดีเอง ถ้าน้องจะเกิดใหม่ ก็ต้องเลือกดูให้ดี ๆ ก่อนนะ จงเลือกเกิดในครอบครัวดี ๆ ล่ะ อย่าเลือกเกิดในครอบครัวขอทานอีกเป็นอันขาดนะ”

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 11
กางเกงตูดขาด

เวลาที่พวกเราเดินมาถึงหมู่บ้านใดก็ตาม แม้ว่าจะยังไม่ทันได้ตระเวนออกไปขอทาน เรื่องของเราก็มักจะสะพัดออกไปทั่วทั้งหมู่บ้านโดยที่เราไม่ต้องออกป่าวประกาศเลย เพราะเพียงแค่มีคนเห็นครอบครัวตัวประหลาดของเราแล้ว ก็เอาไปพูดต่อกันเอง

พ่อตาบอดหาบสาแหรกที่ปลายทั้งสองข้างมีเด็กทารกอยู่
มือซ้ายผมลากโซ่ที่ล่ามแม่ มือขวาก็ลากโซ่ที่ล่ามน้องชายคนโต
บางครั้งแม่ปัญญาอ่อนของผมก็โป๊หน้าอกออกมาอวดสายตาประชาชน

พี่สาวแบกผ้าห่มขาด ๆ ไว้ข้างหลัง แล้วยังมีเสื่อฟางและพิณมัดไว้ที่ด้านหน้า มือข้างหนึ่งก็จูงน้องชายคนเล็กไว้ด้วย

เด็กน้อยล่อนจ้อนสองคนคลานไปกับพื้น จับอะไรได้ก็หยิบเข้าปากหมด

เด็กโตอีกสามคนก็เปลือยเหมือนกัน ดินทรายเปื้อนจับเป็นคราบไคลหนาเตอะ สกปรกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว

แปลกประหลาด พิลึกพิลั่น น่าอัศจรรย์จริงเชียว มาสิมา มาดูกันเร็วเข้า เร็ว! ไอ้พวกคนบ้าจะแสดงระบำแก้ผ้ากันแล้ว!

แล้วไม่นานครอบครัวของเราก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน พวกเขาต่างชี้ชวนกันดูพวกเรา เหมือนกับกำลังดูลิงกอริลลาในสวนสัตว์ยังไงยังงั้น คุณน้าผู้หญิงคนหนึ่งมองดูพวกเราแล้วก็เวทนาจนน้ำตาร่วงเผาะ ขณะที่คุณอาผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ จดจ้องพินิจพิจารณาน้องสาวน้องชายตัวเล็ก ๆ ของเราที่คลานอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็น บางคนมองเห็นแม่ยิ้มเซ่อ ๆ ก็อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ พวกเด็กซน ๆ บางคนก็ใช้หนังสติ๊กยิงไปที่จู๋ของน้องชายผมแทนเป้ากระดาน เท่านี้ยังไม่พอ พวกเขายังไปหาก้อนหินมารัวปาใส่พวกเราอีก

เวลาที่พวกเด็ก ๆ ชักจะซนมากเกินไป ผมก็จะยืดตัวขึ้นเป็นโล่กำบังคอยรับก้อนหินที่ปามาเหล่านั้นให้กับน้อง ๆ มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามายืนล้อมรอบเราเป็นวงกลม แล้วก็ปรบมือร้องเพลงล้อเลียนเราว่า “ผีบ้า ผีบ้า ผีบอ ตัวเท่าลูกกรอก นุ่งกางเกงตูดขาด ตัวดำปิ๊ดปี๋ แกว่งไปแกว่งมา ทั้งน่าดู ทั้งน่าขัน เอ้า! มาพวกเรามาช่วยตบมือกันเข้าหน่อย เอ้า!”

จากนั้นก็มีเสียงหัวร่องอหายของชาวบ้านที่พากันมามุงดูดังขึ้น ประสานกันกับเสียงล้อเลียนของเด็ก ๆ ราวกับเป็นลูกคู่

ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นวันอะไร จำได้แต่ว่าพอพวกเราเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเปรี๊ยะปร๊ะของประทัดดังแว่วมาแต่ไกล ตอนนั้นผมตื่นเต้นแทบแย่ ถ้าที่ไหนมีเสียงประทัด นั่นก็ย่อมหมายถึงการเฉลิมฉลองหรือเทศกาลอะไรสักอย่าง ทุกครัวเรือนก็จะมาร่วมเฉลิมฉลองและทำบุญกันแบบลืมความตระหนี่ถี่เหนียวไปเลย แต่แล้วความสุขของผมก็ต้องชะงักงันอยู่แค่ตรงนั้น

เพราะจู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงพลุแตกอยู่ใกล้ ๆ หู “วี้ด...บึ้ม!!” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเสียงหลงของแม่ ขณะที่ผมกำลังงงงันจับทางไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ก็มีเด็กชายราวห้าหกคนวิ่งลอดออกมาจากซอยข้าง ๆ พวกเขาถือธูปไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือพลุชี้มาที่แม่ผม แล้วก็พากันกระโดดโลดเต้นตัวลอยส่งเสียงฮาลั่น

ตอนนี้ผมถึงได้รู้ว่า เจ้าเด็กวายร้ายกลุ่มนี้นี่เองที่ใช้พลุดอกไม้ไฟมายิ่งใส่พวกเรา

นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของละครชั่วร้ายเท่านั้น พอเจ้าเด็กวายร้ายกลุ่มนี้แน่ใจแล้วว่า ครอบครัวเราไม่สมประกอบ ที่พิการก็มี บางคนก็บ้า ที่เหลืออยู่ก็ยังเป็นเด็กเล็กที่ไม่สามารถรับมือได้ พวกเขาจึงพากันยกพวกมาเล่นโดยสมมุติว่าครอบครัวเราเป็นข้าศึกในจินตนาการของพวกเขา พอเริ่มทำศึก พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเล็งพลุมาที่เท้าพวกเรา

“วี้ด—บึ้ม!”
“วี้ด—บึ้ม!”

เมื่อศัตรูอยู่ไกลตัว ไม้เท้าของพ่อจึงไม่ทรงอานุภาพอีกต่อไป เสียงหัวเราะของพวกเด็ก ๆ คละเคล้ากันท่ามกลางเสียงร้องไห้อย่างหวาดกลัวของน้อง ๆ และเสียงหวีดร้องอย่างเสียขวัญของแม่ นี่คือความอัปยศที่เกิดขึ้น ณ ผืนแผ่นดินแห่งนี้ ขณะที่พวกเราต่างกระโดดหลบพลุดอกไม้ไฟที่เล็งมากันอย่างอลหม่าน พ่อก็บอกให้เอามือขึ้นปิดหูหัวตัวเองเอาไว้แล้ววิ่งกลับไปข้างหลัง แต่ยิ่งพวกเราพยายามหลบหนีกันเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้นเท่านั้น พลุดอกไม้ไฟยิ่งสนั่นรัว เสียงพลุที่ดังระเบิดขึ้นแต่ละนัด แทบจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเลยทีเดียว จนกระทั่งพวกเราหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะหนี เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ จึงค่อย ๆ แว่วห่างออกไป

เด็กชายวัยหกเจ็ดขวบอย่างผม ก็เริ่มรู้จักคำว่าศักดิ์ศรีแล้ว พอเห็นพวกเขารังแกพวกเราอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ น้ำโหก็เดือดพล่านอยู่ในใจ แต่พ่อห้ามพวกเราเสมอไม่ให้ต่อปากต่อคำกับใคร ถ้ายิ่งถึงกับลงไม้ลงมือวิวาทกันแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ก็พวกเราอยากเกิดมาเป็นลูกขอทานทำไมล่ะ เด็กพวกนี้ล้วนแต่เป็นลูกผู้ดีมีเงิน ถ้าไปทำอะไรผิดใจพวกเขาเข้า แล้วอาหารมื้อหน้าของพวกเราล่ะ จะทำอย่างไรกัน พวกเราจึงต้องอดทนก้มหน้ายอมรับสภาพอย่างเงียบ ๆ แล้วแต่ก้อนหินที่ปามาว่าจะโดนที่ตัวบ้าง ที่หน้าบ้าง จนพวกเด็ก ๆ เริ่มเบื่อกันไปเอง แต่ยังดีที่ผู้ใหญ่บางคนเวทนาพวกเรา อุตส่าห์กลับไปบ้านนำอาหารมาให้

พวกเราเหมือนคณะละครสัตว์ที่พอการแสดงจบลง ก็ยืนรอรับรางวัลด้วยความเบิกบานใจ เมื่อพวกเขาได้รับความสนุกสนาน พวกเราก็ได้รับรางวัลเป็นเศษอาหารที่เหลือทิ้ง

อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “ศักดิ์ศรี” สำหรับผมแล้วมันก็คือคำคำหนึ่งที่มีอยู่ในหนังสือแบบเรียนเท่านั้นเอง

กว่าผู้คนจะแยกย้ายกันไป ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเราเหนื่อยกันแทบตาย แต่ยังหาสุสานที่พักพิงไม่ได้ ได้แต่รีบหาต้นไม้ใหญ่เป็นที่พัก แล้วนำเศษอาหารที่ได้รับมาแบ่งกันกิน

คืนนี้อากาศชื้นมาก หมอกลงจัด แล้วพวกเราต้องนอนกันกลางแจ้งอย่างนี้ ทำให้นอนหลับไม่สนิทนัก โดนน้ำค้างจนต้องตื่นกลางดึก ผ้าห่มก็ชื้นตั้งแต่หัวค่ำ ผมได้แต่หวังว่าดวงอาทิตย์ในยามเช้าของวันพรุ่งนี้จะช่วยนำความอบอุ่นมาสู่พวกเราบ้าง

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 12
คนพเนจรใต้ต้นไม้

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ ลืมตาทั้งที่ยังง่วงอยู่ เห็นบรรดานกน้อยพากันเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ส่งเสียงร้องเพลงจิ๊บ ๆ กันอย่างเพลิดเพลินใจ ใจผมกำลังคิดว่า อากาศในยามเช้านี่ช่างงดงามดีแท้ จู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างแฉะ ๆ อุ่น ๆ อยู่บนใบหน้าตัวเอง ผมลองจับดู อี๋ ขี้นก! พอดูให้ดี ๆ บนหัวเราทุกคนและผ้าห่มมีแต่ขี้นกแต้มเป็นหย่อม ๆ ไปทั่ว บนพื้นหญ้าก็มีหนอนแก้วขนยาว ๆ ตัวดำ ๆ เกาะอยู่เต็มไปหมด เห็นพวกมันไต่กันยั้วเยี้ยแล้ว น่ากลัวที่สุดเลย

ตอนนี้เองน้องชายคนโตก็แผดเสียงร้องดังลั่น ตามแขนและคอแกมีรอยหนอนแก้วกัดอยู่เต็มไปหมด แกคงคันจนทนไม่ได้ก็เลยเกาใหญ่ พอผมเห็นแกเกาอยู่อย่างนั้นก็ชักรู้สึกคันขึ้นมาบ้าง ไอ้บ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้นกบ้า ไอ้หนอนบ้า ผมโกรธจนเต้นขึ้นมา หยิบไม่ไผ่ชักออกมาเป็นดาบ ปากก็ตะโกนว่า “ตาย! ตาย! ตาย! จะฆ่าให้ตายหมดเลย” แต่ยังไม่ทันจะกวัดไกวดาบ ก็นึกขึ้นได้ว่า เพราะตัวเองไม่มีบ้านอยู่นั่นแหละ จึงได้มาซัดเซพเนจรอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าผมไปทำลายรังของมันเสีย พวกมันจะไม่กลายเป็นพวกเจ้าไม่มีศาลเหมือนพวกเราหรือ เฮ้อ! ช่างมันเถอะ ไม่แก้แค้นมันแล้ว รักษาตัวไว้ก่อนสำคัญกว่า ผมงัดเอาวิชาสารพัดประโยชน์ของคนพเนจรมาใช้อีกตามเคย ดินทรายครับ ผมเอาดินทรายมาทาตรงปากแผลที่โดนหนอนแก้วกัดเบา ๆ เพื่อยับยั้งความคัน

แม้ว่าจะมีทั้งนกและหนอนที่คอยจ้องรังแกเราอยู่ แต่ใต้ต้นไม้นั้นมีลมโชยอ่อน ๆ แล้วก็มีร่มเงาให้เราได้พักพิง แสงแดดที่ลอดผ่านร่มไม้ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เป็นไข้ได้ ถึงอย่างไรการอาศัยร่มเงาใต้ต้นไม้ในฤดูร้อนก็น่าจะถือว่าเป็นที่พักพิงหรูหราเพียงพอสำหรับเราทีเดียว

แม่เดินลากโซ่เข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มหวานแฉ่ง ผมเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ แต่พอเห็นดอกไม้สองดอกที่แม่เอาเสียบไว้ที่ผม ก็เข้าใจทันทีว่าแม่ตั้งใจจะโชว์ของล้ำค่านั่นเอง ผมจึงชี้ไปที่ศีรษะของแม่ บอกว่า “แม่ วันนี้แม่สวยจังเลย” แม่ปรบมือชอบอกชอบใจใหญ่ พอน้องชายคนโตเห็นเข้าก็ตรงเข้ามาจะแย่งดอกไม้ให้ได้ แต่แม่ไม่ยอม ทั้งคู่จึงเปิดศึกชิงดอกไม้กันใหญ่

ผมรีบเจรจาสงบศึกทันที เอาละ เอาละ ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก แล้วลุกไปเก็บมาอีก 2 – 3 ดอก นาน ๆ จะได้เห็นแม่เบิกบานแจ่มใสอย่างนี้สักที ก็ได้ วันนี้จะบ้าเป็นเพื่อนสักวันก็แล้วกัน ผมเอาดอกไม้มาทัดไว้ที่หูซ้ายหูขวาและคาบไว้ที่ปากอีกหนึ่งดอก แล้วก็ทำเป็นเต้นระบำออกมาจากด้านหลังของต้นไม้

แม่กับน้องชายคนโตชักสนุกกันใหญ่ เลยลุกขึ้นมาเต้นบ้า ๆ บอ ๆ ไปด้วยกันกับผม โซ่ในมือส่งเสียงกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง เหมือนเป็นการให้จังหวะกับเสียงหัวเราะของเรา บังเอิญมีชาวนาสองคนเดินผ่านมาทางนี้เข้าพอดี พวกเขาเห็นเราเต้นกันบ้าบอขนาดนี้ถึงกับตะลึงมองตาค้าง แล้วหนึ่งในนั้นก็อุทานออกมาว่า “หา นี่มันอะไรกันหว่า นี่มันบ้ากันทั้งบ้านเลยหรือไง”

เสียงของพวกเราทำให้พี่สาวรู้สึกตัวตื่นขึ้น พี่สาวบอกผมว่า “อาจิ้น เลิกเล่นได้แล้วละ เดี๋ยววันนี้พี่จะออกไปขอทานเป็นเพื่อนเธอนะ รีบ ๆ เข้าเถอะ”

เยี่ยมไปเลย ผมดีใจที่สุดที่ได้จูงมือพี่สาวออกไปขอทานด้วยกัน เพราะจะได้มีเพื่อนเดินคุยกันไป วันนี้เราดวงดีใช้ได้ ใช้เวลาไม่นานนัก เราก็ปฏิบัติ “ภารกิจ” ได้สำเร็จลุล่วง เราต้องเดินไปกลับระหว่างหมู่บ้านกับต้นไม้อยู่หลายรอบทีเดียว ขณะพ่อกับแม่กำลังกินข้าวที่เราไปขอทานมาได้ในรอบที่แล้วอยู่ พี่สาวก็ตาไวมองเห็นในชามข้าวของแม่มีขี้นกหล่นใส่อยู่เยอะแยะ แต่แม่ไม่รู้เรื่องอะไร ขณะกำลังจะหยิบข้าวใส่ปาก พี่สาวจึงรีบเข้าไปดึงชามข้าวออกมาจากมือแม่

“แม่ อย่ากินนะ มีแต่ขี้นกทั้งนั้นเลย”

แล้วอย่างแม่จะฟังรู้เรื่องที่ไหน ก็รู้กันอยู่ว่าแม่เป็นคนกินจุมาก พอมีคนมาแย่งของกินไปจากมือ ท่านก็โกรธจนแทบจะลุกเป็นไฟ มือที่ยังเปื้อนเมล็ดข้าวของแม่ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ตัวพี่สาวอย่างจัง

“แม่จ๋า นี่มันมีแต่ขี้นกนะ หนูจะช่วยเอาออกให้แม่ก่อน แล้วค่อยกินต่อนะ”

แม่ยิ่งโมโหไปกว่าเดิม แม่คงเข้าใจว่าพี่สาวจะแย่งข้างของตัวเองไปกิน จึงใช้ฝ่ามือตบหน้าพี่สาวเต็มแรง

“เผียะ!” เสียงดังกังวาน

พี่สาวนิ่งอึ้งตะลึงงัน ยกมือขึ้นกุมหน้าไว้อย่างไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้แม่ดึงชามข้าวที่มีแต่ขี้นกกลับไป แล้วก็มองตามแม่ที่รีบกลืนกินข้าวอย่างตะกรุมตะกราม ท่าทางลนลานราวกับว่ากลัวจะมีคนมาแย่งอาหารในมือไปอีก แม่ยัดข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย

ผมเห็นน้ำตาของพี่สาวแล้วก็อดน้ำตาไหลตามไม่ได้

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 13
คนเป็นเบียดเบียนคนตาย

เรื่องแย่ที่สุดของการอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ก็คือ เวลาผ้าห่มโดนน้ำค้างจนชื้นแฉะ หากวาเช้าวันไหนแดดดีหน่อยก็ค่อยยังชั่ว หากว่าเช้าวันไหนครึ้มครึ้มฝนแล้วละก็ นั่นหมายความว่าคืนนี้เราจะต้องนอนห่มผ้าเปียก ๆ กันทั้งคืน ซึ่งทำให้ยากที่จะข่มตาหลับลงได้

คิด ๆ แล้วครอบครัวเราเดินหน้าต่อไปดีกว่า ไปหาสุสานอาศัยกัน ถ้าโชคดีเราอาจจะหลบเข้าไปพักอยู่ที่ศาลเจ้าในสุสานก็ได้ แย่งที่คนตายนอนอย่างน้อยก็ดีกว่าต้องคอยหลบภัยคนเป็น

ที่เรียกว่า “ศาลเจ้า” นั้นก็คือ สถานที่เล็ก ๆ ที่มีไว้สำหรับวางของเซ่นไหว้ให้แก่พวกผีไม่มีญาติในป่าช้านั่น ในศาลเจ้าจะมีกระดูกของคนตายที่ถูกขุดขึ้นมากองกันอยู่เต็มไปหมด แม้จะเป็น “ศาลเจ้า” แต่ที่จริงศพเหล่านี้ล้วนเป็นศพไม่มีญาติ จึงแทบจะไม่มีคนเข้ามาเซ่นไหว้เลย ดังนั้นศาลเจ้าก็ย่อมจะผุพังไปตามกาลเวลา ประตูก็แทบจะไม่ใช่ประตู หน้าต่างก็แทบจะไม่เห็นหน้าต่าง ที่พื้นมีฝุ่นจับหนาเป็นชั้น ๆ แค่เดินผ่านฝุ่นก็กระจายคลุ้งไปทั่วห้อง พอลมพัดมาวูบหนึ่ง ประตูหน้าต่างก็จะไหวไปมาตามแรงลมส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่ตลอดเวลา

บรรยากาศน่ากลัวจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกราวกับว่ามีสายตานับร้อยคู่กำลังจ้องมองมาจากด้านหลัง มีมือเป็นร้อยคู่ที่ค่อย ๆ ยื่นมาใกล้ตัวเข้าทุกขณะ ในสถานที่ที่มีบรรยากาศแบบนี้ อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนจะมีหรือไม่มี “ผี” เลย แค่ตอนกลางวันนี้ยังเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดางู แมงมุม หนู แมลงสาบ จิ้งจก ยุง และตะขาบที่เข้ามาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง เท่านี้ก็ขนพองสยองเกล้าพอแล้ว

ตามข้างกำแพงหรือเพดานก็จะมีใยแมงมุมเกาะเป็นพรืดอยู่เต็มไปหมด แถมเป็นใยแมงมุมที่เกาะค้างมานานเป็นแรมปี จึงมีขนาดใหญ่มากจนน่าจะเรียกว่า “ซูเปอร์ใยแมงมุม” เสียมากกว่า ตามใยแมงมุมนี้จะมีแมงมุมตัวใหญ่น้อยเกาะวิ่งไปมาบนใย ขนาดเราเป็นพวกที่อยู่ตามที่ร้างมาจนคุ้นเคย แต่เห็นแล้วก็ยังอดขนลุกขนพองไม่ได้ ส่วนตามมุมห้องยังเป็นอาณาจักรของมด มดนับหมื่นนับแสนตัวเดินกันยั้วเยี้ยไปหมด พวกเราเคยใช้ไฟจุดเผามัน แต่พอเผาเสร็จไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มันก็พากันขึ้นมาจากรังอีก ไม่ได้สะทกสะท้านเลย ส่วนงูนั้นลำพังเอ่ยชื่อก็กลัวกันจะแย่อยู่แล้ว

หลายครั้งที่นอนหลับไปได้สักเที่ยงคืน เมื่อรู้สึกว่ามีตัวอะไรบางอย่างลื่น ๆ เย็น ๆ ขยับเขยื้อนไปมาอยู่ใกล้ ๆ ตัว จิตใต้สำนึกก็เตือนทันทีว่าต้องเป็นงูแน่ ครั้งหนึ่งผมตกใจมาก ตะโกนร้องออกมาว่า “งู!” ทำให้พ่อตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย แม้ท่านจะมองไม่เห็น แต่ก็ไวพอที่จะหยิบไม้เท้าข้างตัวขึ้นมาทันที แล้วก็โยนข้ามมา “เปรี้ยง!” เข้าที่กลางหัวผมอย่างพอดี หัวผมบวมป่งเป็นซาลาเปาลูกโตขึ้นมาทันตาเห็น ผมเจ็บจนร้องไห้ดังลั่น ยังดีที่งูตัวนั้นนิ่งมาก ผมร้องดังลั่น ยังดีที่งูตัวนั้นนิ่งมาก ผมร้องดังขนาดนั้น มันก็ไม่ตกใจ แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาทำร้าย จากนั้นก็ค่อย ๆ เลื้อยจากไปตามทางของมัน

นอกจากพวกแมลงและสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ทุกที่แล้ว ที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้คือ ที่กำแพงด้านหลังศาลเจ้ามักจะมีหัวกะโหลกกองกันอยู่เต็มไปหมด แค่เห็นก็ขนหัวลุกแล้ว

พอฟ้าเริ่มมืดลง ยื่นมือออกมาก็หาห้านิ้วของตัวเองไม่เจอ เจอแต่กองกระดูกผีเท่านั้นที่วับวาวอยู่ชัดเจนที่สุดกลางความมืดในยามค่ำคืน ผมจะขนเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าห่มผืนเก่ามาพันรัดตัวเองไว้แน่น แล้วยกผ้าขึ้นคลุมหัวด้วย เพราะผมกลัวว่าหากไม่ระวังตัว ผีป่าจะมาจับเอาไปอยู่เป็นเพื่อนในเมืองผี

กลางดึกคืนหนึ่งผมฝันร้าย ฝันว่าข้างนอกมีพายุทรายพัดโหมกระหน่ำ แล้วจู่ ๆ ก็มีผีสาวตนหนึ่งปรากฏกายขึ้นมา หล่อนใช้มือบีบคอผมแน่นจนหายใจไม่ออก ผมทั้งถีบทั้งเตะ กระเสือกกระสนจนสุดกำลัง พยายามตะโกนเรียกให้คนมาช่วย แต่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน พอเริ่มได้สติก็ชักจะได้กลิ่นฉี่หึ่ง ๆ ออกมาจากผืนเสื่อ ถึงรู้ว่าเป็นเพราะตัวเองตกใจฝันร้ายจนฉี่ราดออกมานั่นเอง พอล้มตัวกลับลงไปนอนอีก ทีนี้จะนอนอย่างไรก็ไม่กล้าหลับต่อ ต้องนอนตาค้างอย่างนั้นจนฟ้าสาง

อีกครั้งเราไปพักกันที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง พอผมล้มตัวลงนอน ก็บังเอิญมองไปเห็นที่ข้าง ๆ กองกระดูกนั้นมีโพรงใหญ่มากอยู่โพรงหนึ่ง ลองสังเกตดูให้ดีก็พบว่าข้างในโพรงมีงูขดพันกันอยู่ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยตัว ผมกลัวจนไม่กล้าหลับตานอนเลยทั้งคืน เอาแต่จ้องรูงูนั้นไม่กะพริบ ด้วยความระแวงว่างูอาจจะแอบออกมาทำร้ายโดยเราไม่รู้ตัว

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกแมลงและสัตว์เล็ก ๆ มากัดต่อย ทำร้าย หรือไชเข้าหูเข้าจมูกเราในเวลาที่หลับสนิท เราจึงต้องใช้เวลาในช่วงกลางวันที่ยังมีแสงสว่างอยู่มาจัดการเก็บกวาดพื้นที่ให้เรียบร้อย โดยผมกับพี่สาวจะไปช่วยกันเก็บฟางมาทำเป็นไม้กวาด หากิ่งไม้มาใช้ปัดกวาดใยแมงมุมที่อยู่ตามกำแพงเพดานแทนไม้กวาดปัดหยากไย่ พอจัดการเก็บกวาดได้สะอาดเรียบร้อยดีแล้ว เราจึงจะกลับไปขนเอาฟางแห้งอีกรอบ คราวนี้ต้องขนมากหน่อย เพราะจะเอามาสุมรวมกันไว้เพื่อทำเป็นเบาะ จากนั้นใช้เสื่อของเราปูทับข้างบนอีกที เพียงเท่านี้เราก็จะได้เตียงขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้วหนึ่งเตียง

มีครั้งหนึ่งที่ผมออกไปเก็บฟาง แต่ดันโชคไม่ดีถูกเจ้าของจับได้เสียก่อน ผมตกใจรีบวิ่งหนีออกมา เขาก็ไล่ตามออกมาด้วย ผมยิ่งวิ่งหนีเขาก็ยิ่งวิ่งตาม ผมรู้ว่าอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นแน่ จึงคุกเข่าขอร้องเขา บอกเขาว่าที่จริงผมไม่ได้มีเจตนาจะมาลักขโมยฟางที่เอาไว้ขายเพื่อไปทำเชือกพวกนี้หรอก แต่เป็นเพราะพื้นดินนั้นเย็นเกินกว่าที่จะนอนได้จริง ๆ ผมกลัวว่าถ้าพวกเราต้องนอนกับพื้นโดยตรงก็อาจทำให้เป็นไข้หวัดได้ และแมลงเล็ก ๆ อาจไต่เข้าหูได้ง่ายอีกด้วย ที่ผมต้องทำเช่นนี้ก็เพราะความจำเป็น จากนั้นผมก็เล่าเรื่องทางบ้านให้เขาฟังจนหมด ชาวนาได้ฟังแล้วก็ใจอ่อน ยอมโบกมือไล่ให้ผมไป

เวลาฝนตก สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ ศาลเจ้าบางศาลหลังคารั่ว บางศาลเป็นเพราะสร้างผิดทำเล จึงทำให้มีฝนตกสาดเข้ามาไม่หยุดหย่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นผมกับพี่สาวก็ได้แต่อุ้มน้อง ๆ ไปนอนบนโต๊ะเซ่นไหว้ จากนั้นก็จะหาที่ที่โดนฝนสาดน้อยที่สุดให้พ่อกับแม่นอน เมื่อไม่มีที่เหลือพอให้นอนได้อีก เราสองพี่น้องก็ต้องกอดกันไว้เพื่อให้มีไออุ่น ปากก็พร่ำภาวนาไปเรื่อย “สวรรค์โปรดเมตตาให้ฝนหยุดตกเสียทีเถิด” แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ได้ยินคำร้องขอของเราเลย ฟ้ายังแลบแปลบปลาบอยู่ไม่ขาดสาย เสียงฟ้าร้องครืน ๆ ทำให้น้อง ๆ ตกใจตื่น เราก็ต้องรีบเข้าไปโอ๋ ทั้งกอดทั้งปลอบจนน้อง ๆ หลับไป วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดคืน

ได้โปรดเถิดสวรรค์ ท่านคงเห็นแล้วใช่ไหม ผมกับพี่สาวเป็นเพียงเด็กที่อายุไม่ถึงสิบขวบเลย ไยท่านจึงต้องประทานชะตาชีวิตอันแสนโหดร้ายทรมานเช่นนี้ให้แก่เราเล่า ให้วัยเด็กของเรามีแต่ความขมขื่น

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องจดจำไปชั่วชีวิต ครั้งนั้นเหตุเกิดที่ศาลเจ้าร้างแถบไถจง คืนนั้นลมกระโชกแรง พัดลอดผ่านเข้ามาตามช่องประตูและหน้าต่างคงเป็นเพราะความกลัวจึงทำให้ผมนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก แม้จะรู้ดีว่ามีพ่อนอนประกบอยู่ด้านซ้ายและพี่สาวอยู่ที่ด้านขวา กระนั้นก็ยังคงฝันร้ายอย่างต่อเนื่องอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายเสียที แต่แล้วก็หลับเข้าสู่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวไปยิ่งกว่าเดิม

พอถึงตอนนี้ จู่ ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าเกิดแผ่นดินไหวจนสะเทือนไปทั้งแผ่นดินอย่างนั้นแหละ เมื่อผมลืมตาขึ้น จึงรู้ว่าที่แท้ก็เป็นพี่สาวนี่เองที่เข้ามาเขย่าตัวผม ขณะนี้ท้องฟ้ากำลังเริ่มสว่างแล้ว

“อาจิ้น ทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่ล่ะ” พี่สาวถามขึ้น

ผมอยู่ที่ไหน ผมอยู่ที่ไหนหรือ ผมมองไปรอบ ๆ ตัว ทำไมผมจึงมานอนอยู่ที่นี่ ที่มุมห้องของอีกห้องที่ห่างจากเสื่อนอนของเราถึง 20 เมตรเชียว

พี่สาวบอกว่า เมื่อกี้พอพ่อรู้สึกตัวตื่น คลำข้าง ๆ ตัวดูไม่เจอผม ก็เลยตกใจรีบปลุกพี่สาวให้รีบออกมาตามหา แต่นึกไม่ถึงว่าผมจะมานอนอยู่ที่ห้องข้าง ๆ นี่เอง

ผมคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเมื่อคืนตัวเองตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าตัวเองมานอนที่นี่ได้อย่างไร แต่แล้วก็ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนนี้ผมฝันเห็นผีสาวผมยาวตนหนึ่ง มีเลือดไหลออกทางทวารทั้งเจ็ด ดูน่ากลัวมาก เธอสั่งให้ผมมุดเข้าไปอยู่ในกรงเหล็ก แม้ผมจะกลัวแสนกลัวว่าเธอจะจับตัวไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง พอผมเล่าฝันร้ายที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟัง พี่ก็ตกใจถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วมองผมอย่างตื่นกลัว เธอชี้มาที่ผมและพูดขึ้นว่า

“อา-อา-จิ้น—ที่-ที่-คอเธอ—“
คอผม คอผมเป็นอะไรหรือ
“คอเธอ ที่คอเธอมีรอยข่วนเป็นเส้น ๆ เลยละ”

เราสองคนตกใจร้อง “จ๊าก” แล้วกระโดดเข้ากอดกันไว้แน่น ทำไมนะทำไม ลำพังกลางวันก็ถูกเทพเจ้าแห่งโชคชะตารังแกเสียจนสะบักสะบอมจะแย่อยู่แล้ว กลางคืนยังจะต้องมาสู้รบปรบมือกับภูตผีปีศาจอีก

แม้ในศาลเจ้าจะเต็มไปด้วยสิ่งเขย่าขวัญมากมาย แต่สำหรับพวกเราแล้วอย่างไรก็ต้องถือว่า นี่คือ “บ้าน” ที่คุ้มหัวนอนให้แก่พวกเรามาตลอด นับเป็นที่พักพิงที่ให้ความรักความอบอุ่นอย่างที่สุดแก่พวกเราในยามนั้น

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 14
ทองคำหล่นตอนเที่ยงคืน

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่กระเพาะของพ่อไม่ค่อยดีนัก เป็นเหตุให้ปวดท้องตอนดึก ๆ เสมอ พอพ่อปวดท้องก็จะปลุกผมให้ลุกขึ้นพาออกไปทำธุระข้างนอก แต่ประสบการณ์ที่เจอ เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผมไม่อยากจะพาพ่อออกไปที่สุสานด้านนอกศาลเจ้าเอาเสียเลย แม้ว่าในศาลเจ้าจะมีโครงกระดูกกองกันอยู่เต็มไปหมด แต่เราก็อยู่ด้วยกันตั้งหลายคน ยังพอจะทำเป็นใจกล้าข่มความกลัวไปได้บ้าง

ดังนั้นเมื่อพ่อปลุกผม ผมจึงแกล้งทำเป็นนอนหลับสนิท ไม่ว่าพ่อจะเขย่าแรงยังไง ผมก็จะไม่ยอมตื่นเด็ดขาด อีกไม่กี่นาทีต่อมาพ่อก็หยุดปลุกผม ผมกำลังแอบดีใจอยู่เชียว คิดไม่ถึงว่าสักพักจะมีกลิ่นเหม็นโชยมา ถึงตอนนี้ผมก็จะไม่ตื่นก็ไม่ได้แล้ว เพราะกลิ่นนั้นเหม็นสุดทนจริง ๆ พอผมลุกขึ้นมาดูจึงรู้ว่าที่แท้พ่อกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว ก็เลยจัดการธุระที่ข้างเสื่อนอนของพวกเราเสียเลย เท่านี้ก็ได้เรื่อง เพราะทุกคนต่างทนกลิ่นไม่ไหวพากันตื่นขึ้นมาหมด แต่เนื่องจากฟ้ายังมืดอยู่มาก ต้องรอให้สว่างเสียก่อนจึงจะไปเอาน้ำจากลำธารมาเช็ดล้างทำความสะอาดได้ และศาลเจ้าก็แสนจะคับแค้น จะหลบไปทางไหนก็ไม่พ้น ทุกคนได้แต่เอามืออุดจมูก นั่งล้อมวงเฝ้าเจ้าทองคำก้อนนี้ไว้จนฟ้าสาง

ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง ได้ยินเสียงพ่อพูดว่า “อาจิ้น อาจิ้น รีบตื่นเถอะ” ทีแรกผมกะว่าจะทำเป็นโอ้เอ้แล้วก็จะไม่ตื่นเอาเสียดื้อ ๆ แต่พอพ่อพูดอีกว่า “อาจิ้น เร็ว ๆ เถอะ ไม่ไหวแล้ว จะราดใส่กางเกงอยู่แล้วนะ” ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อสองสามวันก่อนได้ชัดเจน จึงเรียกสติคืนมาได้ทันที มองไปรอบ ๆ ตัว ทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด แม้ชูมือขึ้นก็ยังมองหานิ้วตัวเองไม่เจอ แล้วจะพาพ่อไปส้วมที่ไหนดี แต่พ่อร้อนใจไม่เหลือเวลาให้ผมคิดเลย เอาแต่ดันตัวผมให้ออกมาข้างนอก

บังเอิญวันนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีแม้แสงเดือนหรือแสงดาว ได้ยินแต่เสียงลมพัดอู้ข้างหู เพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวในป่าช้าก็ทำให้ขนหัวลุกได้ไม่ยาก ใจหนึ่งก็ต้องคอยพะวงดูทางขรุขระไม่ให้สะดุดก้อนหินหรือหลุมบ่อที่มีอยู่เต็มไปหมด อีกใจหนึ่งก็คอยระแวงระวัง ต้องใช้หางตากวาดดูรอบ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา

ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดใบหญ้าให้แหวกออกจากกัน จากหางตาผมมองเห็นป้ายหน้าหลุมศพที่เขียนไว้ว่า “ทดสอบ...” ผมรีบหลับตาลง ไม่กล้าดูต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมตาลายเพราะง่วงนอนหรือเปล่า จึงรู้สึกเหมือนกับมองเห็นว่าที่ป้ายหน้าหลุมศพนั้นก็มีรัศมีแผ่ออกมาด้วย อีกทั้งตัวหนังสือก็ดูเหมือนมีประกายคมชัดไปเสียยิ่งกว่าตอนกลางวันอีก ผมกลัวจนตัวสั่น ในใจก็คอยแต่ท่องนะโม นะโม ไปไม่ยอมหยุด

ตอนนี้เองมีเสียงสวบสาบ ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมรีบหันขวับกลับไปมองทันที แต่ไม่พบอะไรเลย ลมเย็นในยามดึกยังคงพัดหวีดหวิว เหมือนเสียงคนกำลังร้องไห้อยู่กลางป่าช้าอย่างนั้นแหละ พ่อมองไม่เห็นก็คงจะไม่กลัวหรอก แต่ผมสิ ขนลุกเหงื่อไหลเย็นเฉียบไปหมดทั้งตัว ผมเดินไปก็ระแวงไปว่ามีคนตามมาข้างหลัง รู้สึกเหมือนมีดวงตานับร้อยคู่กำลังแอบจับตามองเราอยู่เงียบ ๆ พอคิดถึงตอนนี้แล้ว หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอก-อก แล้วขาผมก็พลันไปสะดุดกับวัตถุแข็ง ๆ บางอย่างเข้า ความหวาดระแวงที่ซ่อนอยู่ในใจก็ระเบิดออกมาในนาทีนี้นี่เอง ผมตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “ผี...ผี...ผี!”

“ป๊าบ!” เสียงพ่อตบกะโหลกผม “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดพูดจาเลอะเทอะ”

“พ่อ ถ่ายตรงนี้เลยละกันนะพ่อนะ สะดวกดี” ผมพูดอย่างน้อยใจ มือก็ลูบกะโหลกป้อย ๆ

“อือ” พ่อทำจมูกฟุดฟิด พอแน่ใจว่าห่างจากบ้านมาพอสมควรแล้ว ท่านจึงยอมวางไม้เท้าลงที่ข้างตัวแล้วรีบดึงกางเกงลง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ย่อขานั่งลงเลย ผมก็ได้ยินเสียงปู้ดป้าดแพร่ดพราดดังขึ้นมาเสียก่อน

“ตายละ มันราดใส่กางเกงหมดแล้ว!”

เท่านั้นเอง ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ลืมความกลัวใด ๆ ไปเสียสนิท เห็นสภาพของพ่อในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ ฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมหัวเราะจนตัวงอ ฮ่าฮ่า! โอ๋ยโย๋! เมื่อรักสนุกก็ต้องทุกข์ถนัด เพราะไม้เท้าของพ่อลอยขึ้นมาสำแดงเดชทันที

“ไอ้เด็กเวร! หัวเราะอะไรนักหนา ยังไม่รีบเก็บก้อนหินส่งมาให้พ่ออีก” ดีจังเลย พ่อเรียกหาก้อนหินมาเช็ดก้น นั่นหมายความว่าพ่อคงจวนจะเสร็จธุระเต็มทีแล้ว แต่ว่ามันมืดขนาดนี้ มองอะไรก็ไม่เห็น แล้วจะหาก้อนหินให้พ่อได้อย่างไร ผมจึงต้องนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างคลำไปตามพื้นหญ้าค่อย ๆ กวาดไปด้านซ้ายทีขวาที แล้วผมก็เจอ...

“ว้าก!” ผมรีบกระโดดหนีร้องเสียงดังลั่น “งู!”

กางเกงเปียกไปหมด เพราะผมตกใจจนฉี่ราดออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ถึงตอนนี้พ่อกลับตั้งสติได้ดีกว่า ท่านพูดเสียงเรียบ ๆ ว่า “งั้นแกก็เร็ว ๆ เข้าสิ”

ผมจำเป็นต้องนั่งยอง ๆ ลงไปอีกครั้ง มันช่างเป็นงานที่ยากเย็นเหลือเกิน กว่าจะคลำหาหินมาได้สักก้อน แถมหินก้อนนั้นยังมีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีก แต่ผมก็ยังยื่นให้พ่อ ในใจคิดว่า เอาเถอะน่า ใช้ ๆ ไปก่อนเถอะ ก้อนมันใหญ่ไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยนี่นา

แล้วไม้เท้าของพ่อก็ลอยมาอีกครั้ง “ไอ้เด็กเปรต! หินก้อนใหญ่ขนาดนี้ จะให้เข้าเช็ดยังไง หา!”

พ่อถอดกางเกงที่เปื้อนตัวนั้นทิ้งไว้ที่ทุ่งหญ้า แล้วเดินโทง ๆ กลับศาลเจ้าด้วยกันกับผม ผมรู้สึกเหมือนว่าขากลับจะไม่ค่อยไกลเท่าขามา นอกจากนี้ยังมีหิ่งห้อยช่วยนำทางให้อีกด้วย ผมไม่สนแล้วว่าจะมีใครแอบมองผมอยู่ข้างหลังหรือไม่ เพราะเรากำลังรีบกลับบ้าน

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 23:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ตอนที่ 15
ฝ่าพายุไปขอทาน

ในฤดูร้อนวันหนึ่งตอนผมอายุได้เจ็ดขวบ วันนั้นพายุโหมพัดแรงตั้งแต่เช้าตรู่ ประกอบกับสายฝนที่ซัดกระหน่ำมาราวกับบ้าคลั่ง ท้องฟ้าครึ้มมัวเหมือนกับจะสาปให้โลกใบนี้อยู่ในความมืดสลัวไปตลอดกาล เสียงกรีดร้องของสายลมลอดผ่านซอกประตูซอกหน้าต่างของศาลเจ้าเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ครอบครัวเราทั้งเจ็ดชีวิตต้องมาซุกตัวเบียดกันอยู่ที่มุมห้อง บรรยากาศด้านนอกในตอนนี้สำหรับเด็กเจ็ดขวบคนหนึ่ง คงไม่มีคำใดจะบรรยายได้ดีไปกว่า “น่าสะพรึงกลัว”

ที่ด้านนอกนั้นพายุฝนซัดกระหน่ำ แต่ถึงแม้พวกเราจะอยู่ด้านในก็ใช่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนได้ จากมุมที่ผมซุกตัวอยู่นั้น เมื่อมองออกไปจะเห็นประตูเหล็กด้านข้างของศาลเจ้าพอดี หลังม่านประตูเหล็กมีโครงกระดูกของคนตายที่ถูกขุดขึ้นมากระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ ตาที่กลวงโบ๋ของหัวกะโหลกเหล่านั้นเหมือนกำลังจ้องมองมายังครอบครัวที่สวรรค์ไม่ไยดี แม้เหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ผมก็ยังแอบภาวนาขอบคุณอยู่ในใจเงียบ ๆ เพราะศาลเจ้า ๆ ศาลนี้ก็ยังพอจะเป็นที่คุ้มกันเราจากพายุฝนภายนอกไว้ได้เป็นอย่างดี และที่นี่ก็น่าจะนับได้ว่าเป็น “ห้อง” ที่ดีที่สุด หรูหราที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมเคยพเนจรกับพ่อแม่มาตลอดระยะเวลานับสิบปี

จนกระทั่งเย็นย่ำ ลมฝนก็ยังคงกระหน่ำซัดสาดลงมาอย่างไม่อ่อนแรง เมื่อไม่มีอะไรตกถึงท้องนานติดกันสองมื้อ ทำให้แม่กับน้องชายคนโตหิวจนร้องไห้อาละวาด น้องคนอื่น ๆ ชักจะทนหิวไม่ไหวก็เริ่มร้องไห้กระจองอแงกันขึ้นมาบ้าง เสียงสะอื้นซิก ๆ ที่ดังเข้ามาในหูผมเสียงแล้วเสียงเล่า ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีเข็มนับพันเล่มคอยทิ่มแทงใจ ผมทนเห็นคนในครอบครัวต้องหิวโหยทรมานต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

ผมทนเห็นคนในครอบครัวต้องหิวโหยทรมานต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนโต มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อทุกชีวิตในครอบครัว ผมบอกกับตัวเองว่า ขอเพียงแค่ไม่ต้องให้คนในครอบครัวต้องทนหนาว ทนหิว ผมก็ยินดีจะอดทนทุกอย่าง หรือจะให้ผมต้องเสียสละอย่างไรผมก็ยอม

พอคิดได้อย่างนี้แล้ว ผมก็พรวดพราดลุกขึ้น ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องออกไปขอทานเดี๋ยวนี้

พ่อผู้ชราถึงกับต้องออกปากห้ามผมว่า “อาจิ้น ฝนตกลมแรงขนาดนี้ ข้างนอกมันอันตรายมากนะ อย่าออกไปขอทานจะดีกว่ามั้ง”

ผมหันกลับไปมองพ่อ แต่ผมตัดสินใจแล้ว ผมเชื่อว่าสวรรค์จะต้องคุ้มครองเด็กกตัญญู ผมจึงบอกกับพ่อว่า “ผมไม่กลัวหรอกพ่อ ยังไงสวรรค์ก็ต้องช่วยคุ้มครองให้ผมกลับบ้านอย่างปลอดภัยแน่”

แต่ดูเหมือนสวรรค์จะเล่นตลกกับผมอีกแล้ว เพราแค่ก้าวขาออกมาพ้นประตูบ้านเท่านั้น ก็เกิดฟ้าผ่าดังเปรี้ยง สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ผมรีบห่อตัวลงก็ใครว่าผมไม่รู้จักกลัวเล่า หากเป็นเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันกับผม พวกเขาคงพากันหดตัวซุกอยู่ในอ้อมอกของแม่ ออดอ้อนให้แม่ปลอบรับประทับขวัญกันแล้ว แต่เด็กเจ็ดขวบอย่างผม คำรับขวัญที่จะได้ยินก็คงเป็นแต่เสียงร้องไห้อาละวาดด้วยความหิวจากแม่เท่านั้น เมื่อผมไม่มีทางเลือก จึงต้องเดินออกมาจากศาลเจ้าด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว

ตามถนนหนทางนั้นโดนพายุฝนอาละวาดเสียจนเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสเย็นเฉียบ ต้นไม้ข้างทางก็ถูกลมพายุซัดจนบิดเบี้ยวสั่นคลอนกันไปทั่ว แม้กระทั่งป้ายชื่อร้านค้าก็ยังแกว่งไปมาทำท่าเหมือนจะร่วงมิร่วงแหล่ เดินไปได้ยังไม่ทันถึงสองนาที ผมก็โดนฝนสาดเสียเปียกปอนไปทั้งตัว ลมพายุโหมกระหน่ำมาอย่างบ้าคลั่งราวกับจะแกล้งซัดให้เด็กตัวเล็กบางอย่างผมต้องล้มกองลงไปกับพื้นให้ได้อย่างนั้น ผมต้องค้อมตัวคู้ลงให้ต่ำที่สุดเพื่อต้านลมให้น้อยที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ จึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ น้ำที่เปียกเลอะนองอยู่เต็มหน้าผมนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตากันแน่ รู้แต่ว่ามันทำให้ตาผมมัวจนเกือบจะมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าเอาเสียเลย

ทันใดนั้นก็มีวัตถุบางอย่างลอยดิ่งมาฟาดเปรี้ยงเข้าที่ตัวผมพอดี ความแรงของมันทำให้ผมล้มลงไปกับพื้น ผมเจ็บจนน้ำตาร่วง จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองก็รู้สึกเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป ที่พอล้มลงก็อยากจะตะโกนเรียกหาแม่ แต่จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมานั้นได้สอนให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ต้องพึ่งตัวเอง ดังนั้นผมจึงกล้ำกลืนความเจ็บเอาไว้ แล้วมองรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แท้ก็ลมพัดกิ่งไม้หักลงมาโดนผมนั่นเอง โอ! สวรรค์ ผมทำผิดอะไรหรือ ทำไมแม้แต่กิ่งไม้ก็ยังรังแกผมด้วย

กว่าจะเดินทางฝ่าฟันมาถึงหมู่บ้านได้ผมก็แทบแย่ ตามถนนหนทางในหมู่บ้านนั้นมีแต่เศษกระเบื้องและกิ่งไม้ที่ปลิวกระจายทั่วไปหมด ผู้คนต่างพากันปิดหน้าต่าง ล็อกประตูบ้านช่องกันแน่นหนา มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังเดินไปเคาะประตูตามบ้านทีละหลัง ๆ

ก๊อก ๆๆ! ก๊อก ๆๆ!

“ท่านผู้ใจบุญสุนทานทั้งหลายครับ คุณป้า คุณน้า คุณอา ช่วยเปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ กรุณาเถิดครับ ขอข้าวผมสักจานเถิดครับ ได้โปรดเถิด คุณลุงผู้มีใจเมตตา...”

ผมคุกเข่าร้องไห้ที่หน้าบ้านแต่ละหลังที่ผมไปเคาะประตู ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีบ้านที่ยอมเปิดประตูออกมา เจ้าของบ้านฟังผมเล่าชะตากรรมอันแสนจะน่าหดหู่ของครอบครัวแล้ว ก็รู้สึกรันทดใจจนน้ำตาไหล คุณอาผู้หญิงเจ้าของบ้านเดินเช็ดน้ำตาออกมาจากในบ้าน พลางเรียกผมให้ตามเข้าไปข้างในด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตา เธอเห็นผมตัวเย็นเฉียบเปียกปอนไปหมดก็กลัวว่าผมอาจจะเป็นหวัดได้ จึงหยิบเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกเธอมาให้ผมเปลี่ยน พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็ยกข้าวเปล่าออกมาให้ผมเอากลับบ้านสองชาม แถมยังช่วยหาจานมาปิดปากชามทั้งสองใบไว้ให้ด้วย เธอบอกว่าเดี๋ยวฝนตกใส่แล้วข้าวจะเปียกหมด

ความอบอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจผม ผมก้มหัวคำนับขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอบคุณความเมตตาปรานีของเขาที่ทำให้ผมมีแรงใจที่จะสู้ต่อไป

ผมถือข้าวสองชามออกมายืนอยู่ที่ริมถนนอีกครั้ง ในใจกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าข้าวมีอยู่แค่สองชามเท่านั้น แต่เรามีกันถึงเจ็ดคน แล้วจะพอกินกันได้อย่างไร ผมจึงตัดสินใจฝ่าพายุฝนเดินหน้าขอทานต่อไปอีก

แล้วผมก็เดินมาพบบ้านหลังหนึ่งเข้า บ้านหลังนี้มีกำแพงสูงใหญ่ ผมคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องเป็นบ้านคนรวยแน่ ๆ จึงรีบเดินเข้าไปตะโกนเรียกอย่างมีความหวัง “มีใครอยู่ไหมครับ” ร้องแค่นี้ก็มีเสียงหมาเห่ารับขึ้นมาทันที ผมผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างตกใจกลัว แต่ก็ยังฝืนใจทำใจกล้า ตะโกนขึ้นมาจนสุดเสียงอีกครั้งว่า “มีใครอยู่ไหมครับ มีใคร...”

“ปัง!” แล้วประตูก็เปิดออก เจ้าของบ้านตะโกนด่าใส่หน้าผมด้วยความโกรธ “จะเรียกหาสวรรค์วิมานอะไร หา! รู้ไหมว่าแกทำให้หมาเห่าจนลูกฉันตกใจร้องไห้ไม่ยอมหยุดแล้วนี่ วันนี้พายุพัดแรงขนาดนี้แล้วแกยังจะมาหาเอาอะไรอีกวะ”

ผมยื่นขันใบเล็กออกมาอย่างขลาด ๆ ให้เขารู้เจตนาว่าผมมาเพื่อขอทาน นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าของบ้านจะยิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิม ยกมือขึ้นโบกไล่ผมทันที “ไปๆๆ ที่นี่ไม่มีข้าวหรอก รีบไปให้พ้นไป๊!”

ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปด้วยความผิดหวัง นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะเรียกผมไว้ ผมแอบนึกยินดีอยู่ในใจ คิดว่าเขาคงจะเปลี่ยนใจมาให้ทานผมเสียกระมัง ที่ไหนได้เขาเรียกให้ผมถ่มน้ำลายให้ลูกเขาดู เพื่อหยอกให้ลูกเขาหายตกใจ

วันนี้ทั้งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลยสักนิดเดียว ปากก็แห้งแรงก็โรยไปหมดแล้ว จะมีน้ำลายที่ไหนให้พ่นออกมาได้อีก ผมขอน้ำกินสักแก้ว แต่เขาก็ปฏิเสธว่าไม่มี แถมยังเร่งให้ผมรีบถ่มน้ำลายเร็ว ๆ เข้า เพราะตอนนี้เด็กในบ้านร้องไห้เสียงดังลั่นขึ้นมาอีกแล้ว ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องนั่งลงกับพื้น ใช้มือวักน้ำฝนที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นขึ้นมาดื่ม แล้วถ่มน้ำลายใส่ฝ่ายตรงข้าม ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดคำขอโทษเลย ประตูก็ปิดใส่หน้าผมดังปังไปเรียบร้อยแล้ว

ผมยังเดินเคาะประตูตามบ้านต่อไป หลังแล้วหลังเล่า ถูกด่าครั้งแล้วครั้งเล่า ผมได้แต่เดิน เดินจนจำไม่ได้ว่าเดินมานานเท่าไรแล้ว นอกจากข้าวสองชาม ก็มีมันเทศเล็ก ๆ อีกสองหัวที่เพิ่มมาเท่านั้น ผมได้แต่ปลอบตัวเองว่า เอาเถอะน่า ก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังดีกว่ากินเศษผลไม้ตั้งเยอะ

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ แต่พายุฝนกับไม่ยอมอ่อนกำลังลงเลย พอผมนึกถึงเสียงร้องไห้ของแม่กับน้อง ๆ ก็รีบสาวเท้าตรงดิ่งกลับบ้านอย่างไม่รอช้า

ตราบจนทุกวันนี้ เมื่อใดก็ตามที่พายุเข้า ผมก็ยังมองเห็นภาพภาพหนึ่งแจ่มชัดในความทรงจำ ท่ามกลางพายุฝนที่ซัดกระหน่ำ บนถนนสายยาวอันแสนเปล่าเปลี่ยว ยังมีเงาของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเดินแกมวิ่งกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

หน้า 1 จากทั้งหมด 4 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/