วันเวลาปัจจุบัน 16 มิ.ย. 2024, 06:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2008, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

วิชัยยุทธจุลสารเล่มนี้เป็นเล่มสำหรับเด็ก
เด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญต่อสังคมและ ประเทศชาติมากที่สุด
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในช่วง 10 ปี 20 ปี หลังนี้
เราละเลย หรือเลี้ยงดูเด็กผิดแนวทาง
โดยถูกกระแสสังคมใหม่ ชี้นำไปจนทำให้เด็กในยุคนี้
แทนที่จะเป็นกำลังแก่สังคม กลับเป็นภาระของสังคม
เพราะพูดได้ว่าเด็กจำนวนมากหลงทาง หลงผิด
เด็กติดสิ่งเสพติดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุรา ยาม้า ยาบ้า
ยาอีไปจน ถึงโคเคน และ เฮโรอีน มีนิสัยเป็นอันธพาล
ใจคอโหดร้ายอย่างข่าวที่นักเรียนชายบังคับนักเรียนหญิงไปข่มขืน
เป็นเด็กไม่มีระเบียบวินัย เป็นเด็กไม่มีปัญญามีแต่ปัญหา
เป็นเด็กที่หลงระเริง หลงทาง ซึ่งปัญหาเหล่านี้แพร่หลายทั่วประเทศ
ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด คนไข้ของผู้เขียนคนหนึ่ง
เป็นครูที่โรงเรียนในจังหวัดไม่ห่าง กรุงเทพฯมากนัก
ได้ตรวจปัสสาวะของนักเรียนชายและหญิง พบยาเสพติดถึงครึ่งหนึ่ง
เมื่อผู้เขียนบวชที่วัดป่า จังหวัดหนองคาย พบเณรอายุ 11-12 ปี
เมื่อถามว่าบวชเพราะอยากบวชหรือ
เณรบอกเปล่าแต่แม่ให้บวช เพราะกลัวติดยา
เพื่อนๆ ที่โรงเรียนติดยาเกือบหมดแล้ว!

หัวข้อเรื่องที่เขียนมี 2 นัย คือ “เลี้ยงลูกอย่าง ไรให้ได้ดี”
หรือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ดี”
ซึ่งฟังเผินๆ คล้ายกันแต่ความหมายต่างกันมาก
คนส่วนมากคงจะชอบ อย่างแรก คือ เลี้ยงลูกให้ได้ดี
ซึ่งการที่คนจะได้ดีนั้น สุด แต่ว่าใครตั้งเป้าไว้ว่าต้องการอะไร
มักจะ เป็นเรื่องของ ทรัพย์ ตำแหน่ง อำนาจ วาสนา
แต่ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้ดีอาจเป็นคนเลว มากก็ได้
เห็นตัวอย่างอยู่เต็มเมือง
ในสังคมปัจจุบันคนที่ได้ดี แต่ไม่ใช่คนดีมีให้เห็นมากมาย
จึงอยากจะเขียนเรื่องเลี้ยงลูกให้ดี
คือให้เป็นคนดี ซึ่งถ้าเป็นคนดีอยู่ในสังคมที่ดีแล้ว ย่อมจะได้ดีเอง


คนยุคใหม่มักตำหนิการเลี้ยงลูกของคนรุ่นเก่า ว่าคร่ำครึ
ไม่ถูกยุคถูกสมัย จะไปแข่งไปสู้กับชาวโลกเขาไม่ได้
ซึ่งความจริงคนรุ่นเก่า เขาไม่เคยมีใครมาอบรมสั่งสอนว่าให้เลี้ยงลูกอย่างไร
ไม่มีหนังสือเขียนวิธีการเลี้ยงลูก แต่เขาเลี้ยงดูตามที่เห็นพ่อแม่เลี้ยงดูมา
แต่เขาก็ไม่เคยนำประเทศไปเสียท่าแก่ประเทศอื่น
พ่อแม่สมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ เลี้ยงลูกโดยการอ่านตำรา
ซึ่งส่วนใหญ่เขียนโดยคนต่างประเทศ
ที่เขาสอนเพื่อให้เด็กอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมของเขา
ซึ่งต่างจากสังคมและวัฒนธรรมเรา
สิ่งที่ดีเหมาะสมในสังคมฝรั่งอาจไม่เหมาะสมกับสังคมไทย
ดูง่ายๆ เรื่องการแสดง ออกของความพอใจ
เด็กยุคใหม่ต้องส่งเสียงร้อง “กรี๊ด” ให้ดังหนวกหูที่สุดนานที่สุด
จนฟังไม่ออกว่าผู้แสดงเขาร้องหรือพูดว่าอะไร
ถ้าเป็นสมัยโบราณคงถูกพ่อแม่ตีตาย
เพราะอย่างมากที่คนสมัยก่อนจะแสดงออกก็คือปรบมือเท่านั้น
และส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกของเด็กสาว
การร้องกรี๊ดทุกกาละเทศะเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่สมควรแก่สังคมไทยหรือ?
การแสดงออก หลายอย่างเป็นลักษณะของวัฒนธรรมของอาฟริกัน อเมริกัน
เช่น การแต่งกาย แต่งผม แต่งหน้า หรือผู้ชายใส่ตุ้มหู
ซึ่งไม่ใช่สิ่ง ที่ควรเลียนแบบเลย เสียเงินเสียทอง โดยใช่เหตุ

เรื่องเหล่านี้ยังไม่สำคัญเท่ากับผลที่เกิดต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งคงจะปฏิเสธ ไม่ได้ว่าเกิดจาก ผลการปฏิบัติงานของคนยุคใหม่
ในระดับต่างๆ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
การมองแต่ผลประโยชน์ที่จะได้โดยไม่นึกถึงทางเสี่ยงหรือผลเสีย
การวิ่งตามยุคของเศรษฐกิจแบบใหม่ของอเมริกันโดยไม่ดูตัวเอง
จนเกิดภาวะฟองสบู่แตก เข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟ
(ดังที่เขียนความเห็นไว้ใน วิชัยยุทธจุลสาร เล่มที่ 8 แล้ว)
แต่ไม่ใช่ว่ากิจการทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเลวร้าย
จะเห็นได้ในทุกวันนี้ว่ากิจการใดๆ ที่ดำเนินงานในลักษณะไม่เสี่ยง
ไม่งกเอาแต่ได้ ก็จะสามารถประคองตัวรอดได้

ผู้เขียนเป็นอายุรแพทย์ไม่ใช่กุมารแพทย์ ไม่เคยศึกษาเรื่องวิธีเลี้ยงเด็ก
แต่มีประสบการณ์จากคุณ พ่อคุณแม่เลี้ยงมา
และตัวเองเคยเลี้ยงลูกมา 2 คน
คิดโดยไม่ ลำเอียงว่า ตัวเองคงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ลูกที่ดี” หรือ “ลูกที่ได้ดี”
ทั้ง 2 กรณี และลูก 2 คนของผู้เขียนก็คงจัดได้เช่นเดียวกัน
อย่างน้อยน่าจะแสดงว่าวิธีที่คุณพ่อเลี้ยงผมมา
และที่ผมและภรรยาเลี้ยงลูกคงจะใช้ได้ เพราะทำให้เราเป็นคนดีและได้ดี

ผู้เขียนเคยใช้เวลาพิจารณาว่า ที่ตัวเองเป็นอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร
เป็นจากการอบรมของพ่อแม่อย่างเดียวหรือ?
ตอบว่าไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สมัยก่อน ไม่มีเวลามากนักที่จะมาดูแลลูกหลายคน
(พี่น้องผู้เขียน 4 คน) แต่ส่วนหนึ่งเป็นจากการเห็นและการทำ ตามพ่อ แม่
หรือว่าได้การอบรมจากโรงเรียน? ก็ไม่ใช่อีก
ได้จาก เพื่อนหรือ? ก็ไม่ใช่ จ
ากการ อ่านหนังสือเองหรือ? ไม่ใช่
ถ้าอย่างนั้นจากอะไร? คงตอบว่าจากทุกอย่างรวมกัน
แต่ แม้รวมกันแล้วก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
ยังมีส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนที่อยู่ในตัวเอง
ซึ่งคิดว่าอาจจะมากเกินครึ่งของทั้งหมด
จะเรียกว่าอะไร อาจเรียกว่า “สันดาน” ของคนคนนั้น
หมายถึงว่า คนที่จะดีต้องมีสันดานดีอยู่ในตัว
คนพาลสันดาลหยาบ ให้ไปอบรมอย่างไร ก็ยากจะดีได้
มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่า คนบางคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเลยแต่เป็นคนดีได้
แต่คนที่อยู่ในที่แสนจะดีกลับเป็นคนชั่วเอาตัวไม่รอด
คนเราอาจเปลี่ยนได้บ้างถ้าได้รับการสั่งสอนถูกทางตั้งแต่เด็ก

เจ้าตัว “สันดาน” นี้คืออะไร? อย่างที่เขียนในเล่มที่แล้วว่า
พระพุทธเจ้าอธิบายการเกิดของมนุษย์ว่า
เมื่อไข่ของมารดาผสมกับเชื้อของบิดาแล้วจะเกิด “กาย ทสกะ”
ทำให้มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เป็นซึ่งจะมีส่วนคล้ายบิดามารดา
มี “ภาวะทสกะ” ที่ทำให้กำหนดเพศว่าเป็นเพศอะไร
และ “วัตถุทสกะ” เป็นโครงสร้างของสมอง
ที่ทำให้ลูกมีสติปัญญาเทียบเคียงพ่อแม่ ในทาง วิทยาศาสตร์
เราก็อธิบายเรื่องของพันธุกรรมไว้ตรงกัน
แต่ก็ยังอธิบายว่าอะไรทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นนี้ ไม่ได้อยู่ดี
ยกตัวอย่างการที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์นี้
ไม่ได้ เกิดจากความชอบความต้องการของตนเอง
เพราะสิ่งที่ชอบที่สุดตั้งแต่เด็กคือ การเป็นเกษตรกร
แต่บังเอิญในยุคที่เรียนจบจะเข้ามหาวิทยาลัย
ยังไม่มีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีแต่วิทยาลัยแม่โจ้
ผู้เขียนเลยไม่ได้ เป็นเกษตรกร
ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลความต้องการของครอบครัว
ซึ่งเป็นครอบครัวทหารน่าจะเป็นทหาร
บังเอิญใจผู้เขียนไม่ชอบเป็นทหาร
(แต่ในที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตก็ต้องไปเป็นทหาร
อาจเรียกได้ว่าเป็นไปตามดวง เพราะหมอผูกดวงที่มีชื่อเสียงในอดีตท่านหนึ่ง
คือ พล.ต.พิสนห์ ทองดีเลิศ ท่านทำนายไว้ว่า
อนาคตของผู้เขียนจะเด่นมาก โตขึ้นจะเป็นครู หรือเป็นแพทย์
และ จะเป็นทหารมียศเป็นถึงนายพันตรี!
ท่านผู้อ่านคงสง สัยว่าทำไม เป็นพันตรีจึงเด่น
ในสมัยนั้นยศสูงสุด ที่คนธรรมดา จะเป็นได้คือพันเอกซึ่งมีเพียงไม่กี่คน
ดังนั้นเป็นพันตรีก็เทียบกับสมัยนี้เป็นนายพลแล้ว
ซึ่งเมื่อ ผู้เขียนจบแพทย์ หลังเป็น แพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ที่ศิริราช
แล้วก็ออกมาหางานทำ ไปดูโรงพยาบาลต่างๆ หลายแห่ง
เขาอยากได้ผู้เขียนแต่ตนเองมาพอใจเอาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ซึ่งในยุคนั้นเหมือนโรงพยาบาลต่างจังหวัด มีคนไข้นอนในหออยู่ 40 คน
ไม่มี หมอประจำ นอนเตียงละ 2 คนก็มี ไม่มีผ้าปูที่นอน
ทั้ง ward มีเข็มฉีดยา 2 อัน เลยเลือกมาอยู่ เพราะมีงานทำ มากดี
ได้ยศเป็นร้อยโทและอยู่จนเป็นนายพันตรีจริงๆ ตามคำทำนาย
พอดีทางมหาวิทยาลัยขอโอนไปเป็นหัวหน้าหน่วย
โรคทางเดินอาหารและอายุรศาสตร์เขต ร้อนโรงพยาบาลรามาธิบดี
แต่หมอดูผิดไปหน่อยที่หลัง จากโอนมาพลเรือน
แล้วมี คำสั่งกลาโหมติดตามมาให้ เลื่อนยศเป็นพันโทย้อนหลัง
คือเรียกว่า ผู้เขียนได้ดี กว่าดวง!)

เหตุที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์ ก็เพราะบังเอิญไปเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ
ซึ่งระยะนั้นเป็น ที่รวมคนเก่งจากโรงเรียนต่างๆ เพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย
มีเพื่อนที่เก่งๆ ทั้งนั้น ทุกคนอยากเข้าเรียนแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง
ถึงเราไม่เก่งแต่ก็สมัครรวมกลุ่มไปกับเขา
และบังเอิญสอบติดแพทย์ด้วย
ก่อนหน้านี้ คุณแม่ป่วยหนักและเสียชีวิตในช่วงหลังสงคราม
ที่ไม่มีหมอไม่มียารักษา เป็นเหตุจูงใจให้เห็นความสำคัญของแพทย์
จึงเต็มใจไปสอบเข้าแพทย์

ตามที่เขียนไว้แล้วว่าผู้เขียนยังอธิบายไม่ได้ว่า
ทำไมผู้เขียนจึงเป็นอย่างที่เป็น
ส่วนหนึ่งคือ “ดวง” หรือ จังหวะของชีวิต ซึ่งใครเป็นคนกำหนด หรือเกิดขึ้นเอง
ถ้าเป็นฮินดูคงจะบอกว่า พระพรหมเป็นผู้กำหนดมา
ทางคริสต์คงบอกว่า เป็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า
แต่ทางพุทธบอกว่าเป็น “กรรมกำหนด” คือ สิ่งที่ตัวเอง
ได้เคยทำมาแล้วในอดีตชาติ จนถึงปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนด
“ปัจจุบันคือผลของอดีต” มันมาควบคุมเราได้อย่างไร
มันมากับเราตั้งแต่เมื่อเราอยู่ในครรภ์ของแม่ คือ “จุติ วิญญาณ”
ที่เข้ามาในรูปที่เราเรียกว่า “คันธัพพะ” เป็น “ปฏิสนธิวิญญาณ”
มาพร้อมกับข้อมูลของกรรมเก่า ที่เราแต่ละคน
ได้สร้างสมมาในอดีต เทียบกับความรู้ปัจจุบัน
ก็คือข้อมูลที่บรรจุไว้ในแผ่นดิสก์ เพื่อมาใช้ในชาติภพนี้
ดังนั้น ส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราเป็นอย่างนี้
จะฉลาดจะโง่ จะดีจะเลว จะตกอับ จะรุ่งเรือง
ก็อยู่ที่วิบากกรรมที่ “เรา” ได้สร้างสมมาในอดีต
ที่แสดงออกมาให้เห็น ส่วนหนึ่งเรียกว่า “สันดาน” ของทุกคนนั่นเอง

สรุปได้ว่า เหตุที่ทำให้ใครก็ตามเป็นคนดี หรือได้ดี
ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายอย่าง
ส่วนสำคัญ ที่สุดมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ “วิญญาณ และวิบากกรรม” ของตนเอง
เรียก ภาษาชาวบ้านว่า “สันดานและดวง” ของคนนั้นๆ
ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรมากไม่ได้ อย่างมากคงเพียงตบแต่งได้
อย่างที่พูดกันว่า สันดอน ขุดได้ สันดานแก้ไม่ได้
ดังนั้น ลูกที่เราจะเลี้ยงดูนั้นบาง ครั้งไม่ว่าเราจะเลี้ยงดูอย่างไรก็ทำให้เขาดีไม่ได้
และไม่ได้ดี ซึ่งพ่อแม่จะต้องทำใจ ถือว่าเป็นวิบากกรรมของเราด้วย
ในส่วนที่มีการผูกพันกับเขา มาในอดีตชาติ


อย่างไรก็ตามมีส่วนหนึ่งที่พ่อแม่อาจให้การ อบรมดูแลและแก้ไขได้ ได้แก่

1. การทำตนให้เป็นแบบเยี่ยงอย่างที่ดี

ข้อนี้เป็น ข้อสำคัญที่สุด ลูกจะยึดเอาพ่อแม่ เป็นแบบอย่าง
นิสัยหลายอย่างได้มาจากพ่อแม่ อ
ย่างที่โบราณว่า “ลูกปู เดินตามแม่ปู” หรือ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”
ผู้เขียนเอง ได้ความซื่อตรง และระเบียบวินัยมาจากพ่อที่เป็นทหารรุ่นเก่า
ที่มีกิตติศัพท์ทั่วกองทัพบกในยุคของท่าน
และคงได้ความเมตตาต่อคน และสัตว์ทั้งหลายจากคุณแม่
ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่ผู้เขียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ
แต่ยังจำได้ถึงความเมตตาอบอุ่นของคุณแม่

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าครอบครัวใด พ่อแม่มีปัญหา
ทะเลาะเบาะแว้งหงุดหงิดทั้งวัน หรือ พ่อเมาเหล้า แม่เล่นการพนัน
ครอบครัวแตกแยก จะมีผลกระทบต่อนิสัยของลูกแน่นอน
พ่อแม่ที่หวังจะให้ ลูกเป็นคนดี จึงจะต้องดูที่ตัวเองด้วยให้เป็นแบบอย่างที่ดี
ให้ความรัก ความใกล้ชิดอบอุ่นและอาทร

2. สอนให้ลูกรู้จักคิด ค้นคว้า หาเหตุผล และความถูกผิด
เป็นคุณสมบัติข้อแรกที่พ่อแม่จะต้องปลูกฝัง ให้ลูกตั้งแต่เด็ก
โดยใช้ประสบการณ์ของเด็กเอง ที่รู้อะไร หรือพบอะไรมา ให้มาคุยให้ฟัง
และให้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ
และพ่อแม่เป็นผู้สนับสนุน หรือชี้แนะในสิ่งที่เขายังมองไม่เห็นนึกไม่ถึง
เมื่อลูกโตขึ้น ก็ให้มีการนำเรื่องที่เกิดขึ้นต่างๆมาคุยและชี้มุมมองต่างๆ
อย่าให้ลูกมองอะไรในแง่มุมเดียว
ชี้ให้พยายาม มองในมุมอื่นทัศนะอื่น
ซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มี วิจารณญาณที่ดี คงทน ต่อสังคมปัจจุบัน
ที่มีการชี้นำชี้ แนะด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย และส่วนมากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ข้อสำคัญคือพ่อ-แม่จะต้องมีคุณสมบัติอันนี้ด้วย
ถ้าเด็กและคนรุ่นใหม่มีคุณสมบัติข้อนี้ ข้อเดียว
จะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปในทางที่ถูกแน่นอน
แทนที่จะเลอะเทอะอย่าง ในปัจจุบัน

3. สอนให้ลูกมีวินัย เคารพในกติกาของสังคม
เป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งที่คนไทยยุคใหม่ควรมี เพื่ออยู่ร่วมกันได้ด้วยดี
จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันคนไม่มีวินัย ไม่มีการปฏิบัติตาม กฎระเบียบหรือกติกาต่างๆ
นิยมใช้ กฎหมู่เป็นหลัก จนทำให้เกิดปัญหาแก่สังคมไทย
และ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆที่ควรแก้ไม่ได้
ที่เห็นตัวอย่างชัดเจน คือ เรื่องของการขับรถไม่เป็นตามกฎจราจร
จนทำให้เกิดปัญหาในเมืองใหญ่ทุกเมือง
อยากให้ดูตัวอย่าง คนญี่ปุ่น อังกฤษ หรือเยอรมัน
ข้อหนึ่งที่ทำให้ทั้ง 3 ชาติมั่นคงเป็นเจ้าโลกได้หลายยุค หลายสมัย
ก็เพราะ คำว่า วินัยนี้ประการหนึ่ง
เพราะไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อข้อ ระเบียบอันใดอันหนึ่ง
ถ้ามีการโต้แย้งกันแล้ว ผลสรุปออกมาเป็นอย่างใด
ทุกคนจะ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ซึ่งมีบางอย่างเราดูว่า เขาไม่ใช้สติปัญญาแก้ไขสถานการณ์เลย
ผิดจาก คนไทยที่แก้ปรับตัวตามสถานการณ์เสียจนขาดวินัย ไม่มีกติกา
จึงทำให้สังคม วุ่นวาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ถ้าใครเล่นกอล์ฟ และมีญี่ปุ่นเล่นอยู่ข้างหน้าจะค่อนข้าง อึดอัดว่าญี่ปุ่นเล่นช้า
เช่น หลุมพาร์ 4 ตามปกติควรตี 2 ครั้ง ลูกจะขึ้นอยู่บนกรีน
ดังนั้น กฎจึงมีว่าถ้ามีคนอื่น อยู่บนกรีน ห้ามตีครั้งที่ 2
จะเห็นคนญี่ปุ่นที่ตีครั้งที่ 1 ไปได้เพียง 50 หลา
จะตีอีก 2 ครั้งก็ยังอาจไม่ถึงกรีน แต่เขาจะไม่ยอมตี
ต้องรอคนลงจากกรีนตามกติกาก่อน
ส่วนคนไทยขนาดอยู่ในระยะที่ตีถูกดีๆลูกจะวิ่งถึงกรีนได้
แม้ว่าปกติตีไม่ถึง ก็จะตีไป ทั้งๆคนกำลังอยู่บนกรีน
ถ้าบังเอิญลูกถูกดี ลูกวิ่งขึ้นกรีน ต้องวิ่งไปขอโทษเขา เป็นต้น

เด็กที่จะโตขึ้นโดยมีระเบียบวินัยนั้น จะดูตัวอย่างของพ่อแม่และดูวินัยในบ้านเช่นกัน
พ่อแม่จึงต้อง มีกติกาสำหรับลูกในบ้าน และต้องรักษากติกานั้นๆ
ให้เด็กได้เห็นและ ปฏิบัติตาม แต่พ่อแม่สมัยนี้เอาใจลูกมากเกินไป
ปล่อยตามใจจนเด็กขาดวินัย
สมัยก่อนโรงเรียน ก็เป็นที่บ่มวินัยที่ดีเพราะครูจะเคร่งครัด
เด็กทำผิดจะ ถูกตี เด็กนักเรียน ต้องแต่งเครื่องแบบ
แต่ปัจจุบันเห็น ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องคร่ำครึ
จะมีการแก้ไขว่า เด็กนักเรียนแต่งกาย อย่างไรก็ได้ไปโรงเรียนตามแบบอเมริกัน
และไม่ทราบว่าจะเอาอะไร ไปเป็นแบบอย่างให้เด็กเห็นว่า ระเบียบวินัยเป็นสิ่งสำคัญ
ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าคนไทย ส่วนใหญ่ขาดสิ่งนี้
ประเทศชาติจะเจริญและ สงบสุขไม่ได้

4. สอนให้ลูกรู้จักค่าของเงินและใช้เงินให้เป็น
ข้อ นี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่าง หนึ่งที่พ่อแม่ควรสอนลูก
ไม่ใช่เฉพาะในยุควิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้
แต่ ชจะเป็นสิ่งดี ทุกยุคทุกสมัย
ถ้าคนไทยรุ่นใหม่มีนิสัยอันนี้ติดตัว เราจะไม่มีวันพบคำว่า IMF
หรือ วิกฤตเศรษฐ กิจที่เกิดขึ้นแก่เราใน 2 ปีนี้
แต่เพราะคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักคำว่าประหยัด
แต่มีความ “เว่อร์” ตามกระแสสังคมและสื่อโฆษณา
สังเกตว่าพ่อแม่สมัยนี้ปรนเปรอลูกมาก
ให้ลูกใช้เงินตั้งแต่เด็กจนเห็นเงินไม่มีค่า อยากได้เท่าไรก็ให้
ไม่มีคำว่า “ออม” ทรัพย์ พ่อแม่สมัยนี้
จัดงานวันเกิดให้ลูกตั้งแต่เด็กๆ โรงเรียนหยุดพาลูกไปเล่นสวนสนุกต่างประเทศ
มิฉะนั้นจะน้อยหน้าเพื่อนที่ ไม่ได้ไปต่างประเทศ
ให้ของเล่นจนทิ้งๆขว้างๆ โตขึ้นก็แต่งตัวใช้ของต่างประเทศราคาแพงเป็นต้น
เป็นการทำให้เด็กฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
สมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กพ่อแม่ สอนให้เก็บเงินออม
ให้เงินไปโรงเรียนรวมค่ารถราง
ผู้เขียนจะ ประหยัดโดยเดินกลับบ้านแทนขึ้นรถรางบ้าง
เหลือเงินก็เก็บใส่กระปุกไว้แล้วไปฝากออมสิน
หรือซื้อของที่ต้องการมากๆ
วันเกิดพ่อแม่จะให้เงินไปฝากออมสิน ของเล่นต่างๆก็จะทำเอง
เช่น ซื้อดินน้ำมัน หรือผสม ดินน้ำมันเอง ปั้นเป็นรถยนต์ รถไฟมาเล่น
เพราะยากที่พ่อแม่จะซื้อของเล่นให้
ถ้าได้มาสัก 1 ชิ้นก็จะดูแลถนอมเล่นเก็บอย่างดี
ผู้เขียนจึงรู้จักค่าของเงิน รู้จักประหยัด รู้จักออม
เมื่อมีเงินเก็บพอจึงซื้อของที่จำเป็น หรือมีประโยชน์ และคงทน
ไม่เหมือนคนสมัยนี้ที่อยาก ได้ของต่างๆเร็ว
ใช้ชีวิตกับเงินผ่อนหรือเล่นแชร์ กู้หนี้ ยืมสิน มาชื้อของที่บ่อยครั้งไม่จำเป็น
ไม่มีประโยชน์ ทั้งๆที่ยังไม่มีเงินออม
เมื่อเกิดปัญหาตกงาน จึงไม่สามารถแก้สถานการณ์ได้จนถึงฆ่าตัวตาย
เมื่อผู้เขียน มีลูกก็ได้อบรมสั่งสอน อย่างเดียวกัน
ให้รู้จักรับผิดชอบ ใช้เงินในส่วนของตนเองตั้งแต่เด็ก
รู้จักออมเพื่อซื้อสิ่ง ที่ตนอยากได้
ถ้าพ่อแม่สมัยนี้จะสอนลูกเหมือนคนสมัย ก่อนจะทำให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคง

5. สอนให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อตนเองและ สังคม
คนที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อหน้าที่ของตน
จะทำให้เป็นคนมีคุณค่าต่อสังคม และมีโอกาสได้ดี
ต้องอบรมนิสัยนี้ตั้งแต่เด็ก ให้รู้จักหน้าที่การไป โรงเรียน
การทำการบ้านที่ได้มอบหมายให้เสร็จ
มิฉะนั้น จะไม่ได้ไปเล่น เป็นต้น ไม่ใช่ตามใจลูกจนเป็นเด็กเกเร ไม่เรียนหนังสือ
ถ้าเขาได้รู้จักปฏิบัติตามหน้าที่
เมื่อโตขึ้นไปทำงานก็จะมีความรับผิดชอบ ปฏิบัติงานได้เป็นผลดีมีความก้าวหน้า

6. ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ลูกติดยาเสพติดชนิดต่างๆ หรือติดเอดส์
เป็นสิ่งสำคัญสุดท้ายของพ่อแม่ในยุคนี้
เพราะมิฉะนั้นไม่ว่าจะอบรมสั่งสอนมาดีอย่างไรก็ตาม ลูกจะไม่มีอนาคต
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากกว่า ที่ทุกคนคิด
เพราะเด็กยุคนี้ติดยาเสพติดต่างๆ ชนิดมากมาย หลายแห่งเกินครึ่งของโรงเรียน
และไม่มีท่าทีว่า จะหยุดยั้งลงได้ เพราะเด็กเป็นตลาดใหญ่
และเป็นวัยอยากรู้อยากลองและชักจูงง่าย กว่าจะรู้ตัวก็เลิกไม่ได้
แล้วติดแล้วเลิกยากจริงๆ พ่อแม่จะต้องพยายามพูดสั่งสอนตั้งแต่เล็กๆ
ให้ลูกเห็นโทษและกลัว ไม่อยากลอง
และที่สำคัญคือ ต้องสอนให้ลูกเลือกเพื่อนด้วย
และดูเพื่อนของลูก เพราะถ้าได้เพื่อนดีก็จะรอดตัวไป
สนับสนุนให้ลูกพาเพื่อนมากินมาเล่น หรือ มาอยู่ ที่บ้าน เพื่อจะได้ดูได้ใกล้ชิด

ทางป้องกันอีกทางหนึ่งก็คือ พยายามสนับสนุนให้ลูกได้เล่นกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลาย อย่าง เพราะจะทำให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง
และได้ เพื่อนที่เป็นนักกีฬาด้วยกัน โอกาสจะติดยาน้อย
รวมทั้ง รู้จักการรู้แพ้รู้ชนะในการเล่นกีฬาและรู้จักทำงานร่วมเป็นกลุ่มเป็นคณะ
นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้เล่น ดนตรีหรือทางศิลป์ เช่น วาดรูป
เพื่อ ให้เด็กมีจิตใจที่ สงบอ่อนไหว มีความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี
เมื่อลูก ยังเล็กๆ ผู้เขียน เป็นผู้พาเขาไปหัดเล่นเทนนิสที่สนามกีฬาแห่งชาติ
พาไปเรียนดนตรีที่สยามยามาฮ่า
ซึ่งลูก ทั้ง 2 คนก็เล่นทั้งกีฬาและดนตรีได้
อีกระยะหนึ่งที่ สำคัญคือเมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว
ต้องดูแลใกล้ชิดแต่ให้อิสระแก่เขา เพราะถ้าเราสอนเขาดีแล้ว
เขาจะรู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี เพราะโอกาสที่เพื่อนที่เขาคบจะ ติดยาเสพติดยังมีอยู่

นอกจากยาเสพติดที่ต้องระวังที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การติดเอดส์
จะต้องคุยให้ข้อมูล ถึงความน่ากลัวของโรคให้เด็กฟังอยู่เสมอ โดยเฉพาะวิธีติดโรค
เมื่อถึงวัยที่มีโอกาสติดทั้งลูกผู้ชายและผู้หญิง จะต้องสอนวิธีป้องกันตัว
ป้องกันโรคทางด้านของเพศสัมพันธ์ อย่างเปิดเผยจริงจัง
มิฉะนั้นจะสายเกินแก้ ขอให้ ทุกคนรู้ว่าโรคเอดส์อยู่ใกล้ตัวทุกคน มากที่สุดแล้ว

พ่อแม่จะต้องดูแลลูกใกล้ชิดพอสมควร ในการออกไปเที่ยวนอกบ้าน
โดยเฉพาะ ในเวลาที่ไม่ได้ไปโรงเรียน
ควรจะต้องรู้ว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ไปกับใคร
ซึ่งเด็กเมื่อถึง วัยหนุ่มสาวไม่ค่อยชอบให้พ่อแม่ถาม
ที่สำคัญคือ ต้องอย่าห้ามหวงโดยไม่มีเหตุผล
ต้องปล่อยให้เขาไปตามใจเขาบ้าง ถ้าเห็นว่าพอจะปล่อยได้
แต่ไม่ใช่ปล่อยมากจนเลยเถิด อย่างเด็กหนุ่ม สาวรุ่นใหม่

7. สอนให้ลูกมีความมานะพยายาม มุ่งมั่น และ อดทน
ตั้งแต่เด็กเมื่อลูกต้องการอะไรหรืออยากได้อะไร
ก็ต้องให้ลูกมีความพยายาม ที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการ
สอนให้มีความอดทนเพื่อสิ่งที่ต้องการ จนเป็นนิสัยติดตัว
เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมานะ พยายาม
ทุกคนคงจะได้อ่านหรือทราบ พระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “พระมหาชนก”
ซึ่งเป็นสิ่งที่ เตือนใจชาวไทยทุกคนในปัจจุบัน ให้นึกถึงคุณสมบัติ อันสำคัญข้อนี้
ที่จะได้ช่วยกันทำให้ประเทศชาติ ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงได้

นอกจากความสำคัญ 7 ข้อข้างบนแล้ว
ยังมีข้อสำคัญรองลงมาที่พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี จะต้องทำอีก ได้แก่


8. สอนให้เป็นคนมีสัมมาคารวะ รู้จักพูด อะไรควร พูดไม่ควรพูด
วางตัวต่อคนอื่นและผู้ใหญ่ได้ดี รู้อะไร ควรไม่ควร

ผู้เขียนเคยเห็นพ่อแม่พาลูกมาเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาล
และยืนหัวร่อที่ลูก 2 คนวิ่งเล่นส่งเสียงดัง และไปทุบประตูห้องคนไข้ต่างๆ
จนต้องให้พยาบาลไปห้ามเด็กไม่ให้ทำ เป็นต้น
เรียกว่าพ่อแม่เป็นคนไม่รู้ ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกจึงเป็นเช่นนั้น
ในเรื่องของการพูด อยากขอให้พ่อแม่ดูแลให้ลูกพูดภาษาไทยได้ถูกต้องด้วย
โดยเฉพาะเรื่องของตัว ร. และ ล.
ซึ่งน่ากลุ้มใจ ที่คนรุ่นใหม่พูด ร. ไม่ได้
บางคนไม่ได้ทั้ง ร. และ ล. ขอเราอย่าได้ทำลายภาษาของเราด้วยเลย

9. สอนให้เด็กช่วยงานบ้าน
ให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่จะต้องช่วยกันทำงานตั้งแต่เด็กๆ

เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ช่วยล้างจาน ซักผ้าตัวเองฯ
ไปจนถึงการทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดหญ้าฯ ทำอาหารง่ายๆ
ซึ่งถ้าสอนเด็กๆ เป็นวัยที่กำลังอยากทำอยากลอง จะทำให้เขารู้หน้าที่
และเป็น ประโยชน์ติดตัวเขาต่อไป
เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยได้ทำ เพราะอ้างว่า มีการบ้านมากไม่มีเวลาช่วย
ปล่อยให้คนใช้หรือพ่อแม่ทำเอง
เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กช่วยคุณ พ่อคุณแม่ทำงานเหล่านี้ ทุกอย่าง
รวมทั้งทำสวนครัว เลี้ยงไก่ไว้กินไข่ในยามสงคราม
ซึ่งเมื่อโตขึ้นจึงรู้จักงานเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อมาดูแลโรงพยาบาลจึงดูแลได้

10. สอนให้เป็นคนมีใจเมตตากรุณา ต่อคนอื่น หรือต่อสัตว์ต่างๆ
ไม่ใช่สอนให้ลูกทำร้าย สัตว์ฆ่าสัตว์ ไม่ว่าเล็กน้อยอย่างไร
ให้เห็นใจผู้ยากไร้ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
และ สอนให้ๆความช่วยเหลือแก่เขาเหล่านั้น
ความเมตตาจะช่วยค้ำจุนโลกและสังคมรวม ทั้งเป็นผลดีแก่ตนเองด้วย

11. สอนให้ลูกเป็นนักอ่านหนังสือ
ควรสร้างนิสัย ให้ลูกชอบอ่านหนังสือ
เริ่มด้วยการหา หนังสือสำหรับเด็กมาอ่านให้ฟังทุกคืนก่อนนอน
จะทำให้เด็กสนใจ หนังสือ และเมื่อเด็กอ่านได้ก็หาหนังสือให้อ่าน
สอนให้อ่านหนังสือทุกประเภท จะทำให้มีทัศนกว้างขวาง
ความรู้รอบตัวกว้างขวาง ลึกซึ้ง
และมักจะทำให้เป็นคนมีความคิดความอ่าน และมี พิจารณญาณที่ดี
ความจริงส่วนหนึ่งคงเป็นจากนิสัยประจำตัวผู้เขียน
โตขึ้นในสมัยสงคราม หาหนังสืออ่านได้ยาก
ช่วงหนึ่งกระดาษ พิมพ์ใช้กระดาษฟาง
คุณพ่อเป็นคนอ่านหนังสือ มีหนังสืออ่านเล่นเต็มบ้าน
ผู้เขียนอ่านตั้งแต่เด็ก เมื่อเป็นนักเรียนจะขี่จักรยานไปเช่าหนังสืออ่านเล่น
จากร้านเช่าหนังสือชื่อดังในสมัยนั้นที่เทเวศม์จนหมดร้านแล้ว ก็ไปหอสมุดแห่งชาติ
หาหนังสืออ่านทุกสัปดาห์ ลูกสาวก็เป็นนักอ่านหนังสือตัวยงตั้งแต่เด็กๆ
เห็นหนังสืออะไร เป็นจับอ่านนิ่งอยู่ตรงนั้น
ในประเทศที่เจริญทั้งหลาย คนของเขาอ่านหนังสือมากทั้งนั้น
แม้ประเทศที่มีภาษา เฉพาะของตนเอง เช่น ญี่ปุ่น
เขาจะรู้เรื่องของโลกเป็นอย่างดี
เพราะ หนังสือสำคัญๆในภาษาอื่นๆ จะได้รับการแปลมาเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด
เด็กไทยเราอ่านหนังสือน้อยไป ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีหนังสือดีๆให้อ่าน
เด็กอ่านแต่การ์ตูนและหนังสือที่ไร้สาระ
เราต้องสร้าง ตลาดหนังสือให้ได้ก่อน
เพื่อคนไทยจะมีสติปัญญา จากการอ่านมากขึ้น

12. สอนให้รู้จักคนดี-คนชั่ว
ต้องอบรมลูกให้รู้จัก พิจารณาว่าใครดี ใครชั่ว ยกย่องคนดี ไม่ยกย่องคนชั่ว
ไม่หลงเชื่อข่าวสารจากสื่อต่างๆ ซึ่งมักจะไม่เที่ยง
บ่อยครั้งคนชั่วสารเลว ได้รับการยกย่องจากสื่อ เพราะ อิทธิพลของอำนาจหรือเงิน
คนดีไม่ได้รับการยกย่อง และ บางครั้งกลับถูกใส่ร้าย
เพราะไปขัดขวางผลประ โยชน์ของคนชั่ว
หรือสื่อนับวันความสำคัญของสื่อจะมากยิ่งขึ้น
เด็กรุ่นใหม่จะต้องมีพิจารณญาณที่ดี โดย อาศัยการชี้แนะจากพ่อแม่

13. สอนให้ลูกรู้จักและรักษาวัฒนธรรมของเรา
ประเทศไทยมีประวัติย้อนหลังอันยาวนานเป็นพันปี
มีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง อย่างที่ควรจะภูมิใจและ รักษาไว้
แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เยาวชนไปรับวัฒนธรรมใหม่
ซึ่งหลายอย่างไม่ใช่ของดีจากประเทศที่เกิดใหม่มีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี
และละเลยวัฒนธรรมของเรา
ผู้เขียนชอบคนที่มาจากต่างจังหวัด
เพราะเป็นคนที่ได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมชาวบ้าน
มักจะ เป็นคนดี จิตใจงามน่ารัก ซื่อสัตย์ไว้ใจได้
มีความสมถะ ปกครองง่าย เป็นผู้ร่วมงานที่ดีมากกว่าผู้ที่โตในเมืองใหญ่ๆ
จึงหวังว่าพ่อแม่จะพยายามให้ลูก ได้รู้จักและปฏิบัติตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน
การหาโอกาสพาลูกไป ในชนบทบ่อยๆ จะทำให้ลูกมีความนุ่มนวลของจิตใจ
รักธรรมชาติ อย่าพาลูกไปแต่ต่างประเทศ
ซึ่งได้เห็นแต่ ความเจริญทางวัตถุแต่อย่างเดียวเลย

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าห่วงสำหรับเด็กรุ่นใหม่ คือ วัฒนธรรมการเบี่ยงเบนทางเพศ
จะเห็นว่า มีเด็กชายที่ มีลักษณะเป็นกระเทยมากขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะเด็กที่ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว หรือเด็กผู้หญิง
แต่ มีลักษณะและจิตใจเป็นผู้ชาย
ประกอบกับในยุคนี้มี การชักจูงจากสื่ออย่างมาก และออกนอกหน้า
เห็นได้จากละครโทรทัศน์ทุกเรื่อง จะต้องมีตัวเล่นเป็นกระเทยออกมา
เด็กๆที่กำลังเจริญวัยดูแล้วเห็นเป็นดี
นี่คือ ความพิการของสังคม เป็นสังคมวิปริต น่าห่วงเป็น อย่างยิ่ง

14. ท้ายที่สุด พ่อแม่จะต้องชักจูงให้ลูกสนใจ
และเข้าใจศาสนาของตนเอง และปฏิบัติตามคำสอนหรือธรรมะของศาสนานั้นๆ

ซึ่งในเรื่องนี้ ศาสนาพุทธมีจุดอ่อนที่สุด
เพราะไม่มีกิจกรรมชักจูงเด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เลย
มีแต่พิธีกรรมซึ่งต่างจากศาสนาอื่นๆ
ดังนั้น พ่อแม่จึงมีความสำคัญและมีบทบาทมากที่สุด
ที่จะต้องชักจูงให้ลูกมีความสนใจ และศรัทธาในพุทธศาสนา
ซึ่งอาจกระทำได้โดยให้ลูกไหว้พระสวดมนต์สั้นๆ ตั้งแต่เด็ก โดยให้ทำประจำทุกคืน
พาลูกไปวัดต่างๆ บ่อยๆ ให้หัดทำบุญทำทาน ให้ดูถาวรวัตถุ
เล่าประวัติของสถานที่ให้ฟัง ในวาระสำคัญต่างๆ ก็พาไปทำกิจกรรมที่เด็กจะสนใจ
เช่น การเวียนเทียน การเล่าประวัติพระพุทธเจ้าให้ฟัง
การให้ลูกเข้าใจหลักธรรมสำคัญๆ เช่น การปฏิบัติตามศีลห้า
ซึ่งจะทำให้เขาเป็นคนดีของสังคม ไม่โกหก ไม่ลักขโมย
ซื่อสัตย์ ไม่โกงกินบ้านกินเมือง อย่างที่เห็นกันตำตาอยู่ทุกวันนี้
การอธิบายถึงเรื่องของกรรม ผลของกรรม
โดยเอาตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง

การสอนให้นั่งสมาธิโดยพาไปที่วัดที่มีการปฏิบัติ
ซึ่งจะช่วยสร้างสมาธิให้แก่เด็กอันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาด้วย
เมื่อโตขึ้นก็ให้ศึกษาลึกซึ้งขึ้นถึงสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คนสมัยใหม่ได้
ถ้าเป็นลูกชายถึงวัยที่บวชพระได้
ถ้ามีโอกาสควรให้บวชโดยเลือกวัดต่างจังหวัดที่สงบ
และมีการปฏิบัติโดยมีพระที่มีปฏิปทาที่ดีเป็นผู้ดูแล
ถ้าลูกมีความสนใจและเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาแล้ว
เป็นที่แน่นอนว่า การดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าจะเป็นไปได้ด้วยดี
เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนดีของสังคม
และควรจะได้ดีตามความต้องการของพ่อแม่อย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นจะเป็นปัจจัยปัจจุบันที่จะนำไปสู่ผลในอนาคต
ทั้งในชาตินี้ จนถึงชาติหน้าภพหน้าด้วย

อย่างที่เขียนไว้แต่ต้นแล้วว่าผู้เขียนไม่เคยศึกษาตำราเลี้ยงเด็ก
ที่เขียนนี้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง
ซึ่งคิดเข้าข้างตัวเองว่า น่าจะเรียกตนเองได้ว่าเป็นคนดีพอสมควร
และยังเป็นคนที่ได้ดีตามเกณฑ์ของสังคมปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นฐานะแพทย์ผู้รักษาคนไข้มาถึง 45 ปี
จนถึงบัดนี้ก็ยังมีคนไข้อยากให้รักษาอยู่ หรือในฐานะของนักวิชาการ
ที่มีผลงานวิจัยพบโรคใหม่ๆ ในเมืองไทยหลายโรค
ได้เป็นครูแพทย์ เคยเป็นนายกสมาคมวิชาชีพทางแพทย์ 2 สมาคม
เป็นกรรมการก่อตั้งราชวิทยาลัยอายุรแพทย์คนหนึ่ง
เขียนตำราแพทย์ภาษาไทย และตำราแพทย์ต่างประเทศที่ใช้ทั่วโลก
หรือจะดูในฐานะของผู้บริหารที่ทำให้โรงพยาบาล เล็กๆ ยืนยงมั่นคงมา 30 ปี
และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ได้ทำงานทางการเมือง
ในฐานะวุฒิสมาชิกติดต่อกัน 10 ปี
และไม่ได้ไปนั่งเฉยๆ แต่มีผลงานในรัฐสภา
เช่น กระทู้ถามรัฐบาล เรื่องภัยจากสารพิษในอาหาร
และยับยั้งการสร้างเขื่อนน้ำโจน เป็นต้น
หรือถ้าจะวัดด้วยเหรียญตราก็ได้รับพระราชทานสูงเท่าที่คนธรรมดาพึงได้
ผู้เขียนเชื่อว่า ตนเองได้ทำประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่น แก่สังคม
แก่สถาบันที่เกี่ยวข้อง และแก่ประ เทศชาติแล้ว

ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ท่านอื่นๆ
ที่จะพิจารณาบัญญัติทั้ง 14 ประการ นี้ไปใช้ในการอบรมลูกหลาน
เพื่อให้เขาเป็นคนดีของสังคม และอาจเป็นคนที่จะ ได้ดี สมความดีของเขาด้วย
แต่ถ้าเขาไม่สามารถเป็นอย่างที่เราหวังได้ ก็อย่าเป็นทุกข์เกินไป ต้องทำใจ
เพราะต้องเข้าใจว่านอกเหนือ จากการอบรมปัจจัยที่จะทำให้ใครเป็นอย่างไรนั้น
อยู่ที่วิบากกรรมของเขาเอง ซึ่งทางแก้มีเพียงการปฏิบัติตามธรรมะของพุทธศาสนาเท่านั้น

คัดลอกจาก...วิชัยยุทธจุลสาร ฉบับ 12
http://members.tripod.com/vcymag/mag12.htm


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร