ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

บัณฑิตแม้ลำบากก็ไม่ทิ้งธรรม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=47175
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ปราชญ์บ้านนอก [ 17 ม.ค. 2014, 14:15 ]
หัวข้อกระทู้:  บัณฑิตแม้ลำบากก็ไม่ทิ้งธรรม

รูปภาพ

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล ๕ มีอัธยาศัยในทางทาน ยินดียิ่งในทาน พระโพธิสัตว์นั้นให้สร้างโรงทานในที่ ๖ แห่ง คือ ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ท่ามกลางพระนครและที่ประตูนิเวศน์ของตน แล้วทำการให้ทานอยู่เป็นนิตย์ บริจาคทรัพย์วันละหกแสน ทุกวัน

เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นให้ทาน กระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มีงอนไถอันยกขึ้นแล้ว (คือไม่ต้องทำไร่ไถนา รับเอาแต่ทานไปเลี้ยงชีพ) ภพของท้าวสักกะก็กัมปนาทหวั่นไหวด้วยอานุภาพของการให้ทาน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของท้าวเทวราชแสดงอาการร้อน ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอ ประสงค์จะให้เราเคลื่อนไปจากที่นี้ จึงทรงพิจารณาใคร่ครวญอยู่ ทรงเห็นท่านมหาเศรษฐี จึงทรงพระดำริว่า วิสัยหเศรษฐีนี้แผ่ไปกว้างขวางยิ่งนัก ให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทำไร่ไถนา ชรอย จักให้เราเคลื่อนจากที่แล้วเป็นท้าวสักกะเสียเองด้วยทานนี้ เราจักทำทรัพย์ของเขาให้ฉิบหายเสีย กระทำเศรษฐีนั่นให้เป็นคนขัดสนจน ให้ทานไม่ได้ จึงบันดาลทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนชั้นที่สุดแม้ทาสและกรรมกรให้อันตรธานหายไป

พวกคนผู้จัดทานมาบอกท่านเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย โรงทานขาดหายไป พวกข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร ๆ ในที่ที่เก็บไว้ ท่านเศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำทรัพย์สำหรับจับจ่ายไปจากที่นี้ อย่าตัดขาดทานเสียเลย แล้วเรียกภรรยามาพูดว่า นางผู้เจริญ เธอจงให้ทานดำเนินไป ภรรยานั้นค้นหาจนทั่วเรือนไม่พบแม้แต่กึ่งมาสก จึงกล่าวว่า ข้าแต่นายดิฉันไม่เห็นอะไร ๆ อื่น ยกเว้นผ้าที่เราทั้งหลายนุ่งห่มอยู่ ว่างเปล่าไปทั่วทั้งเรือน

ท่านเศรษฐีให้เปิดประตูห้องเก็บรัตนะ ๗ ก็ไม่เห็นอะไร ๆ แม้ทาสและกรรมกรอื่น ๆ ก็ไม่ปรากฏ ยกเว้นเศรษฐีกับภรรยา มหาสัตว์เรียกภรรยามาอีกแล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ เราไม่อาจตัดขาดการให้ทาน เธอจงค้นหาให้ทั่วนิเวศน์ พิจารณาดูของบางอย่าง

ขณะนั้น คนหาบหญ้าคนหนึ่ง ทิ้งเคียว คาน และเชือกมัดหญ้าไว้ระหว่างประตูแล้วหนีไป ภรรยาของ เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงได้นำมาให้โดยพูดว่า ข้าแต่นาย ดิฉัน ไม่เห็นของอย่างอื่น เว้นแต่สิ่งนี้

พระมหาสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาหญ้า เราไม่เคยเกี่ยวตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แต่วันนี้ เราจักเกี่ยวหญ้า นำมาขายแล้วให้ทานตามสมควร เพราะกลัวการให้ทานจะขาด จึงถือเอาเคียว คาน และเชือกออกจากพระนครไปยังที่มีหญ้าแล้วเกี่ยวหญ้าคิดว่า หญ้าฟ่อนหนึ่งจักเป็นของพวกเรา และจักให้ทานด้วยหญ้าฟ่อนหนึ่ง จึงมัดหญ้าเป็น ๒ ฟ่อน คล้องที่คานถือเอาไปขายที่ประตูเมือง ได้มาสกมาแล้วได้ให้ส่วนหนึ่งแก่พวกยาจก แต่พวกยาจกมีมากด้วยกัน เมื่อพวกเขาร้องขอว่า ให้ข้าพเจ้าบ้าง จึงได้ให้ส่วนแม้นอกนี้ไปอีก วันนั้น จึงไม่มีอาหารพร้อมทั้งภรรยา ให้เวลาล่วงผ่านไป โดยทำนองนี้ ล่วงไป ๖ วัน

ครั้นวันที่ ๗ เมื่อ เศรษฐีนั้นกำลังนำหญ้ามา ความที่เป็นผู้อดอาหารมา ๗ วัน ทั้งเป็นสุขุมาลชาติ พอเมื่อเจอแสงอาทิตย์กระทบหน้าผาก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็พร่าพราย เศรษฐีนั้นไม่อาจดำรงสติไว้ได้ จึงล้มทับหญ้าลงไป ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวตรวจดูกิริยาอาการของเศรษฐีนั้นอยู่ ทันใดนั้น ท้าวเธอเสด็จมาประทับยืนในอากาศ ตรัสกล่าวคาถาว่า

ดูกรพ่อวิสัยหะท่านวิสัยหะผู้เจริญ เมื่อก่อน แต่กาลนี้ เมื่อทรัพย์ในเรือนของท่านยังมีอยู่ ท่านได้ให้ทาน ทำสกลชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องหาเลี้ยงชีพแล้ว และเมื่อท่านนั้นให้ทานอยู่อย่างนี้ ความเสื่อมโภคะจึงได้มีขึ้น แต่ถ้าเบื้องหน้าแต่นี้ ท่านจะเลิกการให้ทานเสีย และเมื่อท่านประหยัดโภคะไว้ โภคะทั้งหลายจะพึงมีอยู่เหมือนอย่างเดิม ถ้าท่านให้สัญญาว่า ตั้งแต่นี้ไปจักไม่ให้ทาน เราจักให้โภคะทั้งหลายแก่ท่าน

พระมหาสัตว์ได้ฟังดำรัสของท้าวสักกะนั้นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นใคร ท้าวสักกะตรัสว่าเราเป็นท้าวสักกะ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ธรรมดาท้าวสักกะ พระองค์เองให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ บำเพ็ญวัตรบท ๗ ประการ จึงถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่พระองค์ทรงห้ามการให้ทานอันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ ทรง ทำวัตรจรรยาอันมิใช่ของอารยชน แล้วได้กล่าวคาถาว่า

ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าวไว้ว่า อริยชนผู้มีอาจาระอันบริสุทธิ์ ถึงจะขัดสนแร้นแค้น ก็ไม่ควรทำบาปกรรมอันลามกนั้น ถ้าเราทิ้งศรัทธาในการให้ทาน เพราะเหตุที่ต้องการบริโภคทรัพย์ใด ขอทรัพย์นั้นอย่าได้มีแก่เรา คือ เราไม่ต้องการทรัพย์นั้น รถคันหนึ่ง แล่นไปโดยทางใด แม้รถคันอื่นก็แล่นไปโดยทางนั้น เพราะนี้เป็นทางเดินของรถ วัตรที่เราเคยบำเพ็ญมาในอดีตก็เช่นกัน เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ก็จงดำเนินไปเถิด คืออย่าหยุดอยู่เลย เราแม้จะเป็นคนหาบหญ้าอย่างนี้ ก็จักให้ทานตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ เพราะเหตุไร ? เพราะเราจะไม่ละลืมการให้ทาน เพราะฉะนั้น เราจักให้ทานเหมือนอย่างเดิม

ท้าวสักกะเมื่อไม่อาจทรงห้ามวิสัยหะเศรษฐีนั้น จึงตรัสถามว่า ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร ?

วิสัยหะเศรษฐีทูลว่า ข้าพระบาทมิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือความเป็นพระพรหม แต่ปรารถนา พระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน

ท้าวสักกะได้ทรงสดับคำของวิสัยหะนั้นแล้วดีพระทัยจึงเอาพระหัตถ์ลูบหลัง เมื่อพระโพธิสัตว์พอถูก ท้าวสักกะทรงลูบหลังในขณะนั้นนั่นเองสรีระทั้งสิ้นก็เต็มบริบูรณ์ และด้วยอานุภาพของท้าวสักกะทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระโพธิสัตว์นั้นก็กลับเป็นไปตามปกติอย่างเดิม ท้าวสักกะตรัสว่าท่านมหาเศรษฐี นับแต่นี้ไป ท่านจงสละทรัพย์ ๑๒ แสน ให้ทานทุกวันเถิด แล้วประทานทรัพย์หาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงส่งพระโพธิสัตว์แล้ว เสด็จไปเทวสถานของพระองค์

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วน วิสัยหเศรษฐี ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

ศึกษาเพิ่มเติม :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=27&i=658

เจ้าของ:  น้องพลอย [ 22 ม.ค. 2014, 09:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัณฑิตแม้ลำบากก็ไม่ทิ้งธรรม

:b8: rolleyes ขออนุโมทนาค่ะ

เจ้าของ:  ศิษย์หลวงปู่ทา [ 24 ม.ค. 2014, 08:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัณฑิตแม้ลำบากก็ไม่ทิ้งธรรม

สาธุครับ ติดตามผลงานคุณปราชญ์บ้านนอก ตลอดนะครับ :b8:

เจ้าของ:  sirinpho [ 09 ธ.ค. 2015, 15:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัณฑิตแม้ลำบากก็ไม่ทิ้งธรรม

Kiss :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/