ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
นางโกกิลา ผู้หลงรูป http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=46994 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ปราชญ์บ้านนอก [ 20 ธ.ค. 2013, 16:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | นางโกกิลา ผู้หลงรูป |
มีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว พระอานนท์ได้เดินมาใกล้บ่อน้ำ และเห็นนางทาสี (ทาสรับใช้ที่เป็นผู้หญิง) กำลังตักน้ำอยู่ พระอานนท์ขอบิณฑบาตน้ำจากนางทาสีคนนั้น นางทาสีคนนั้นเห็นพระอานนท์แล้วรู้สึกชอบท่านเลย หลงรักท่านก็ว่าได้ ทีแรกนางทาสีคนนั้นก็ไม่กล้าทักน้ำให้พระอานนท์ เพราะเห็นว่าตัวเองมีวงศ์ตระกูลที่ต่ำกว่า พยายามยกเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง แต่สุดท้ายก็ตักน้ำใส่บาตรของพระอานนท์ หลังจากนั้นพระอานนท์ก็จะกลับวัดเชตวัน นางทาสีคนนั้นก็เดินตามพระอานนท์ตลอดทางกลับวัด แถมบอกกับพระอานนท์ว่า “ข้าพเจ้าไม่กลับ ข้าพเจ้ารักท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยพบใครดีเท่าพระคุณเจ้าเลย” แต่พระอานนท์ก็ได้สอนนางทาสีคนนั้นว่า “ความรักเป็นเรื่องร้ายมิใช่เรื่องดี พระศาสดาตรัสว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์โศก และทรมานใจ” นางทาสีคนนั้นก็ไม่เชื่อว่า ความรักทำให้เกิดความทุกข์ตามที่พระอานนท์ว่า พระอานนท์ก็ได้ยกคำพูดหลายๆคำเพื่อสอนนางทาสีคนนั้น “ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คือ อย่าจับไฟอย่าเล่นกับไฟ ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก” จนสุดท้าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาแล้วถามนางทาสีว่า “เธอรักอะไรในอานนท์ ?” “ข้าพระพุทธเจ้ารักนัยน์ตาพระอานนท์ พระเจ้าข้า” “นัยน์ตานั้นประกอบขึ้นด้วยเส้นประสาทและเนื้ออ่อน ต้องหมั่นเช็ดสิ่งสกปรกในดวงตาอยู่เป็นนิตย์ มีขี้ตาไหลออกจากนัยน์ตาอยู่เสมอ ครั้นแก่ลงก็จักฝ้าฟางขุ่นมัวไม่แจ่มใส อย่างนี้เธอยังรักนัยน์ตาของอานนท์อยู่หรือ ?” “ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์รักหูของพระอานนท์ พระเจ้าข้า” “ภคินี หูนั้นประกอบด้วยเส้นเอ็นและเนื้อ ภายในช่องหูมีของโสโครกเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็นต้องแคะไค้อยู่เสมอ ครั้นชราลงก็หนวก จะฟังเสียงอะไรก็ไม่ถนัดหรืออาจไม่ได้ยินเลย ดังนี้แล้ว เธอยังจะรักอยู่หรือ ?” นางเอียงอายเล็กน้อย แล้วตอบเลี่ยงต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์รักจมูกอันโด่งงามของพระอานนท์ พระเจ้าข้า” “ภคินี จมูกนั้นประกอบขึ้นด้วยกระดูกอ่อนที่มีโพรง ภายในมีน้ำมูกและเส้นขนกับของโสโครกมีกลิ่นเหม็น เป็นก้อน ๆ อย่างนี้เธอยังจะรักอยู่อีกหรือ ?” ไม่ว่านางจะตอบเลี่ยงไปอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงชี้แจงให้พิจารณาเห็นความเป็นจริงของร่างกายอันสกปรกเปื่อยเน่านี้ ในที่สุดนางก็นั่งก้มหน้านิ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภคินีเอย อันว่าร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง 9 มีช่องหู ช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีส อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ เข้าไว้ และซึมออกมาเสมอ ๆ เจ้าของกายจึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่รังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ภคินี ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้น เป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพ อันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ”............... คำตอบของพระสัมมสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำให้ความรักของนางต่อพระอานนท์หายไปแม้แต่นิด หลังจากนั้นนางก็ขอตัวกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นนางก็คิดได้ว่า ถ้าอยากจะอยู่ใกล้ชิด พระอานนท์ จะต้องบวชเป็นภิกษุณีเท่านั้น นางจึงขอลาเจ้านายไปบวช ระหว่างที่บวช นางก็ไม่สามารถเลิกรักพระอานนท์ได้ จิตใจของนางกระวนกระวายอยู่เสมอ (เหมือนอารมณ์แอบรักคนอื่น) จนสุดท้ายนางก็ลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์ ไปเมืองโกสัมพี และคิดว่า “การอยู่ห่างอาจจะเป็นยากรักษาโรครักได้บ้าง” นางจากพระอานนท์ได้ 3 เดือน หลังจากนั้นได้ยินข่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์จะแสดงธรรมที่เมืองโกสัมพี นางก็คิดว่าจะตัดใจจากพระอานนท์ได้แล้ว แต่เปล่าเลย นางยังตัดใจจากพระอานนท์ไม่ได้ ใจนางเริ่มปั่นป่วนรวนเร และรำพึงกับตัวเองว่า ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจ มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตเพียงสองอย่างเท่านั้น คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่งและเพราะความเรียกร้องของหัวใจอีก อย่างหนึ่ง ประการแรกแม้จะทําสําเร็จบ้าง ไม่สําเร็จบ้าง มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือนร้อนเท่าใดนักเพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุข ส่วนตัวไม่แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิถ้าไม่สําเร็จ หรือไม่สามารถสนองได้หัวใจจะรํ่าร้องอยู่ตลอดเวลา มนัจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมันหรือมนุษย์ผู้นั้นจากไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมในวันรุ่งขึ้นว่า “ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรักเพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจไม่วันใดก็วันหนึ่ง” วันหนึ่งนางก็แกล้งป่วยแล้วไปบอกเพื่อที่เป็นภิกษุณีเหมือนกันว่า อยากจะฟังธรรมของพระอานนท์ ขอให้ไปตามพระอานนท์มาให้หน่อย เมื่อพระอานนท์มาถึง พระอานนท์ท่านรู้ว่า นางแกล้งป่วย พระอานนท์ได้สอนหลายๆเรื่องให้กับนางเพื่อให้มีสติ โดยยกข้อธรรมะที่สำคัญ ๆ มา ตัวอย่างเช่น “ธรรมดาว่าไม้จันทร์นั้น แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม พระศาสดาทรงย้ำว่าพึงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม” “พระศาสดาตรัสว่าบุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้อาจอาศัยมานะละมานะได้อาจอาศัยอาหารละอาหารได้แต่เมถุนธรรมน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้” นางโกกิลาได้ฟังก็ร้องไห้ และเริ่มเข้าใจอะไรในหลาย ๆ อย่าง จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวลได้สำเร็จจนได้มรรคผลชั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์ |
เจ้าของ: | ร่มเย็นเป็นสุข [ 20 ธ.ค. 2013, 18:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: นางโกกิลา ผู้หลงรูป |
![]() ![]() ![]() เพราะแต่ละเรื่องที่นำมาโพสต์มีแต่ประเทืองปัญญาค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |