ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระนางสามาวดี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=23644 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 09 ก.ค. 2009, 23:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระนางสามาวดี |
พระนางสามาวดี ได้ชื่อว่าเป็นเลิศกว่าอุบาสิกาสาวิกาของพระพุทธองค์ในด้านผู้มีปรกติอยู่ด้วยเมตตา ![]() โดยทอดพระเนตรผ่านสีหบัญชร(หน้าต่าง) ไปยังพระลานหลวงในงานนักษัตรฤกษ์ ทอดพระเนตรเห็น นางสามาวดีซึ่งเป็นลูกสาวบุญธรรมของโษฆกเศรษฐี ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำพร้อมด้วยบริวารหญิงทั้ง ๕๐๐ คน จึงได้ส่งสาสน์ไปขอรับตัวมาแต่งตั้งเป็นอัครมเหสีตั้งแต่นั้น มเหสีองค์ที่สองทรงพระนามว่า พระนางวาสุลทัตตา เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งเมืองอุชเชนีซึ่งทำการลักพาตัวพระเจ้าอุเทนไปเพื่อจะเรียนมนต์หัสดีกันต์ (มนต์บังคับช้าง) แต่ด้วยข้อแม้ที่พระเจ้าอุเทนตั้งเอาไว้ ทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตไม่สามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ไว้ใจใคร จึงส่งพระราชธิดาไปเรียนแทนโดยทำม่านกั้นไว้ บอกพระธิดาว่าให้เรียนมนต์จากชายขี้เรื้อนที่อยู่หลังม่าน และบอกพระเจ้าอุเทนว่าให้สอนมนต์แก่หญิงค่อมหลังม่าน ไม่นานความจริงเปิดเผย ชายขี้เรื้อนและหญิงค่อมกลายเป็นราชารูปงามและเจ้าหญิงโฉมสะคราญ แล้วพากันหนีกลับเมืองโกสัมพี เมื่อถึงเมือง พระเจ้าอุเทนก็ได้ทรงแต่งตั้งพระนางวาสุลทัตตาให้เป็นมเหสีพร้อมบริวาร ๕๐๐ คนเท่าเทียมกับพระนางสามาวดีทุกประการ มเหสีองค์ที่สามพระนามว่า พระนางมาคันทิยา ผู้มีรูปงามเปรียบด้วยนางอัปสร เป็นธิดาแห่งพราหมณ์ชื่อมาคันทิยะในแคว้นกุรุ ด้วยความที่สวยเหมือนนางฟ้า จึงทะนงตนว่า จะต้องหาสามีที่รูปงามทัดเทียมกัน ไม่ว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ พ่อพราหมณ์ก็ไล่ไปเสียทุกราย ครั้งหนึ่ง มาคันทิยพราหมณ์ออกไปบำเรอไฟนอกเมือง ได้พบกับพระตถาคตก็ตะลึงลาน ว่าใช่บุรุษนี้แน่ที่คู่ควรแก่ธิดาของเรา พ่อพราหมณ์ขอร้องพระพุทธเจ้า ให้หยุดรออยู่ที่นั้นแล้วไปเรียกลูกสาวให้ไปพบพระพุทธองค์ ในครานั้นไม่เพียงแต่พราหมณ์ นางพราหมณีและนางมาคันทิยา เหล่า มหาชนทั้งหลายก็พากันแตกตื่นไปดูบุรุษผู้คู่ควรจะเป็นภัสดาของนางมาคันทิยาผู้เลอโฉม แต่พอไปถึง พระศาสดาก็ไม่ได้ประทับอยู่ที่นั้นแล้ว เหลือไว้แต่รอยพระบาทให้นางพราหมณีสังเกตเห็นและร่ายมนต์เพื่อดูลักษณะ ก็เตือนสามีว่านี่ไม่ใช่รอยเท้าของผู้มักเสพกามคุณ ๕ พ่อพราหมณ์ก็สั่งให้นิ่งเสียแล้วพากันไปตามหาพระศาสดาจนพบและมอบนางมาคันทิยาแด่พระพุทธองค์ พระตถาคตได้ทรงพิจารณาแล้วในขณะนั้น ว่าพราหมณ์และพราหมณี สมควรแก่การบรรลุมรรคผลในคราวนั้นจึงตรัสพระคาถาว่า อิจเฉ ลง เอ วัตตมานาวิภัตติ ปรัสสบท อุตตมบุรุษ “เรามิได้มีแม้ความพอใจในเมถุน เพราะเห็นนางตัณหา นางอรดี และนางราคา ไฉนเล่า? จักมีความพอใจ เพราะเห็นธิดาของท่านนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยมูตรและกรีส, เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องธิดาของท่านนี้แม้ด้วยเท้า” ในที่สุดแห่งคาถา พราหมณ์และพราหมณี ก็ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 09 ก.ค. 2009, 23:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระนางสามาวดี |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พราหมณ์และพราหมณีผู้เป็นบิดามารดาของนางมาคันทิยาเมื่อบรรลุมรรคผลแล้วก็พากันออกบวชและนำนางมาคันทิยาไปฝากไว้กับนายจูฬมาคันทิยะผู้เป็นอา นายจูฬมาคันทิยะก็พานางไปถวายแต่พระเจ้าอุเทนผู้เกิดสิเนหาต่อนางอย่างแรงกล้า รับนางมาเป็นมเหสีพร้อมบริวารอีก ๕๐๐ เป็นพระนางที่ ๓ พระนางสามาวดีเดิมเป็นธิดาบุญธรรมของโฆสกเศรษฐี โฆสกเศรษฐี เมื่อครั้งยังไม่ได้รับนางสามาวดีมาเป็นลูกบุญธรรม เศรษฐีผู้นี้อยู่ในเมืองโกสัมพีและตั้งใจบริจาคทานให้แก่ผู้เดินทางไกลและคนกำพร้าวันละพันกษาปณ์ มีอทิฏฐบุพพสหาย (เพื่อนที่ไม่เคยพบกัน คบหากันโดยแลกเปลี่ยนบรรณาการข้ามเมือง) คือ ภัททวดียเศรษฐี แห่งเมืองภัททวดีนคร ครั้งหนึ่งเกิดอหิวาตกโรคระบาดในเมืองภัททวดี ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก คนอินเดียในสมัยนั้นเชื่อกันว่า ต้องทำลายฝาเรือนแล้วหนีออกมาจึงจะรอด ภัททวดียเศรษฐีทำการทำลายฝาเรือนและหนีออกมากับภรรยาและลูกสาวหนึ่งคน เพื่อจะมาพึ่งพาสหาย แต่ด้วยระยะทางไกลมากทำให้เสบียงที่นำติดตัวมาค่อยๆหมดไป เศรษฐี ภริยา และบุตรี มาถึงเมืองโกสัมพีในสภาพคนหิวโซและหมดแรง เศรษฐียังไม่มีแรงไปพบกับโฆสกเศรษฐี จึงให้ลูกสาวไปขอรับบริจาคทานเป็นอาหารเอามารับประทานให้มีแรงเสียก่อน เด็กสาวไปขอรับอาหารวันแรกในปริมาณสำหรับคน 3 คน มิตตกุฏุมพี คนรับใช้ของโฆสกเศรษฐีที่ทำหน้าที่บริจาคทานก็ยื่นให้ เด็กสาวเอาไปให้พ่อและแม่ทานทั้งสามส่วน แม่ก็ไม่รับ ให้พ่อทานเองทั้งสามส่วน ภัททวดียเศรษฐีก็รับไปทานเองทั้งหมดแล้วเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน สิ้นลมไปในวันนั้น วันที่สอง เด็กสาวจึงไปขอรับอาหารในปริมาณสำหรับคน 2 คน แล้วให้แม่ทานเสียทั้ง 2 ส่วน ภริยาเศรษฐีทานเข้าไปทั้งสองส่วนแล้วสิ้นลมไปอีกคน วันที่สาม เด็กสาวจึงไปขอรับอาหารในปริมาณสำหรับคนเดียว มิตตกุฏุมพีผู้เป็นผู้ยื่นอาหารให้ตั้งแต่วันแรกอดรนทนไม่ไหวก็ร้องด่าว่านางเพิ่งจะมารู้จักประมาณตนเอาก็วันนี้กระมัง วันก่อนรับไป 3 จาน เมื่อวาน 2 จาน คงจะกินไม่หมดมา 2 วัน วันนี้ถึงได้มารับจานเดียว เด็กสาวก็อธิบายไปตามความจริงว่า 2 วันก่อนมีกัน 3 คนแล้วพ่อก็ตาย เมื่อวานมีกัน 2 คนแม่ก็ตายอีก วันนี้เหลือตัวคนเดียวก็มารับจานเดียวจ้ะพ่อ มิตตกุฏุมพีหน้าแตกและเกิดความสงสาร จึงพาไปพบกับโฆสกเศรษฐี ไล่เรียงกันไปมาก็รู้ว่านี่ลูกสหาย จึงรับไว้เป็นลูกสาวบุญธรรมตั้งแต่นั้น ส่วนชื่อสามาวดีเป็นชื่อที่โฆสกเศรษฐีตั้งให้ในภายหลัง จากการที่นางแนะนำเศรษฐีผู้เป็นพ่อบุญธรรมทำการล้อมรั้วรอบโรงทานเพื่อความเป็นระเบียบในการเข้ารับบริจาคทานของคนพเนจรทั้งหลาย ซึ่งสามาคงจะแปลว่ารั้ว จึงเป็นที่มาของชื่อ สามาวดี เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมเหสี พระนางสามาวดีจะได้รับพระราชทานกหาปณะจากพระเจ้าอุเทนเพื่อนำไปซื้อดอกไม้ทุกๆวัน โดยให้นางทาสีผู้มีชื่อว่าขุชชตตราเป็นผู้ไปรับเงิน ทุกวันพระราชาจะพระราชทานเงินมาจำนวน 8 กหาปณะ นางขุชชตตราจะแอบเก็บเอาไว้เองเสียครึ่งหนึ่ง นำไปซื้อดอกไม้มาถวายพระนาง เพียง 4 กหาปณะ วันหนึ่งนางทาสีได้รับฟังคำเทศนาของพระศาสดาจากบ้านคนขายดอกไม้ก็บรรลุโสดาปัตติผล นางจึงเลิกยักยอกเงินและนำไปซื้อดอกไม้ถวายพระนางสามาวดีครบตามจำนวนพระนางสามาวดีเห็นดอกไม้เพิ่มขึ้น 2 เท่าก็แปลกใจ ทราบความจริงว่า นางทาสีเก็บไว้เสียครึ่งมาตั้งนานแล้วก็ไม่ได้เอาเรื่อง แต่กลับสนใจในธรรมที่นาง ขุชชตตราได้รับฟังมาและขอให้นางแสดงธรรมให้ตนและนางสนมคนอื่นๆฟังด้วย ซึ่งต่อมาภายหลังนางขุชชตตราก็ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าบรรดาอุบาสิกาในด้านการแสดงธรรม ด้วยความซาบซึ้งในรสพระธรรม พระนางสามาวดีและนางสนมทั้ง 500 จึงเกิดความศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างแรงกล้าอยากจะเข้าเฝ้าและบูชาพระศาสดาด้วยตนเองสักครั้ง นางขุชชุตตราไม่สามารถพานางทั้ง ๕๐๐ คน ออกจากพระราชวังได้ จึงได้แนะนำให้พระนางสามาวดีเจาะช่องน้อยๆที่กำแพง เพื่อให้เกิดรูที่จะทอดพระเนตร เห็นพระพุทธองค์เสด็จผ่าน แล้วทำการถวายบังคมและบูชาก็เพียงพอ พระนางสามาวดีและนางสนมทำตามคำแนะนำ ในเวลานั้น ปราสาทของพระนางสามาวดีจึงเกิดช่องเล็กๆให้มองออกมายังโลกภายนอก ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 09 ก.ค. 2009, 23:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระนางสามาวดี |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พระนางมาคันทิยาเมื่อไม่อาจทำอะไรพระนางสามาวดีได้ ก็หันไปกล่าวโทษพระพุทธองค์แทน จึงได้ให้ค่าจ้างแก่ชาวเมือง เพื่อให้ไปร้องด่าและขับไล่พระพุทธองค์และพระสาวกออกไปจากเมือง แต่การกระทำของพระนางมาคันทิยาก็ไม่เป็นผล ชาวเมืองรุมแช่งด่าพระพุทธองค์และพระสาวกได้เพียง ๗ วัน ก็สงบลง และหันมายึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เหลือก็แต่พระนางมาคันทิยา ที่ยังมีไฟแค้นสุมอยู่เต็มหัวใจ พอทำอะไรพระพุทธองค์ไม่ได้ ก็หันมากล่าวโทษพระนางสามาวดีและพระสนมแทน และเริ่มแผนการใหม่ โดยพระนางมาคันทิยารับสั่งให้จูฬมาคันทิยะผู้เป็นอา เตรียมไก่ไว้ ๑๖ ตัว ๘ ตัวแรกเป็นไก่เป็น อีก ๘ ตัวเป็นไก่ตาย รอไว้ที่ตำหนัก เมื่อมีคนไปรับเอาไก่ ครั้งแรกให้ส่งไก่เป็นทั้ง ๘ ตัวยื่นให้ ส่วนครั้งที่ ๒ ให้ส่งไก่ตายแก่คนเหล่านั้น เมื่อวางแผนการเรียบร้อย พระนางมาคันทิยาก็เสด็จสู่พระราชวังของพระเจ้าอุเทน ให้คนรับใช้มาบอกว่าปุโรหิตได้ส่งไก่มาเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระองค์ พระเจ้าอุเทนตรัสรำพึงรำพันว่า ดีจริง แต่ใครหนอจะเป็นผู้ปรุงอาหารให้เรา พระนางมาคันทิยารับสนองพระโอษฐ์ทันท่วงที ว่าข้าแต่มหาราช ที่ตำหนักของพระนางสามาวดีเขาว่างงานกันอยู่มากให้ส่งไปสิเพคะ เขาคงจะทำมาถวายอยู่หรอก พระเจ้าอุเทนจึงรับสั่งให้คนรับใช้เอาไก่เหล่านั้น ไปที่พระตำหนักของพระนางสามาวดีเพื่อให้พระนางทำเป็น อาหารถวายพระเจ้าอุเทน คนรับใช้ไปรับไก่เป็นๆ 8 ตัวแรกจากปุโรหิต ไปถวาย หญิงในตำหนักปฏิเสธทันควัน “พวกฉันไม่ทำปาณาติบาตจ๊ะ” คนรับใช้เอาเรื่องไปทูลแก่พระเจ้าอุเทนและมีพระนางมาคันทิยาอยู่ข้างๆ “ข้าแต่มหาราช ทรงเห็นไหม? ลองรับสั่งใหม่ ให้พวกนางทำแกงไก่ถวายพระสมณโคดมสิเพคะ จะได้รู้กันเสียที ว่านางภักดีใครมากกว่า” พระเจ้าอุเทนดำรัสตามนั้น คนรับใช้ไปรับไก่อีกครั้งที่ตำหนักของปุโรหิต และนำไก่ตายไปยังปราสาทของพระนางสามาวดี แล้วบอกให้พวกนางทำเป็นอาหารถวายแก่พระศาสดา แต่พระเจ้าอุเทนก็มิได้ทรงเอาเรื่องแต่ประการใด เมื่ออุบายหาความด้วยเรื่องไก่ไม่สำเร็จ พระนางมาคันทิยาก็ดำเนินการใส่ร้ายด้วยการเอางูไปซ่อนไว้ในพิณของพระเจ้าอุเทนโดยมีดอกไม้และเครื่องหอมปิดช่องที่จะให้งูออกมาบังไว้แล้วตามเสด็จพระเจ้าอุเทนไปยังพระตำหนักของพระนางสามาวดี เมื่อไปถึงตำหนักแล้วเอาดอกไม้และเครื่องหอมออก งูก็เลื้อยออกมาแผ่พังพานที่แท่นบรรทม พระนางมาคันทิยาก็ร้องตะโกนโวยวายว่าพระนางสามาวดีเตรียมงูไว้ทำร้าย พระเจ้าอุเทนตกใจกลัวและไม่อาจระงับความโกรธไว้ได้ จะประหารพระนางสามาวดีและนางสนมทั้ง ๕๐๐ คนเสียในบัดนั้น โดยการให้พระนางสามาวดียืนอยู่หน้าสุดและมีนางสนมทั้งห้าร้อยยืนเรียงตามลำดับแล้วโน้มธนูยักษ์หมายจะใช้ลูกศรอาบยาพิษยิงไปยังพระอุระของพระนาง แต่แล้วด้วยเมตตานุภาพ ลูกศรกลับไปไม่พุ่งไปหาพระนาง แต่บ่ายหน้ากลับไปหาพระราชาเลยทีเดียว พระเจ้าอุเทนเห็นดังนั้นก็สำนึกผิด คิดว่าแม้แต่ลูกธนูที่ไม่มีชีวิตยังรู้คุณและสำนึกในความเมตตาของพระนาง แล้วพระองค์เป็นพระราชาผู้เป็นจอมแห่งนรชนในพระเทวีและในตนยังคิดจะประหารพระนางเทียวหรือ ทรงทิ้งธนูแล้วประคองอัญชลี กล่าวโทษตัวเองและขอยึดพระนางสามาวดีเป็นที่พึ่ง พระนางสามาวดีกลับกราบทูลให้พระองค์ยึดถือพระสมณโคดมเป็นที่พึ่งแทน หากจะทรงประทานพรใดๆก็ขอให้ทรงอัญเชิญพระศาสดาและภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปมาแสดงธรรมเป็นเนืองนิตย์เถิด หม่อมฉันจักฟังธรรม พระเจ้าอุเทนดำเนินการตามนั้น แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงประทับที่ใดเป็นประจำ จึงได้รับสั่งให้พระอานนทเถระให้ไปสู่ราชสกุลเพื่อให้พระเทวีฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์ ฝ่ายพระนางมาคันทิยา เมื่อทำการสิ่งใดก็ไม่เป็นผล จึงคิดหาอุบายสุดท้าย คือจุดไฟเผาปราสาทของพระนางสามาวดีในเวลาที่พระเจ้าอุเทนไปทรงกีฬาในพระราชอุทยาน พระนางสามาวดีพร้อมนางสนมทั้ง ๕๐๐ ถูกขังอยู่ภายใน ก็ถูกไฟคลอกตายอยู่ในนั้น พระเจ้าอุเทนมาช่วยไม่ทันเวลาจึงทรงรับสั่งให้จับพระนางมาคันทิยาและผู้สมรู้ร่วมคิด ขุดหลุมมีความลึกเท่าสะดือ แล้วให้คนทั้งหลายลงไปนั่ง เอาดินร่วนกลบ ให้เกลี่ยฟางไว้เบื้องบน ไถด้วยไถเหล็ก จนร่างกายของแต่ละคนขาดเป็นท่อน แล้วเชือดเนื้อเอาไปทอดบนเตาไฟ… ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 09 ก.ค. 2009, 23:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระนางสามาวดี |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | rawisada [ 09 ก.ค. 2009, 23:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระนางสามาวดี |
ขอบคุณค่ะ ![]() ![]() ![]() ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ขอให้ทุกชีวิต เพื่อนร่วมโลก พ้นทุกข์โศก เวียนวน จนสงสาร สู่พระธรรม มรรค ผล และนิพพาน ทุกดวงจิต วิญญาณ ถ้วนทั่วเทอญ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 ก.ค. 2009, 00:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระนางสามาวดี |
เพิ่งได้ฟังพระท่านเทศน์ไม่กี่วันมานี้เองครับ..ไม่เบื่อเลยครับ..สาธุ..สาธุ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |