ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปลาขอฝน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=23159 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | walaiporn [ 15 ก.ค. 2009, 20:46 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปลาขอฝน | ||
การไว้วางใจ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการบริโภคปัจจัย ๔ ที่หมู่ญาติถวาย ด้วยความไว้วางใจ โดยไม่พิจารณาของหมู่ภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง มีสมบัติมาก ในเมืองพาราณสี เขามีโคอยู่ฝูงหนึ่ง ในฤดูทำนาได้มอบให้คนเลี้ยงโคคนหนึ่ง ต้อนฝูงโคไปตั้งคอกเลี้ยงโคอยู่ในป่า และให้นำน้ำนมโคมามอบให้ตนตามเวลา ก็แลในที่ไม่ไกลจากคอกโคนั้น มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ด้วยความกลัวราชสีห์ ฝูงโคจึงซูบผอม น้ำนมก็ไม่เข้มข้นเหมือนเดิม วันหนึ่ง คนเลี้ยงโค นำน้ำนมโคมามอบให้เศรษฐี ๆ เห็นแล้วจึงถามว่า "ทำไม น้ำนมโค ถึงใส " เขาจึงเล่าเรื่องนั้นให้เศรษฐีฟังว่า " มีราชสีห์ตัวนั้น ติดพันแม่เนื้อตัวหนึ่งจึงไม่หนีไปไหน " เศรษฐีจึงแนะนำว่า " เจ้า จงจับแม่เนื้อนั้น ให้จงได้ ทายาพิษที่ขนของมัน ตั้งแต่หน้าขนผากมันขึ้นไปหลาย ๆ ครั้ง กักไว้ สัก ๒-๓ วัน แล้วค่อยปล่อยมันไป " เขาได้ทำเช่นนั้น ราชสีห์เห็นแม่เนื้อนั้น ก็เลียตามตัวด้วยความสิเนหา ได้ถึงความสิ้นชีวิตไป คนเลี้ยงโค ได้นำหนังของราชสีห์ไปมอบให้เศรษฐีๆ จึงกล่าวว่าขึ้นชื่อว่าความเสน่หา ในพวกอื่นไม่ควรกระทำ ราชสีห์เพราะอาศัยความติดพันด้วยอำนาจกิเลส เลีียสรีระของแม่เนื้อสิ้นชีวิตแล้วกล่าวคาถานี้ว่า " บุคคล ไม่ควรไว้วางใจ ในผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน แม้ผู้ที่คุ้นเคยกันแล้ว ก็ไม่ควร ไว้วางใจ ภัย ย่อมมีมาจากผู้ที่คุ้นเคยกัน เหมือนภัยของราชสีห์เกิดจากแม่เนื้อ " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน ที่มา :หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม : เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 20 ก.ค. 2009, 21:56 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปลาขอฝน | ||
อานิสงส์ของศีล ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภอุบาสกผู้มีศรัทธาคนหนึ่ง ที่สามารถเดินข้ามแม่น้ำอจิรวดีไปฟังธรรมได้ด้วยอำนาจคุณของศีล ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ ในวันหนึ่งมีอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็น พระโสดาบัน ได้โดยสารเรือไปค้าขายต่างเมืองกับช่างตัดผมคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง ภรรยาของช่างตัดผมได้ฝากให้อุบาสกช่วยดูแลสามีของตนพร้อมกับสั่งว่า "ท่านเจ้าค่ะ ขอท่านได้ช่วยดูแลสามีดิฉันด้วยนะคะ สุขทุกข์ของสามี ดิฉันขอมอบให้เป็นภาระของท่านก็แล้วกัน" เรือออกเดินทางไปได้ ๗ วัน ก็เจอพายุกระหน่ำจนเรืออับปางลงกับทะเลราวกับเรือไทนานิคล่ม ชายทั้ง ๒ ได้เกาะแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งลอยคอจนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ด้วยความหิวนายช่างตัดผมได้ฆ่านกปิ้งกินและชวนอุบาสกกินด้วยกัน แต่อุบาสกไม่กินเพราะ คิดว่า "สถานการณ์เช่นนี้ มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งเราได้" จึงนั่งระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอยู่ ขณะนั้นพญานาคผู้บนเกาะนั้นได้เนรมิตร่างเป็นเรือลำใหญ่ มีเทวดาประจำทะเลเป็นต้นเรือ บรรทุกทรัพย์สินเงินทองเต็มลำ มีเสากระโดงทำด้วยแก้วมณีสีอินทนิล ใบเรือทำด้วยทองเชือก ทำด้วยเงิน แล่นมาที่เกาะนั้น พร้อมประกาศว่า "มีใครจะไปด้วยไหม" อุบาสกร้องตอบว่า "ข้าพเจ้าจะไปด้วย" นายต้นเรือพูดว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านขึ้นมาเถอะครับ" อุบาสกจึงชวนนายช่างตัดผมขึ้นเรือไปด้วยกัน แต่นายต้นเรือร้องห้ามไว้ว่า "ขึ้นมาได้เฉพาะท่านคนเดียวเท่านั้น อีกคนหนึ่งขึ้นไม่ได้" อุบาสกถามว่า "ทำไมละท่าน" นายต้นเรือตอบว่า "เพราะคนนั้นไม่มีศีลจึงรับไปด้วยไม่ได้ เรือลำนี้รับเฉพาะคนมีศีลเท่านั้น" อุบาสกพูดว่า "เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอแบ่งให้ส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลให้แก่เขาก็แล้วกัน" นายช่างตัดผมก็รับคำอนุโมทนาในบุญกุศลว่า "ข้าพเจ้าขออนุโมทนา" เทวดาจึงนำชายทั้ง ๒ ขึ้นเรือแล้วนำไปส่งจนถึงฝั่งพร้อมทั้งมอบทรัพย์สมบัติให้อีกด้วย แล้วกล่าวให้โอวาทเป็นคาถาว่า "ดูเถิด นี่แหละผลของศรัทธา ศีล และจาคะ พญานาคแปลงตนเป็นเรือนำอุบาสกผู้มีศรัทธาไป บุคคลพึงคบหาสัตบุรุษเท่านั้น พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะการอยู่ร่วมกับสัตบุรุษ นายช่างตัดผมจึงถึงความสวัสดี" เมื่อกล่าวจบก็พาพญานาคกลับวิมานของตนไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :ผู้มีศีลตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ที่มา :หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 05 ส.ค. 2009, 01:38 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปลาขอฝน | ||
อันตชาดก เรื่อง คนชั่วสรรเสริญกันเอง ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะ ต่างสรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับ ที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า " ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง " สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า " กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด" รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า " บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏ คนดียกย่องคนดีเหมือนกัน ชื่อเสียงย่อมปรากฏ ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย) เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 03 มี.ค. 2010, 03:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปลาขอฝน | ||
เหตุห้ามภิกษุมิให้ดื่มสุรา สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระสาคตเถระเรื่องดื่มสุรา เรื่องมีอยู่ว่า หลังจำพรรษาที่เมืองสาวัตถีแล้ว พระพุทธองค์พร้อมพระภิกษุสงฆ์ มีพระสาคตเถระเป็นพระอุปัฏฐาก ได้จาริกไปจนถึงภัททวติกานิคม ถึงแม้พวกชาวบ้านที่เห็นแล้วพากันมา กราบทูลไม่ให้เสด็จไปท่าอัมพะ เพราะอัมพติฏฐกนาค มีพิษร้ายจะทำอันตรายก็ตาม ก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้น เสด็จเข้าไปปูลาดหญ้านั่งขัดสมาธิอยู่ในที่อยู่ของนาคนั้น ส่วนพระสาคตเถระเข้าไปใกล้อาศรมนาคแล้ว ปูลาดหญ้านั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆนาคนั้น นาคได้แสดงฤทธิ์ บังหวลควันและทำให้ไฟลุกไหม้ขึ้น พระเถระก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ได้ปราบนาคให้หมดฤทธิ์ตั้งอยู่ในศีล ในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รุ่งเช้า พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกได้เข้าไปในเมืองโกสัมพี เรื่องราวที่พระสาคตเถระปราบนาคได้ แพร่กระจายไปทั่วเมือง ฝูงชนชาวเมืองโกสัมพี ทำการต้อนรับพระพุทธองค์แล้วไปไหว้พระสาคตเถระ พร้อมกับปวารณาว่า " ถ้าพระเถระต้องการอะไรที่หาได้ยาก จงบอก จะจัดถวาย " พระเถระกลับนั่งนิ่งเสีย ไม่พูดว่าอะไร แต่พวกภิกษุหัวดื้อฉัพพัคคีย์ พากันบอกฝูงชนว่า " โยม สุราสีแดงดุจเท้านกพิราบสิ บรรพชิตหาได้ยาก และเป็นของชอบใจของพระเถระด้วย " ชาวเมืองได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อม พระสงฆ์สาวกฉันในวันพรุ่งนี้ ในตอนเช้า ชาวเมืองต่างก็พากันจัดเตรียมสุราสีแดงดุจเท้านกพิราบไว้ถวายพระเถระทุกเรือน พระเถระดื่มสุราแล้วเมา เดินไปล้มลงที่ประตูเมืองนอนบ่นพร่ำเพ้ออยู่ เมื่อพระพุทธองค์ฉันเสร็จ ได้เสด็จกลับ พบพระเถระนอนอยู่เช่นนั้น จึงรับสั่งให้ประคองพระเถระนอนหันศีรษะไปทางพระบาท ของพระองค์ พระเถระกลับนอนเหยียดเท้าไปทางพระพักตร์ของพระพุทธองค์ พระองค์จึงทรงตรัสโทษ ของการดื่มสุราว่า " พระสาคตะเคยเคารพในเรา บัดนี้ไม่มีแล้ว เคยเป็นผู้มีความสามารถปราบพญานาคได้ บัดนี้ไม่มีแรงที่จะปราบแม้กระทั่งงูปลา ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่ดื่มแล้ว ปราศจากความจำได้หมายรู้ สิ่งนั้นภิกษุไม่ควรดื่ม " แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เป็นปาจิตตีย์ในเพราะดื่มสุราเมรัย ในตอนเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภาพูดถึงโทษของการดื่มสุรา พระพุทธองค์ได้ตรัส อดีตนิทานมาสาธกว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในกรุงพาราณสี แคว้นกาสี มีฤาษีอยู่ประมาณ ๕๐๐ รูป ได้อภิญญาและ สมาบัติ อาศัยอยู่ในป่าหิมวันตะ ครั้นถึงฤดูฝนจึงอำลาอาจารย์เพื่อเข้าเมืองถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ทำให้ประชาชนและพระราชาเลื่อมใสแล้ว พักอยู่ในพระราชอุทยาน ต่อมาวันหนึ่งในเมืองพาราณสี มีเทศกาลดื่มสุรา พระราชาดำริว่า พวกบรรพชิต หาสุราได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดี เป็นอันมากแก่ฤาษี พวกฤาษีดื่มสุราแล้วเมา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้องจนหลับไป พอสร่างเมาพากันตื่นขึ้นมา เห็นอาการอันแปลกของพวกตน ก็เสียใจว่าไม่ควรทำ จึงพากันกลับไปหาอาจารย์ เล่าเรื่องนั้นให้แก่ อาจารย์ฟังว่า " พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้พากันฟ้อนรำ พากันขับร้องแล้ว ก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต เห็นดีแต่ที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย " อาจารย์ได้สอนว่า " ธรรมดานรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น " นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โทษของการดื่มสุรา เป็นเหตุให้คนทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำได้้ * เรื่องที่ ๑ ในอปายิมวรรค หน้า ๒๗๓-๒๗๕ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒ ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 12 มี.ค. 2010, 23:59 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปลาขอฝน | ||
พระปริตป้องกันสัตว์ร้าย ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง มรณภาพเพราะถูกงูกัด ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธการ ว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีบำเพ็ญสมาบัติอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ มีฤาษีหลายร้อยตนเป็นบริวาร ณ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น มีงูนานาชนิดอาศัยอยู่ งูได้กัดฤาษีเสียชีวิตไปหลายตน พระโพธิสัตว์ทราบเรื่องนั้นแล้วจึงพูดให้โอวาทคณะฤาษีว่า "ท่านทั้งหลาย..หากพวกท่านเจริญเมตตาให้ตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกท่านหรอก" แล้วกล่าวคาถาว่า "ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูวิรูปักขะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูเอรปถะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ ขอไมตรีจิตของเราจงมี กับตระกูลพญางูกัณหาโคตมะ" และกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า "ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๒ เท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๔ เท้า ขอไมตรีจิตของเรา จงมีกับสัตว์ที่มีเท้ามาก" พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงธรรมด้วยการขอร้อง ได้กล่าวคาถาว่า "ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย" เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจงได้กล่าวคาถาว่า "ทั้งมวลจงพบกับความเจริญ ความชั่วช้าอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ตนใดตนหนึ่งเลย" เพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จึงพูดว่า "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแกและหนู มีคุณหาประมาณได้" เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ได้กล่าวคาถาว่า "เราได้ทำการรักษา ทำการป้องกันไว้แล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายผู้มีชีวิตจงพากันหลีกไป ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์" ตั้งแต่นั้นมา คณะฤาษีได้เจริญเมตตารำลึกถึงพระพุทธคุณงูทั้งหลายต่างก็หลบหนีไปอยู่ที่อื่น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้อสรพิษก็ไม่เบียดเบียนผู้เจริญเมตตาภาวนา ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)
|
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |