ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
บุญกุศลขั้นกามาวจร : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=52435 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 23 พ.ค. 2016, 09:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | บุญกุศลขั้นกามาวจร : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย การละกิเลส ทำกิเลสให้น้อยเบาบางออกไปนี่มันเป็นทางพ้นทุกข์โดยทางลัด ทางตรง ไม่ใช่เป็นทางโค้ง การที่ชาวบ้านเขายินดีในการให้ทาน ทำสักการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนของหอมนั่นเรียกว่า ชาวบ้านมันยังไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงไปได้ มันก็ทำความยินดีอยู่ในการทำการสักการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนกราบไหว้อันนั้นไปก่อน ไอ้ผู้ครองเรือนมันก็ต้องไปตามขั้นตามอุปนิสัยที่ท่านเรียกว่า "กุศลกามาพจร" เป็นผู้ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสอันก่อให้เกิดบุญเกิดกุศลแล้วก็บำเพ็ญบุญกุศลไปตามนั้น อย่างเห็น "รูปพระสงฆ์" ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมตามวินัยแล้วเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็จึงตัดมัจฉริยะ ความตระหนี่ สละจตุปัจจัยออกมาบูชา มาสนับสนุนพระสงฆ์สามเณรให้ประพฤติพรหมจรรย์ไปได้ นี่เรียกว่า อาศัยรูปพระสงฆ์เป็นปัจจัยเป็นเหตุให้ได้ทำบุญกุศล อาศัย "เสียงได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า" ที่ท่านแสดงให้ฟังไป มีเหตุมีผลที่ผู้ฟังเข้าใจได้ดีก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้ได้ทำบุญทำทานรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไป อันนี้เรียกว่า ได้บำเพ็ญบุญกุศลเพราะได้ฟังเสียงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้สูด "กลิ่น" อาหารอันมีกลิ่นอันอร่อย น่ารับประทาน เช่นนี้ก็เป็นเหตุให้นึกถึงอาหารเช่นนี้ถ้าได้เอาไปถวายทานเห็นจะได้บุญกุศลมาก อย่างนี้แล้วก็ขวนขวายในอาหารเช่นนั้นไปให้ทาน อย่างนี้มันก็เป็นบุญกุศลเพราะอาศัยกลิ่น หรือว่าได้อาศัยกลิ่นดอกไม้หรือเครื่องหอมต่างๆอย่างนี้แล้วก็นึกถึงการทำสักการบูชาพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ อะไรอย่างนี้แล้วหาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา กราบไหว้ด้วยความเลื่อมใส นี่เรียกว่า บุญกุศลเกิดขึ้นด้วยการสูดกลิ่น ไม่ได้หลงใหลติดอยู่ในกลิ่นหอมอันนั้นด้วยอำนาจของกิเลส เมื่อได้สูดกลิ่นหอมอย่างนั้นแล้วก็นึกถึงการบุญกุศล นี่อันบุคคลผู้ที่ไม่เข้าใจในการทำบุญกุศลดังกล่าวมานี้ เมื่อได้ถูกกลิ่นหอมนั้นก็หาอาหารหาดอกไม้นั้นมาเชยชม มาดม หอมไปแล้วก็แล้วไป ไม่คิดที่จะนำอาหารนั้นไปให้ทาน ไม่คิดที่จะเอาดอกไม้นั้นไปบูชาพระ นั่นเรียกว่า ผู้ที่หลงใหลติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆด้วยอำนาจของกิเลส ไม่ได้ก่อให้เกิดบุญกุศลอะไร รสอาหารก็เหมือนกัน สัมผัสที่นั่งที่นอนต่างๆหมู่นี้นะ เมื่อบุคคลผู้มีบุญวาสนาได้อยู่สถานที่โอ่โถง ได้อยู่เย็นสบายดี ปราศจากสิ่งรบกวนก็มานึกถึงว่า เราจะอยู่นี่ไปได้ไม่นานเท่าไรนัก หมดบุญเก่าแล้วก็ตายจากไป สมควรที่เราจะไปต้องทำที่อยู่ที่อาศัยให้เป็นทานไว้ เผื่อว่าเราได้เกิดไปในชาติหน้าเราก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสบายต่อไป คิดได้อย่างนี้แล้วก็ไปสร้างกุฏิวิหาร ศาลาอะไรตามกำลังทรัพย์ที่มีให้เป็นทานไว้ในพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นที่บำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชนต่างๆ เพื่อให้เป็นที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์สามเณร เป็นที่อยู่อาศัยของภิกษุสามเณร ไอ้เช่นนี้ก็นับว่า การที่บุคคลได้สัมผัสกับวัตถุอันอ่อนนุ่มนิ่ม อันสะอาดสะอ้านอะไรดังกล่าวมาแล้วนั้นแล้วคิดสร้างบุญกุศลด้วยการสัมผัสอันนั้น ก็เรียกว่า เป็นผู้ได้สร้างบุญกุศลอาศัยสัมผัสเป็นเหตุให้ได้สร้างบุญสร้างกุศล อย่างนี้แหละจึงเรียกว่า การบำเพ็ญบุญกุศลมันก็มีขั้นตอนอย่างนี้นะ กุศลกามาวจรได้อาศัยปรารภรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัส แล้วให้ได้ทำบุญ ![]() ![]() ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |