ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อำนาจกรรม : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=51785 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 20 ม.ค. 2016, 09:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | อำนาจกรรม : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย อันวิถีชีวิตของคนเราตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น ข้อที่ว่า "สุโข ปุญฺญสฺส อุจโย การสั่งสมบุญนำมาซึ่งความสุขดังนี้" นี่เป็นเครื่องส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า บุคคลที่จะได้ประสบความสุขในขั้นใดๆ ก็ดี นับแต่ขั้นต่ำนี้แหละขึ้นไป จนถึงขั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน ก็เพราะอาศัย "การสั่งสมบุญ" นี้เอง ตามพระพุทธภาษิตนี้ ทีนี้ตรงกันข้ามนะ "ทุกฺโข ปาปสฺส อุจโย การสั่งสมบาปนำมาซึ่งความทุกข์" นี่ก็เป็นอันได้ความว่า บรรดาความทุกข์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในสัตว์ทั้งปวงนั้นน่ะ มันเกิดเพราะ "การกระทำบาป" เป็นมูลเหตุ ให้บุคคลได้เสวยทุกข์ทนทรมาน มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังแห่งบาปกรรมที่บุคคลกระทำนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นมาทำให้คนเราเป็นทุกข์อย่างที่ความเห็นของลัทธิอื่น ซึ่งมีความเห็นว่า มีเทวดามาลงโทษเอาบ้าง มีท้าวมหาพรหมมาลงโทษเอาบ้าง อย่างนี้นะ มีพวกภูตผีปีศาจมาลงโทษเอาบ้าง คนบางคนเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถึงซึ่งความวิบัติกะทันหันบางครั้งบางคราวอย่างนี้พวกลัทธิอื่นบางลัทธิ เขาก็ถือว่า ไปทำผิดพระภูมิเจ้าที่ พระแม่ธรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ถูกพระภูมิเจ้าที่เล่นงานเอาแล้วไปอย่างนั้นความเห็นของลัทธิอื่น สำหรับใน "พระพุทธศาสนา" นี้แล้วไม่ได้ทรงแสดงอย่างนั้นเลย คือ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสอย่างนั้น พระองค์ทรงตรัสว่า สพฺเพ สตฺตา กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา เป็นต้น นี่สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรมที่ตนกระทำนั้น อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นแหละ เราเป็นชาวพุทธนี่ไม่ควรที่จะไปสงสัยลังเลในชีวิต ชีวิตนี้มันเป็นมาด้วยอำนาจแห่งกรรม คือ การกระทำของตัวเอง ในอดีตนู่นจนมาถึงปัจจุบันนี่แหละ แล้วก็จะเป็นไปในเบื้องหน้านู้น ก็อาศัยการกระทำในปัจจุบันนี้แหละ จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไปในเบื้องหน้าก็ดี ถ้าตนกระทำดี ละชั่วในปัจจุบันนี้ได้ ตนก็ไม่มีบาปกรรมอันชั่วร้ายติดตามไป ก็จะมีแต่บุญกรรมอันดีงามติดตามไปตกแต่งความสุขความเจริญให้ในภพในชาติต่อไป ถ้าหากว่า ผู้ใดบาปก็ทำ บุญก็ทำ อย่างนี้นะมันก็ติดตามไปสู่โลกหน้า ทั้งสองอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าอย่างใดมีกำลังมากกว่า สิ่งนั้นก็ย่อมให้ผลก่อน ถ้าบุญมีกำลังมากกว่าบาปอย่างนี้นะ บุญมันก็ให้ผลก่อน พอไปเกิดในที่สุขสบาย เอ้า บาปมันก็ติดตามไปอยู่นั่นแหละแต่ว่ามันให้ผลยังไม่ได้ เพราะว่า กำลังของบุญกุศลมันเหนือกว่า มันก็ต้องให้ผลไปก่อน ทีนี้เมื่อหมดกำลังของบุญกุศลนั้นลงเมื่อใด บาปมันก็ให้ผลได้ทันทีเลย เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตเห็นได้ว่า คนบางคนน่ะอยู่เย็นเป็นสุขมาดีๆ มาอยู่นี่น่ะ ปุ๊บปั๊บเกิดอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเลย เช่นอย่างนั่งรถไปก็รถคว่ำ ตายโหงกันเลยอย่างนี้นะ นี่เรียกว่า บาปกรรมที่ผู้นั้นทำมาในชาติก่อนนู้นน่ะมันได้โอกาสแล้ว บุญของผู้นั้นที่ทำมานั้นมันหมดลง บาปให้ผลสืบต่อ บาปอย่างร้ายแรงนะ ท่านเรียกว่า "อุปฆาตกรรม" น่ะ "กรรมตัดรอน" น่ะ มันทำลายชีวิตเอาลงในปัจจุบันทันด่วนเลย อย่างนี้แหละ กรรมบางอย่างที่ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม" (อุบ-ปะ-ปี-ละ-กะ-กำ) กรรมอันบีบคั้นให้เจ็บให้ป่วยให้วิบัติไปทีละเล็กทีละน้อยไป เอ้าเจ็บป่วยลงจะมากซะจริงๆ ก็ไม่มาก จะหายก็ไม่หาย ก็ทนทุกข์ทรมานไปอยู่อย่างนั้นแหละ จะตายก็ไม่ตาย อย่างนี้แหละ ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น" นี่มันเป็นอย่างนั้น ต้องทบทวนดูให้ดี ดังนั้นแหละความเป็นมาและความเป็นอยู่ของมนุษย์เราน่ะจึงไม่เหมือนกันน่ะแหละ ก็เพราะว่าต่างคนต่างทำกรรมดีกรรมชั่วติดตัวมา คราวใดกรรมดีให้ผล ก็มีความสุขความสบายไป ถึงคราวใดกรรมชั่วให้ผลก็เป็นทุกข์ทนทรมานไป จนกว่าจะหมดผลแห่งกรรมชั่วเหล่านั้น ถ้าหากว่าบุญมีบุญนั้นก็จะให้ผลสืบต่อ ถ้าหมดบุญแล้วก็อย่างว่าก็เร่ร่อนไปตามกรรมแหละ ![]() ![]() ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “อานุภาพแห่งศีล” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |