ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การโยนิโสมนสิการในบุญ-บาป : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=51471 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 23 พ.ย. 2015, 08:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | การโยนิโสมนสิการในบุญ-บาป : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย สมาธิ แปลว่า ใจตั้งมั่น ตั้งมั่นต่ออะไรบัดนี้ ตั้งมั่นต่อบุญต่อคุณนั่นแหละ ไม่ใช่อย่างอื่นใดเพราะว่า โลกอันนี้มันเป็น "โลกคู่" อย่างที่เคยพูดมาแล้ว เมื่อบุญเกิดขึ้นที่ไหน บาปมันก็มักแทรกแซงขึ้นที่นั้น เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อบุคคลใดมาเกลียดต่อบาปแล้วอย่างนี้ ได้ทำกุศลให้เกิดขึ้นในใจแล้วก็ทำความพอใจยินดีในบุญในกุศลนั้น ให้มั่นคงไป เมื่อเป็นเช่นนี้บาปมันก็แทรกแซงขึ้นไม่ได้ เพราะว่าจิตนั้นมันชอบบุญกุศลมากกว่าชอบบาป อันบาปนั้นไม่ชอบเสียเลย ธรรมดาผู้มีปัญญานะท่านจะไม่ชอบบาปนั้นเลย จะชอบแต่บุญแต่กุศลแต่ความดีเท่านั้น อันนี้ได้ชื่อว่า เป็นหลักธรรมอันหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะพึงกำหนดเอาไว้เป็นหลักแนวทางปฏิบัติ เราต้องทำความพอใจในบุญในคุณนี้นะให้มากๆ ต้องดำริตริตรองอยู่ในใจเสมอๆ ไป ถ้าหากว่าเราไม่กำหนด ไม่มีโยนโสมนสิการหรือไม่หมั่นตริหมั่นตรองเช่นนี้ กำหนดไม่มีโยนิโสมนสิการ คือ ไม่หมั่นตริหมั่นตรองเช่นนี้ จิตใจนี่มันก็จะไม่ดูดดื่มในบุญในคุณอันนั้นให้มากขึ้นได้ เป็นอย่างนั้น อยู่เฉยๆ จะให้มันดูดดื่มไปเองน่ะไม่ได้ ในเมื่อเหตุผลต่างๆ ไม่ปรากฏในใจแจ่มแจ้งเช่นนี้นั้นมันจะไม่ดูดดื่มได้จิตดวงนี้นะ ต้องให้เข้าใจ เริ่มแต่ "การให้ทาน" นี้นะไป ถ้าไม่พิจารณาเรื่องทาน เรื่องเหตุผลของการให้การบริจาคทานนี่ให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยปัญญาแล้ว มันจะไม่ดูดดื่มในทานการให้การบริจาคเลย ให้ก็ให้ไปตามประเพณีพอพรรค์นั้นแหละ อันซึ่งมันจะพยายามทำบุญให้ทานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้อย่างนี้นะ เพื่อให้เป็นบุญบารมีของตนให้มากขึ้นโดยลำดับเช่นนี้ มันทำไม่ได้ ถ้าได้มองได้พิจารณาสอดส่องเห็นเหตุผลในเรื่องการให้การบริจาคทาน ว่ามันมีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น มันเป็นอุบายทำลายกิเลสบางสิ่งบางอย่าง ให้ออกไปจากจิตใจได้จริงๆ อย่างนี้นะ เมื่อมันเห็นอย่างนี้แล้ว มันก็ดูดดื่มในทานการให้การบริจาคนั้น ไม่มีเบื่อหน่ายเลย ได้โอกาสเวลาไหนก็ทำบุญทำทานเวลานั้น เป็นอย่างนั้น นอกจากให้วัตถุสิ่งของเป็นทานแล้วก็ "บำเพ็ญอภัยทาน" ให้เป็นไปพร้อมๆ กัน ก็เคยพูดมาบ่อยๆ ล่ะ เรื่องอภัยทานนี้ก็ดี จำเป็นก็ต้องพูดอีก เพราะมันหลายคนฟัง ฟังไม่ทันกัน แต่ผู้ที่ฟังมาแล้วยังปฏิบัติไม่ได้ก็มี เมื่อไม่พอใจกับบุคคลผู้ใดแล้วก็ผูกใจเจ็บอยู่ในบุคคลผู้นั้น ยกโทษให้เพื่อนก็ไม่เป็น ทำความปรองดองสามัคคีกันก็ไม่ได้ เพราะมันถือมั่นในอารมณ์ที่ไม่พอใจต่อกันและกัน นี่อย่างนี้ก็ชื่อว่าไม่มีอภัยทานเลย ผู้ที่มีอภัยทานแล้วถึงแม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นบางครั้งบางคราว เมื่อปรับความเข้าใจกันได้แล้วต้องอโหสิกรรมให้กันไป ไม่ถือมั่นในความคิดความเห็นที่ล่วงแล้วมา เช่นนี้จึงเรียกว่า "อภัยทาน" นี่ต้องเข้าใจ เมื่อมีอภัยทานอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันแหละคนเราน่ะ ถ้าไม่มีอภัยทานนี้อยู่ในใจแล้วแน่นอนน่ะมันต้องเบียดเบียนซึ่งกันและกันแหละ ดังนั้นพูดถึงเรื่องทานนี่มันก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรน่าสนใจไม่น้อยนี่ ถ้าพิจารณาเพียงผิวเผินคล้ายๆ กันกับว่า ไม่ยากลำบากอะไรการให้ทานนี้นะ แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า การให้การบริจาคทานนี่มันก็เหมือนอย่างตำรวจทหาร ซึ่งยกขบวนกันไปต่อสู้กับข้าศึกที่ล่วงล้ำชายแดนมา เอ ถ้าไปเห็นข้าศึกเข้าไปแล้วใจฝ่อเข้าไปเลย กลัวตายเข้าไปเลยอย่างนี้ มันก็สู้กับข้าศึกไม่ได้เลย เมื่อไปเห็นข้าศึกเข้าแล้วไม่กลัว ใจกล้าหาญ เอ้า ตายเป็นตาย หน้าที่มันมีอย่างนี้เราน่ะ เมื่อหน้าที่มีอย่างนี้เราก็ต้องสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ เมื่อไม่ได้ชัยชนะมันตายก็แล้วไป ฉันใดข้อนี้ การให้การบริจาคทาน ถ้าบุคคลไปกลัวอด กลัวขาดแคลนปัจจัย เครื่องอาศัยอยู่อย่างนั้นแล้วก็ให้ทานไม่ได้เลย ถ้าคิดว่าเมื่อเราสละสิ่งนี้ให้ทานไปแล้วจะอดก็อดไป ที่สุดมันจะตายก็ตายลงไป สละชีวิตลงไปอย่างนั้นแล้ว ความโลภ ความตระหนี่ ความหวงแหนอันใดมันก็ถอนออกไปจากจิตใจ ก็ให้ทานได้อย่างสบายใจบัดนี้ แต่ในที่นี้หมายเอาสิ่งที่สมควรจะให้ทานได้นะ ไม่ได้สอนให้ว่า สมบัติมีเท่าใดให้จนหมด ไม่ได้หมายอย่างนั้น เออ ต้องเข้าใจให้มันถูกต้อง เมื่อมีอภัยทานอย่างนั้นมันก็มี "ศีล" ได้คนเราน่ะ เพราะว่าไปเห็นสัตว์ที่ควรจะฆ่าก็ไม่ฆ่าเพราะสงสารมัน ให้อภัยมันไป ไปเห็นทรัพย์สมบัติของเขาที่ควรจะฉวยเอา หยิบเอาไปก็ไม่เอา สงสารเจ้าของเขา เมื่อเราเอาของเขาไปแล้วเขาไม่มีจะใช้สอย เขาก็เป็นทุกข์เดือดร้อน ไปเห็นลูกเห็นเมียเห็นผัวของเขาสวยงาม แทนที่จะแสดงมายาสาไถยหลอกลวงเอาเมียเขาผัวเขา ไปเป็นเมียของเราเป็นผัวของเราก็ไม่เอา สงสารเขา ถ้าเป็นผู้ชายก็สงสารผัวของเขา เอาเมียเขาไปน่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็สงสารเมียของเขา ถ้าเอาผัวเขาไปแล้ว นี่ถ้ามันเกิดเมตตาสงสารขึ้นอย่างนี้น่ะมันก็ให้อภัยไปเลย ไม่ทำ การที่จะไปตั้งเจตนากล่าวคำเท็จเพื่อหลอกลวงเอาสมบัติผู้อื่น มาเป็นของตนในทางทุจริต เมื่อคิดเห็นว่า ถ้าเราไปหลอกลวง เอาของเขามาอย่างนั้นแล้ว เขารู้เข้าภายหลังเขาก็เดือดร้อนใจ เขารู้ว่าเราหลอกลวงฉ้อโกงเอาของเขาอย่างนี้นะ เขาก็เสียใจมาก เขาก็เป็นทุกข์ นั่นแหละดังนั้นการหลอกลวงฉ้อโกงก็จัดอยู่ในการเบียดเบียน เมื่อผู้มีอภัยทานแล้วจักทำไม่ได้เลย จะต้องพูดตรงไปตรงมา เขาให้ก็เอา เขาไม่ให้ก็แล้วไป เขาขายให้ก็ซื้อเอา เขาไม่ขายแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปอิจฉาตาร้อนเขา ทีนี้เมื่อมานึกถึงตัวของตัวเองเข้าไปว่า การที่ได้อัตภาพร่างกายอันนี้มา ไม่ใช่ได้มาด้วยบาป เพราะอวัยวะร่างกายที่ตนอาศัยอยู่นี้มันบริบูรณ์ทุกส่วนแล้ว แสดงว่าได้มาด้วยบุญกุศล ไม่ใช่ได้มาด้วยบาป เมื่อเป็นเช่นนี้การดื่มเหล้าเมาสุรากัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีนหมู่นี้ พระศาสดาก็ตรัสว่า มันเป็นบาปด้วย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทด้วย อย่างนี้ก็จึงไม่ควรพอใจยินดีในการดื่มเหล้าเมาสุรา กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีนนั้น เพราะว่าสงสารตัวเอง เมตตาปรารถนาอยากให้ตนมีความสุข ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามบาปเช่นนั้นมันถึงเว้นบัดนี้นะ เว้นจากของเสพติดให้โทษต่างๆ เหล่านั้นได้ นี่ลองพิจารณาดู พุทธบัญญัติที่พระองค์เจ้าบัญญัติไว้มีเหตุผลอย่างนี้แหละ ![]() ![]() ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “จับให้มั่น คั้นให้ตาย สบายเอย” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 16 ธ.ค. 2015, 16:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การโยนิโสมนสิการในบุญ-บาป : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |