ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=44004 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 07 ธ.ค. 2012, 10:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
พุทธวจน แก้กรรม ? โดย ตถาคต “ราหุล ! กระจกเงามีไว้สำหรับทำอะไร ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! กระจกเงามีไว้สำหรับส่องดู พระเจ้าข้า !” “ราหุล ! กรรมทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่บุคคลควรสอดส่อง พิจารณาดูแล้ว ๆ เล่า ๆ เสียก่อน จึงทำลงไป ทางกาย, ทางวาจา หรือ ทางใจ ฉันเดียวกับกระจกเงานั้นเหมือนกัน.” จูฬราหุโลวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๒๓/๑๒๖. รายละเอียดที่บุคคลควรทราบ เกี่ยวกับเรื่องกรรม ภิกษุ ท. ! กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรม เป็นสิ่งที่ บุคคลควรทราบ, เวมัตตตา (ความมีประมาณต่างๆ) แห่งกรรม เป็นสิ่ง ที่บุคคลควรทราบ, วิบาก (ผลแห่งการกระทำ) แห่งกรรม เป็นสิ่งที่ บุคคลควรทราบ, กัมมนิโรธ (ความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นสิ่งที่ บุคคลควรทราบ, กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ ไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ ...... คำที่ เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ? ภิกษุ ท. ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็น กรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ. ภิกษุ ท. ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ. ภิกษุ ท. ! เวมัตตตา (ความมีประมาณต่างๆ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! กรรมที่ทำให้สัตว์เสวยเวทนาในนรก มีอยู่, กรรมที่ทำให้สัตว์เสวยเวทนาในกำเนิดเดรัจฉาน มีอยู่, กรรมที่ทำสัตว์ให้เสวยเวทนาในเปรตวิสัย มีอยู่, กรรมที่ทำสัตว์เสวยเวทนาในมนุษย์โลก มีอยู่, กรรมที่ ทำสัตว์เสวยเวทนาในเทวโลก มีอยู่. ภิกษุ ท. ! นี้เรา กล่าวว่า เวมัตตตาแห่งกรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! วิบาก (ผลแห่งการกระทำ) แห่งกรรม ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เรากล่าววิบากแห่งกรรมทั้งหลายว่ามี อยู่ ๓ อย่าง คือ วิบากในทิฏฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า วิบากในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา) หรือว่า วิบากใน อปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก). ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า วิบากแห่งกรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! กัมมนิโรธ (ความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ความดับแห่งกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ. ภิกษุ ท. ! กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมี องค์แปด) นี้นั่นเองคือ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา ; ได้แก่ สิ่งเหล่านี้คือ คือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมา- สังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยง ชีวิตชอบ) สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ). ภิกษุ ท. ! เมื่อใดอริยสาวก ย่อมรู้ชัดซึ่ง กรรม อย่างนี้, รู้ชัดซึ่ง นิทานสัมภวะแห่งกรรม อย่างนี้, รู้ชัดซึ่ง เวมัตตตาแห่งกรรม อย่างนี้, รู้ชัดซึ่ง วิบากแห่งกรรม อย่างนี้, รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธ อย่างนี้, รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา อย่างนี้ ; อริยสาวกนั้น ย่อม รู้ชัดซึ่งพรหมจรรย์นี้ว่าเป็น เครื่องเจาะแทงกิเลส เป็นที่ดับไม่เหลือแห่งกรรม. ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า “กรรม เป็นสิ่ง ที่บุคคลควรทราบ, นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ บุคคลควรทราบ, เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคล ควรทราบ, วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ, กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ, กัมมนิโรธคามินี ปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ” ดังนี้นั้น เราอาศัย ความข้อนี้กล่าวแล้ว. ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓ - ๔๖๔/๓๓๔. เหตุเกิดของ “กรรม” ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งกรรม ๓ อย่าง ภิกษุ ท. ! เหตุ ๓ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความ เกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม. เหตุ ๓ ประการ คืออะไรบ้างเล่า ? คือ ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ (ความรักใคร่ พอใจ) ที่เป็นอดีต ๑, ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต ๑, ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑. ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างไรเล่า ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่ง ฉันทราคะที่ล่วงไปแล้ว เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจ ก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้น ผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์ (เครื่อง ผูก) ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างนี้แล. ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างไรเล่า ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่ง ฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจ ก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้น ผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐาน แห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างนี้แล. ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างไรเล่า ? คือบุคคลตรึกตรองถึงธรรม อันเป็นฐานแห่ง ฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูก ธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็น สังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรม อันเป็นฐาน แห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล. ภิกษุ ท. ! เหตุ ๓ ประการเหล่านี้แล เป็นไป เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม. ภิกษุ ท. ! (อีกอย่างหนึ่ง) เหตุ ๓ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกรรม เหตุ ๓ ประการ คืออะไรบ้างเล่า ? คือความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรม ทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต ๑, ความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต ๑, ความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑. ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีตอย่างไร ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่ล่วงไปแล้ว ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน ยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่ง ฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างนี้แล. ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคตเป็นอย่างไรเล่า ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน ยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ความพอใจ ไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่ง ฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างนี้แล. ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อัน เป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบันเป็นอย่างไรเล่า ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า ครั้นรู้ชัดซึ่ง วิบากอันยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจ ได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็น ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล. ภิกษุ ท. ! เหตุ ๓ ประการเหล่านี้แล เป็นไป เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม. ติก. อํ. ๒๐/๓๓๙/๕๕๒. ...ติดตามตอนต่อไปครับ... |
เจ้าของ: | charoenthai [ 10 ธ.ค. 2012, 13:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
แก้กรรมได้ด้วยหรอค่ะ ทางที่ดีทำดีเข้าไว้ในขณะที่ยังทำได้ค่ะ |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 11 ธ.ค. 2012, 19:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
แก้ได้ครับ..แต่ต้องตามพระศาสดาบัญญัตินะครับ |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 11 ธ.ค. 2012, 19:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
อะไรคือกรรมเก่าและกรรมใหม่ ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย ทั้ง ใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธ- คามินีปฏิปทา. ..... ภิกษุ ท. ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! จักษุ (ตา) .... โสตะ (หู) .... ฆานะ (จมูก) .... ชิวหา (ลิ้น) .... กายะ (กาย) ..... มนะ (ใจ) อันเธอ ทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า) อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น) อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัยทำให้เกิด ความรู้สึกขึ้น) เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้). ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า. ภิกษุ ท. ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด, อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่ ภิกษุ ท. ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม) เป็น อย่างไรเล่า ? ๑๘ พุทธวจน ภิกษุ ท. ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะ ความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด, อันนี้ เรียกว่า กัมมนิโรธ. ภิกษุ ท. ! กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ? กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ความ เห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ) สัมมาวายามะ (ความ พากเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ). ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ภิกษุ ท. ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า) กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่ เราก็แสดงแล้ว, กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว, กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว. ภิกษุ ท. ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหา แก้กรรม ? ๑๙ ประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวก ทั้งหลาย, กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ. ภิกษุ ท. ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง. พวกเธอ จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท, อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอ ทั้งหลาย. สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗ - ๒๓๑. |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 11 ธ.ค. 2012, 19:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
กายนี้ เป็น “กรรมเก่า” ภิกษุ ท. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้ง ไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น. ภิกษุ ท. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มี ความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย). ภิกษุ ท. ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ : เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ; เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ; เพราะ ความดับไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แกสิ่ง เหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; เพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ; เพราะมีนามรูปเป็น แก้กรรม ? ๒๑ ปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้น พร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะมี ความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล. นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓. |
เจ้าของ: | เมธาพร ภูสอน [ 04 เม.ย. 2013, 22:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ต้องการแก้กรรม ตามพระสัมมาสัมพุทธะ ศึกษาที่นี่.... |
![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |