ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=42696
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  กุหลาบดำ [ 16 ก.ค. 2012, 22:11 ]
หัวข้อกระทู้:  อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย

อยากรู้ว่าคุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ ที่เค้าทำกันนั้น คนที่ทำ จะรับผลกรรม มั้ย และ กรรมนั้น ๆ ร้ายแรงเพียงใด แล้วจะรู้ได้ ยังไง ว่า โดนของหรือไม่ มีวิธีดูหรือสังเกตุได้อย่างไร มีใคร มีประสบการณ์ ช่วยเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ

เจ้าของ:  นายฏีกาน้อย [ 19 ก.ค. 2012, 17:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย

ไสยาสน์ ไสยศาสตร์

ไสยาสน์ แปลว่า นอน ในที่นี้คือ มีลักษณะขวาง หรือขนานไปกับพื้น
ต่างจากลักษณะที่ไม่ขวาง ตั้งตรงไม่ติดพื้น ฯลฯ

ศาสตร์ คือ แขนงคือความรู้ ที่มีประโยชน์ก็มี ไม่มีประโยชน์ก็มี
ศาสตร์ที่รู้แล้วให้คุณ บางศาสตร์รู้แล้วให้โทษ มีสาระ ไม่มีสาระ
เมื่อมีการบัญญัติขึ้น ใช้เรียกกันขึ้น ก็เรียกว่าศาสตร์ หรือความรู้นั่นเอง

รวมคำกัน ไสยศาสตร์ ศาตร์ของคนหลับ ศาสตร์ที่ขวางความสุข
ความเจริญ ขวางสวรรค์ ขวางมรรคผลนิพพานฯลฯ.


ความทุกข์ ก็เปรียบเหมือนไฟ คนถือไฟไม่ระวัง โดนลมพัดคืนเข้าให้
ไฟก็หันเข้าหาตัวเองก็มี พอเอานำไฟไปวาง สร้างปัญหาให้คนอื่น บุคคลอื่น
ก็ต้องโกรธแค้น ชิงชัง อาฆาตพยาบาทผูกโกรธ ก็ต้องหาวิธี นำไฟ
นำความพินาศ ไปสู่ อริศัตรูเหมือนๆ กัน

ดังนั้นคนที่ ทำคุณไสย์ ก็คือคนที่ผูกเวร ก่อเวร ไม่ระงับเวร ผลที่ตาม
มาก็เหมือนคนที่โดนอริศัตรู ผูกใจเจ็บรอเวลา รอโอกาสแก้แค้นนั่นเอง


ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองโดน ที่ว่า ไสยาศาตร์ คือขวาง นั่นคือขวาง
ทางเจริญในโลกนี้ และโลกหน้า ขวางสวรรค์ขวางนิพพาน โดยไม่รู้ตัว
คนที่โดน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำ ไม่รู้ตัว แล้วกระทำ
กรรมทางกาย วาจา ใจไปด้วยทุจริต คือมีการเบียดเบียนชีวิต ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดจาโกหก ติดสุราของมึนเมาให้โทษผิดกฏหมาย
เกียจคร้านการทำงาน ไม่เคารพพ่อแม่ ผู้มีอุปการคุณ

ไม่ให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ ถูกว่าก็เคืองโกรธ ถูกเตือนก็แค้น แตกจากมิตร
แตกจากญาติพี่น้อง นอนไม่ค่อยหลับ มักมีเรื่องกังวลใจ ปวดเมื่อยตาม
เนื้อตัวแขนขา ปวดศรีษะ ปวดคอ หลัง เอว หวาดระแวง ซึมเศร้า
โมโหร้าย พูดจาหยาบคายด้วยโทสะ ทำมาค้าขายยากลำบาก รายรับ
น้อยกว่ารายจ่าย เป็นหนี้เป็นสิน หน้ามืดตาลาย แบบนี้อย่าว่าแต่ถูกคุณไสย์
ขวางสวรรค์และนิพพาน แม้แต่ ความสุขในปัจจุบันก็ถูก ขัดขวาง
นี้เพราะไม่รู้ตัวรู้ตน ว่าบกพร่อง ขาดกัลยาณมิตร ขาดครูบาอาจารย์
ชี้นำสั่งสอน ขาดศีลธรรมประจำตน ประจำใจ ฯลฯ


เคยไปทำเขาไว้ ก็จะถูกคนจ้องจะทำ หรือระแวงว่าจะโดนทำ กงกำกงเกวียน
ขอขมาพระรัตนตรัยและสิ่งศัิกดิ์สิทธิ์ กลับตัวกลับใจขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร
ขออโหสิกรรมต่อ พ่อและแม่ ครูบาอจารย์ ญาิติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ตลอดจน
ถึงศัตรู ขอหยุดกรรมวิบาก ไม่ก่อเวร ก่อกรรม ถ้าจำต้องชดใช้ ก็อาศัยความ
อดทน ความพากเพียร ไม่โทษใคร ไม่ว่าใคร เมื่อถึงเวลา ศีลจะรักษาคุ้มครอง
ธรรมจะทำให้รอดให้ปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เพราะมีธรรม
ประดับตัว มีศีลประดับใจ ไปไหนมาไหนระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรมและ
พระสงฆ์ อันตรายต่างๆ ก็เข้าไม่ถึง ด้วยเดชด้วยคุณของ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ที่เอาเป็นที่พึ่งที่พิงเจริญพร...

เจ้าของ:  ouie [ 25 ก.ค. 2012, 20:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย

อุ๋ยสงสัยนะเจ้าค่ะว่า จริงๆแล้ว คนทรงเจ้า เข้าทรงนี่ มีจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ :b8:

เจ้าของ:  นายฏีกาน้อย [ 18 ส.ค. 2012, 17:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย

เจริญพร

ขอโทษด้วยครับไม่ได้เข้ามานาน...

พุทธฏีกาเข้าใจว่า จะถามถึงวิญญาณ ต่างๆ ที่มาผ่าน มาประทับ(ทรง)คนนั้นๆ
ว่ามีอยู่จริงไหม ใช่ไหมครับ ^^

ก็เหมือนกิเลส เหมือนความรักความหลงนะครับ ที่มันประทับ มันปรุงแต่ง
ขึ้นมาในจิต เหมือนๆ ลอยมาสิง(สมมติ) มาเจอะเจอ เหมือนเจอเจ้ากรรม
นายเวรอะไรอย่างนั้น ทำให้คนๆ นั้นขาดเหตุขาดผล ขาดการยับยั้งชั่งใจ
การความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ทั้งๆ ที่ปกติก็เป็นคนมีเหตุมีผล
มีหน้าที่การงาน มีความมั่งคงมีความรับผิดชอบ มีคนนับน่าถือตาฯลฯ

แต่พอเจออกุศลจิต เจอสิ่งยั่วยวน สิ่งเร้าจากทั้งภายในภายนอก
เป็นสาเหตุ เป็นปัจจัยทำให้คนๆ นั้น มีความคิด มีคำพูด และการกระทำ
ที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น เช่น

โกหก หลอกลวง ประพฤติผิดนอกใจในคนรัก ทรยศต่อครอบครัว นี่ก็
เป็นลักษณะของ กิเลสตัณหาที่ยั่วยวน จากสิ่งเร้าทั้งจากภายนอกภายใน
ทำให้คนปกติ ที่มีเหตุมีผล เป็นคนดีๆ กลายเป็นคนที่ ทำผิดคิดผิดพูดผิด
หลงทาง ทำความผิดความเสียหายต่อตนเองครอบครัว ตลอดจนไปสร้าง
ปัญหาและผลกระทบอื่นๆ ให้ติดตามมาและเป็นเรื่องเป็นราว ทำร้ายทำลาย
ชีวิตตลอดจนร่างกายและจิตใจ ของทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง

นี่ก็เป็นผลมาจาก กิเลสตัณหา ความไม่รู้ ที่ปรุงแต่งเอง หรือมีปัจจัยอื่นๆ
ปรุงแต่ง เป็นทั้งสาเหตุทั้งปัจจัย ที่ทำให้เกิดความทุกข์

ความปรุงแต่ง อกุศลจิตที่ว่านี้ ก็ไม่ผิดไปจาก วิญญาณร้าย ที่สิงใจคนเรา
ถ้าเราสามารถปฏิเสธได้ว่า อารมณ์ความคิดนึกปรุงแต่งในด้านร้ายด้านลบ
ของคนเรา ไม่มีอยู่จริง คนทรง คนมีญาณ ก็จะถูกมองว่าเป็นเพียงกลุ่มคน
ที่สามารถรู้เห็นและเข้าใจ ถึง อกุศลจิต หรือ วิญญาณร้ายๆ เหล่านั้นที่เป็น
โทษต่อบุคคลนั้นๆ เป็นเพียงคนอวดคุณวิเศษ คนบ้า คนชอบปรุงแต่งอยากดี
อยากวิเศษ ตั้งตนเป็น เจ้าพ่อเจ้าแม่ เป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ เหล่าีนี้ เพ้อเจ้อ
และไม่มีอยู่จริง ฯลฯ

แต่หากว่า อารมณ์ความคิดนึกปรุงแต่งในด้านดี ด้านบวก ของคนเรา มีอยู่
จนช่วยให้คนๆ นั้น สามารถที่จะ ช่วยเหลือคนอื่น แก้ไข ปัญหา เ็ป็นที่ปรึกษา
เป็นเพื่อน เป็นครู คนที่พยายามมี พยายามเป็น คนที่มีคุณวิเศษ อยากเป็นเทพ
ช่วยเหลือมนุษย์คนอื่นๆ จึงมีอยู่ ทำให้เราประหลาดใจ สงสัย ในบุคคลเหล่านั้น
แท้จริงแล้ว ก็เหมือนที่พุทธฏีกา ยกตัวอย่างเบื้องต้นให้พอเข้าใจ

ว่าถ้า อารมณ์หรือจิตที่ร้ายๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ไม่มีอยู่ คนเราก็ไม่ต้อง ประพฤติผิด เดือดร้อนจนได้รับความทุกข์

แต่เพราะจิตที่ไม่ดี จิตที่เป็นอกุศลมีอยู่ ความปรุงแต่งในด้านร้ายๆ จึงมี คนทรง
คนประทับ คนมีญาณ ก็ไม่ต่างไปจาก คนธรรมดาทั่วๆ ไป เหมือนๆ กันกับเรา
คือ มีจิตที่ดีก็มี จิตที่ไม่ดีก็มี ปรุงแต่งดีก็มี ปรุงแต่งร้ายก็มี เป็นเรื่องละเอียด
ที่คนปกติธรรมดาทั่วไป (คือยังทุกข์) จะสามารถรู้และเข้าใจ ถึงคุณภาพจิต
ที่สูง ที่ดีได้ จนสามารถ ชี้แจงแสดงแก้ไข หาทางออกให้ ปรับปรุงคุณภาพ
สภาวะจิตใจให้ดีขึ้นได้ จึงเป็นความรู้ความสามารถที่อยู่คู่วิถีชีวิตมนุษย์มานาน
เป็นลัทธิ เป็นความเชื่อ ความนับถือต่างๆ มาเนิ่นนานแล้ว

พระพุทธศาสนาจึงถือกำเนิดขึ้น แม้มาที่หลัง แต่กลับสามารถช่วยเหลือ
ให้คนทุกคนพ้นจากความทุกข์ ได้รับความสุข มีสภาวะที่เป็นสุขและสบาย
ได้ด้วยการปฏิบัติ ตัวปฏิบัติตน อยู่ในกรอบของศีล การอบรมจิตใจด้วย
สมาธิและปัญญา เป็นการปรุงแต่ง สภาวะจิตใจในระดับที่สูง ไม่เพียง
แต่ได้รับความสุขหยาบๆ สุขละเอียดๆ เหนือธรรมดาแล้ว ยังสามารถ
เข้าสู่ความสุขความสงบที่ละเอียดกว่า ไม่ต้องอาศัย วัตถุหรือสิ่งล่อใจ
ต่างๆ สร้างความสุขขึ้นมา เพียงแต่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง
จากภายใน ดำรงอยู่ในสภาวะที่เป็นสุข

การปรุงแต่งอย่างประณีต ก็เหมือนสภาวะ ของบุคคล ชายหญิงชาว
พุทธบริษัท ที่รักเคารพเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในปัญญาการตรัสรู้
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในพระธรรมคำสอน เชื่อในพระภิกษุสาวก
ประดุจเหมือนว่า มีญาณ มีการครองใจที่ดี ที่ประเสริฐ ไม่สามารถ คิดพูด
ทำการสิ่งใด ไปโดยขัดต่อธรรม ขัดต่อประโยชน์และความสุข ของตนเอง
และผู้อื่นเลย ถ้าเราปฏิเสธว่า วิญญาณปรุงแต่งชั่วหยาบ ไม่มี ดังนั้นแล้ว
การปรุงแต่งวิญญาณอย่างประณีตละเอียด ก็ไม่มีไปด้วย ถ้ามองใน มุม
ปริยาย โดยอ้อมลักษณะนี้ ก็จะหมดปัญหาเรื่อง วิญญาณ มีหรือไม่มี
เพราะสภาวะที่ถูกต้อง สภาวะที่ผิด มีอยู่

การปฏิบัติัตัวปฏิบัติตนของเรานั่นเอง ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธบริัษัท
เราก็ได้ชื่อว่า คนทรง คนประทับ คือปรุงแต่งกุศลต่างๆ และพยายามละอกุศล
ปรุงแต่งใจให้บริสุทธิ์ สะอดาสว่างสงบ

นอกนั้นคนส่วนใหญ่ จึงยังแบกทุกข์ ดิ้นรนอยู่ในทุกข์ เพราะไม่มีศีลทรง สมาธิ
ทรง ไม่มีปัญญาทรง ประทับ ประดับใจเอาไว้ ปรุงแต่งใจเอาไว้ จึงต้องถูก
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ปรุงแต่งจิตใจ ให้ได้รับความทุกข์ร้อนเนื่องๆ
อธิบาย เรื่องราวของ ความเชื่อและความไ่ม่เชื่อ แต่เพียงเท่านี้ พอเป็นแนวทาง
ในการวางตัว ปฏิบัติตน ให้ถูกต้องดีงามต่อไปนะครับ เจริญพร ^^

เจ้าของ:  nateay [ 25 ก.ย. 2012, 17:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากทราบกรรมของคนที่ทำของใส่คนอื่น หรือทำคุณไสย

:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาบุญกับคำตอบของท่านพุทธฎีกาเจ้าคะ ให้ความกระจ่างได้ดีเจ้าคะ..

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/