ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=32357
หน้า 1 จากทั้งหมด 4

เจ้าของ:  ติณณาห์ [ 06 มิ.ย. 2010, 15:07 ]
หัวข้อกระทู้:  เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

เรื่องที่อยากจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเองโดยตรงค่ะ
ไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด ที่อยากจะเล่าก็แค่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
จะมีหลาย ๆ คนที่ได้อ่านหันเข้ามาปฏิบัติธรรมกันมาก ๆ ขึ้น
ทำนุบำรุงพุทธศาสนามาก ๆ ขึ้น ประกอบกับเป็นการระบายความทุกข์ใจส่วนตัวที่มีมานานหลายปี
แต่พูดให้ใครฟังแทบไม่ได้ หาคนจะมาเข้าใจก็ยากเหลือเกิน
ต้องประสบทั้งความทุกข์ทรมานทางกายและใจที่แสนสาหัส ( เพียงแต่ไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็นเท่าไร ) ^^


ทีแรกก็กะจะเก็บประสบการณ์ตรงเหล่านี้เอาไว้คนเดียว
ไม่คิดจะแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ฟังหรือรับรู้เลย แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า
ถ้าหากเรื่องราวของฉันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ที่ยังลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งเหลือเกินว่า เรื่องราวในระยะเวลาหกปีเต็มของชีวิตฉัน
จะช่วยทำให้หลาย ๆ คนได้หันมาฉุกคิดเวลาจะทำกรรมชั่วใด ๆ แล้วหันกลับมาทำแต่กรรมดี
และผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมได้หันมาปฏิบัติธรรมมาก ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ฉันเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ ท่านจะได้เดินทางเข้าสู่แดนพระนิพพาน
เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ผจญกับความทุกข์สารพัดมากมายขนาดนี้





ป.ล. ตอนนี้ติณสุขภาพแย่มาก ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นแค่วันนี้วันเดียวคงจะเล่าไม่จบ
โดยความตั้งใจก็จะค่อย ๆ เล่าไปเรื่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์และเวลาที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
บางวันก็อาจจะไม่ได้เข้ามาในบอร์ด เพราะว่าอยู่หน้าจอคอมนาน ๆ ก็ไม่ได้ ^ ^
และชื่อบุคคลที่กล่าวถึง ติณขออนุญาตใช้ชื่อที่สมมติขึ้นมานะคะ


ขอให้ทุก ๆ ท่านที่เข้ามาอ่านเจริญในธรรมทุก ๆ ท่านค่ะ สาธุ ๆๆ





..........


time is a valuable thing - เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า คำกล่าวคำนี้คงจะเป็นความจริงที่เหนือกว่าความจริงใด ๆ



ปีนี้ฉันอายุ 25 ปี ใคร ๆ ก็บอกว่า ฉันยังเด็กอยู่ ยังต้องมีอนาคต มีชีวิตที่สดใส
เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นสร้างฐานะให้กับตัวเอง


เพื่อน ๆ ของฉันในวัย 25 ปี
บางคนกำลังเรียนต่อปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยชื่อดัง
บางคนกำลังมีความสุขกับการมีคนรักและกำลังเตรียมตัวจะแต่งงาน
บางคนกำลังเรียนต่อปริญญาโทในต่างประเทศ เพื่อจะได้มีอนาคตหน้าที่การงานที่ดี ๆ
บางคนกำลังก้าวหน้าในอาชีพการงานของตัวเอง
และอื่น ๆ อีกมากมาย


ส่วนชีวิตฉันนะหรอ ไม่ต้องพูดถึงฉันหรอก ฉันไม่ได้จัดอยู่ในประเภทใด ๆ เลยของคนกลุ่มนั้น
เพราะฉันเป็นคนที่เรียนหนังสือไม่จบ เป็นคนป่วย หรือเรียกให้ถูก ๆ ก็คนที่ได้แต่รอความตายไปวัน ๆ
พอฉันพูดกับใคร ๆ ว่า ฉันมีความรู้สึกว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอกนะ ก็มีแต่คนบอกว่าฉันพูดอะไรบ้า ๆ
แต่ฉันกลับคิดในทางตรงกันข้าม ฉันกลับคิดว่า ความตายนั้นเป็นเรื่องที่ปกติแสนจะปกติในชีวิตมนุษย์
ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็ไม่มีวันหนีความตายพ้นไปได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักร้องมีชื่อเสียง เป็นพระราชา เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน หรือเป็นเพียงขอทานยาจกที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ในท้ายที่สุดคุณก็ต้องตายจากโลกนี้กันไปทั้งนั้น


เมื่อฉันพูดกับพี่ ๆ น้อง ๆ หรือเพื่อนที่พอจะสนิทสนทกันอยู่บ้างว่า ฉันคงอยุ่ได้อีกไม่นานหรอกนะ
ก็มีแต่คนว่าฉัน ว่าทำไมฉันถึงพูดจาอะไรแบบนี้ พูดจาไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
ใคร ๆ ก็ต้องตายกันทั้งนั้น จะรีบคิดว่าตัวเองจะตายไปทำไม


ฉันไม่รู้จะอธิบายไปเพื่ออะไรให้คนพวกนั้นเข้าใจ
ในเมื่อสิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริงทั้งนั้น
น้ำหนักที่ลดลงมาจากปกติถึง 10 กิโลกรัม ร่างกายที่ซูบผอมจนเห็นแต่ซี่โครง
แม้กระทั่งเส้นเลือดก็เริ่มจะเห็น ๆ แล้ว
หายใจเข้า หายใจออกก็แสนจะลำบาก บางครั้งหายใจไม่ได้ หน้าไม่มีสีเลือดก็เคยมาแล้ว

เวลาจะนอนก็นอนแบบคนปกติไม่ได้ ต้องงอตัวนอน บางทีก็ต้องเอาหมอนมาฟุบแทน
แต่ละวันแต่ละคืนกว่าจะหาท่านอนใ้ห้ตัวเองได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ
จะเดินไปไหนมาไหนแต่ละทีก็หอบเหนื่อย ยังกับไปวิ่งรอบสนามกีฬามาสักสิบรอบ
และอาการมากมายอีกสารพัดที่ฉันขี้เกียจจะจำแล้วละ ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรบ้าง
แล้วนี่ฉันพูดเรื่องไม่ดีตรงไหนกันหนอ ในเมื่อมันก็เห็นกัน ๆ อยู่
ว่านี่คือสภาพของคนที่ใกล้จะโบกมือลาโลกนี้แล้ว ฮ่า ๆๆ



ฉันก็เข้าใจดีอยู่หรอก ว่าคนพวกนั้นคงทำใจไม่ได้เรื่องของฉัน
มันก็จริงอยู่หรอก เมื่อพูดถึงความตาย หลาย ๆ คนมักจะทำใจไม่ได้
เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องสูญเสียพลัดพรากจากคนที่รักไป
แต่ไม่ใช่กับตัวฉัน
ในวันนี้ ฉันยินดีที่จะยอมรับความตายแต่โดยดี มากเสียกว่าที่จะต้องมีชีวิตอยู่แบบทรมาน ๆ เช่นนี้
ฉันไม่กลัวความตาย และไม่คิดด้วยว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด


เมื่อไม่นานมานี้ แม่ก็เพิ่งจะพูดกับฉันด้วยว่า
เวลาสวดมนต์ หนูก็ขอให้หนูตายก่อนพ่อกับแม่นะ
เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ใคร ๆ ก็ต้องว่าแม่ฉันบ้าไปแล้วแน่ ๆ



ตั้งแต่เด็กจนโตฉันคิดอยู่เสมอ คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
ในเมื่อมองไปทางไหน ฉันไม่เคยเห็นใครมีความสุขจริง ๆ เลยสักคน
ไม่ว่าจะรวย จน เรียนเก่ง เรียนไม่เก่ง สวย หล่อ ขี้เหร่ สูง ต่ำ ดำ ขาว
มนุษย์มีทุกข์อยู่เสมอ เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
นั่นคือความคิดของฉันเมื่อฉันเรียนชั้นมัธยม




ฉันจำได้ว่า ฉันเคยถามพ่อว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
แล้วพ่อฉันก็ตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำความดีไงลูก
นั่นคือสิ่งเดียว ที่ทำให้ใจฉันยังคงเ้ป็นสุขที่ตัวเองยังมีลมหายใจอยู่จนถึงวันนี้
ในตลอดระยะเวลาห้าปีกว่า ๆ ที่ฉันต้องเผชิญกับความทุกข์หนักหนาแสนสาหัส
เป็นความทุกข์ที่ใคร ๆ ได้รับรู้ก็คงไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องจริง

เจ้าของ:  จันทร์ ณ ฟ้า [ 06 มิ.ย. 2010, 17:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

อนุโมทนาค่ะคุณติณ

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวนะคะ
หลายคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าคนที่เป็นมะเร็งขั้นเริ่มต้น
เนื่องจากพอรู้ผลตรวจก็จิตหดหู่จนทำให้ร่างกายทรุดหนัก

ตอนนี้คุณติณก็กำลังทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
ดิฉันคิดว่ายังดีกว่าอีกหลายคนที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท
ไม่มีโอกาสได้รู้และทำในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ชีวิตมนุษย์ควรจะได้

ความตายมาถึงพวกเราทุกคนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีหรือเลว จนหรือรวย อ่อนแอหรือแข็งแรง
เห็นแข็งแรงๆในวันนี้ เผลอเดินข้ามถนนไม่ระวังก็ถูกรถชนตายได้

จริงๆจิตเกิดดับตลอดเวลา
เพียงแต่จิตดวงสุดท้ายในภพนี้ จะไปเป็นปฏิสนธิจิตในภพใหม่รูปใหม่
ตราบที่ยังมีอวิชชา

พวกเราทุกคนต่างก็เป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวในสังสารวัฏ
ไม่มีใครหรืออะไรจะตามเราไปได้ นอกจากข้อมูลกรรมที่สั่งสมไว้ในจิต
ตอนนี้ก็สั่งสมแต่สิ่งดีดีให้จิตนะคะ ขอเล่าให้ฟังเรื่องนึงค่ะ
พระรูปหนึ่งท่านพบนางฟ้ามากราบนมัสการ แล้วจำไม่ได้
ที่แท้เมื่อชาติก่อนนางฟ้านี้เคยเป็นคุณยายขายพวงมาลัยอยู่ที่วัดท่านนี่เอง
(จะสื่อว่าชาติภพถัดไปเราอาจมีอัตภาพที่ดีกว่าตอนนี้ก็ได้ค่ะ ตามเหตุที่เราเคยทำไว้)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b46:

เจ้าของ:  ศรีสมบัติ [ 07 มิ.ย. 2010, 11:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ติณณาห์ เขียน:
ปีนี้ฉันอายุ 25 ปี ใคร ๆ ก็บอกว่า ฉันยังเด็กอยู่ ยังต้องมีอนาคต มีชีวิตที่สดใส

ไม่น่าเชื่อ..และไม่อยากจะเชื่อ..ที่ผู้หญิงอายุเพียงเท่านี้จะต้องมารับผลวิบากกรรมแสนสาหัสก่อนวัยอันควร...อันเรือนร่างของมนุษย์เรานี้มันเป็นที่พักอาศัยของโรคแท้ๆ ซึ่งทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นแน่..
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นกฏธรรมชาติ
....มองโลกในแง่ดี..และให้กำลังใจ..เมื่อมีกำลังใจย่อมจะมีผลทางกำลังกาย..ไม่อยากจะบอกให้เชื่อเลยว่าโรคร้ายของคุณมีทางหายได้...คุณอาจจะหัวเราะงอหาย..เพราะคุณเชื่อว่าหมอสมัยใหม่พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าคุณจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้..จะอยู่ได้ถึงวันนั้นวันนี้..
เฮอ..!!!คุณคงท้อแล้วท้ออีก...จนเจริญมรณสติ..รายวัน..เตรียมตัวตาย..ไม่กลัวความตาย..เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา..อันนี้ต้องยอมรับจิตใจของคุณติณจริงๆ..มันยิ่งใหญ่..มันเป็นธรรมชั้นสูง..มันเป็นวิปัสสนา....มองเห็นความไม่เที่ยง..แม้แต่ผิวกายตัวเองที่เริ่มแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร..แม้แต่รอยเส้นเลือดที่ผุดขึ้น...มันก็เป็นสักว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ (มีอากาศ วิญญาน)มาประชุมกันเข้าก็เลยสมมุติกันว่าเป็นคนล่ะ..เป็นมนุษย์..เป็นนั่นเป็นนี่ล่ะ...
....ลองนึกพิจารณาดู..ในอุปาทาน..ขันณ์..รูป เวทนา สัญญา สังขาร..วิญญาน..ถ้าคุณหลุดออกจากสิ่งจองจำเหล่านี้..หรือหลุดออกจากความมีตัวตน..ความยึดมั่น..ถือมั่น..ความทุกข์คุณจะทุเราเบาบางลงหรือแทบจะไม่มี..คงมีแต่ความเจ็บปวดทางกายเท่านั้น..แต่ใจนั้นสงบสุขอย่างยิ่ง..แม้ความเจ็บปวดนี้มันก็ไม่เที่ยง..มันมีเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป..ดับไปในที่นี้ไม่ใช่ว่าตาย..คุณลองสุงเกตุดู..ว่าจริงไหม..มันปวดตลอดทุกเวลาหรือไม่..บางครั้งจิตคุณเตลิดออกไปถึงใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด..ความเจ็บปวดนั้นมันก็จะหายไปชั่วขณะ..เกิดๆดับๆ..อยู่..เหมือนกับจิตนี่แหละ..ที่คิดได้ตลอดเวลาปรุงแต่งตลอดเวลา เกิดๆ ดับๆ อยู่...
.......ถ้าคุณยังมีกำลังที่จะมาโพสต์ กระทู้เพื่อเผยแผ่ เตือนสติแก่ญาติกัลยาณมิตรในเวบนี้อยู่..แสดงว่าคุณยังมีสติ..ขอให้คุณเข้ามาบ่อยๆ เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย..อันนี้มีประโยชน์..เป็นบุญกุศล..กระผมขออนุโมทนา...โรคร้ายของคุณไม่ร้ายอย่างที่คิด...จงเชื่อและศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..คุณสามารถ..เจริญภาวนาเมตตา...เจริญกรรมฐาน..เจริญสมถะ-วิปัสสนา..เวลานั้นมีค่ามากหากวันนี้คุณมีแรงปฏิบัติ..สะสมไปทีละเล็กที่ละน้อย..อย่ามองวันข้างหน้าว่าเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันเป็นเพียงแค่มายา..ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นเป็นของน้อยนัก..มองวันนี้ ปัจจุบันนี้..เดี๋ยวนี้..มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม..มีความเพียรที่จะปฏิบัติ..นั่งสมาธิ..เดินจงกรม..หรือนอนสมาธิ..ทุกอิริยาบทคุณสามารถกระทำได้
บางทียาที่หมอให้ประจำวันที่ช่วยระงับความเจ็บปวดอาจจะไม่มีผลเท่า ยาธรรมะทีคุณปฏิบัติทางใจเพื่อละกิเลสทั้งปวงและไม่มีผลข้างเคียงเป็นอย่างอื่น..นอกจากความสงบ....และเมื่อสภาวะจิตใจสงบปราศจากสิ่งใดรบกวนแล้ว..โรคร้ายมันก็ย่อมทำอะไรเราไม่ได้..แรงใจมาแรงกายก็ต้องมา
...ขอเป็นกำลังใจอย่างยิ่งยวด..และขอให้คุณมีแรงกายแรงใจเข้ามาเล่าธรรมสู่กันฟังทุกวันครับ

เจริญในธรรม :b8:

เจ้าของ:  ติณณาห์ [ 09 มิ.ย. 2010, 11:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:


ความตายมาถึงพวกเราทุกคนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีหรือเลว จนหรือรวย อ่อนแอหรือแข็งแรง
เห็นแข็งแรงๆในวันนี้ เผลอเดินข้ามถนนไม่ระวังก็ถูกรถชนตายได้





เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b46:



ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะพี่จันทร์ หนูขออนุญาตเรียกแบบนี้แล้วกัน อิ ๆ


ความตายนี่มันไม่เลือกปฏิบัตินะคะ หนูว่า
ไม่ว่าจะป่วย ไม่ป่วย สวย รวย จน พอบทคนเราจะถึงเวลาตายก็ต้องตายทุกคน
แล้วแต่กรรมที่ทำมา แม่หนูบอกหนูแบบนี้ ^ ^

เจ้าของ:  ติณณาห์ [ 09 มิ.ย. 2010, 11:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ขออนุญาตเล่าเรื่องต่อเลยนะคะ หายไปสองวัน อาการร่อแร่อีกแล้ว ฮ่า ๆๆ




...................


อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ก็จะถึงวันครบรอบที่ติณโดนหามเข้าโรงพยาบาล - คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2547
ปีนั้นติณสอบเข้าเรียนได้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากบ้านคุณพ่อคุณแม่ติณอยู่ต่างจังหวัด
ติณจึงต้องย้ายมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ซึ่งก็คือ คุณปู่คุณย่า และคุณอา


ก่อนหน้าวันที่ 19 มิถุนายน ราว ๆ สองสัปดาห์ ( เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยกำลังเปิดเืทอมพอดี )
ติณเริ่มมีอาการตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงมาก ตอนไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแถว ๆ บ้าน
พยาบาลบอกว่าไข้ขึ้นสูงถึง 39 องศา ระดับเกร็ดเลือดต่ำลงกว่ามาตรฐานครึ่งหนึ่ง
ขนาดที่ว่าคุณหมอเรียกอาไปสอบถามว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเปล่า
แต่คนในครอบครัวติณไม่มีประวัติว่าใครเคยเป็นโรคนี้เลยสักคน อาการนอกจากนี้ก็คือ
ลำไส้ทำงานผิดปกติ เวลาที่ทานอะไรเข้าไป มันก็ถ่ายออกมาทันที มารู้ทีหลังก็คือ ลำไส้ติดเชื้อ
ไปโรงพยาบาลครั้งแรก คุณหมอวินิจฉัยว่า ติณเป็นไข้ติดเชื้อ ก็สั่งยามาให้กิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น


จนกระทั่งคืนวันที่ 19 ไข้ที่คนที่บ้านคิดว่ามันจะลดลงมันกลับไม่ลดลงเลย
ความรู้สึกของตัวติณเองในตอนนั้นก็คือ รู้สึกเหมือนตัวเองสามารถเปล่งรังสีความร้อนออกมาได้
ติณยังจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า คืนนั้นคุณย่ามาเช็ดตัวให้ จนสุดท้ายท่านคงเห็นว่า อาการไม่ดีขึ้น
ก็เลยสั่งให้อาไปเรียกแท็กซี่พาติณไปโรงพยาบาลอีกแห่ง


เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปตรวจที่แผนก ER คำถามแรกที่หมอถามติณก็คือ
เป็นยังไงบ้าง รู้สึกเหนื่อยไหมคะ ??
ตอนนั้นก็งง ๆ เอ๊ะ ทำไมถามเราแบบนี้ละ ก็เพราะตอนนั้นติณไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
แล้วคุณหมอก็สั่งให้พยาบาลลากถึงอ็อกซิเจนพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจเอามาให้ติณใส่
จากนั้นคุณหมอก็ซักถามอาการ อย่างเช่นว่า เริ่มรู้ตัวว่ามีไข้ตอนไหน แล้วคำถามอีกหลายคำถาม
ในที่สุดหมอก็สั่งให้ admit


นึกถึงช่วงเวลานั้นแล้วก็ขำ ๆ เพราะในห้องของแผนก ER เตียงรอบ ๆ ข้างติณมีแต่คนสูงอายุ
คือมีแต่คนรุ่นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย เห็นจะมีก็แต่ติณคนเดียวนี่ละที่เป็นเด็ก

ตอนที่นอนอยู่ที่ ER พี่พยาบาลก็เอายาชนิดหนึ่งมาให้ติณกิน เป็นยาน้ำีที่อร่อยมากจริง ๆ
รสชาติเหมือนเอาเกลือทะเลสักสิบกิโลมาต้มรวมกัน เพราะมันเค็มแสนเค็ม โคตระจะเค็ม
ตอนแรกติณเองก็สงสัยเอ๊ะ ยาอะไรน้อ ทำไมพี่พยาบาลต้องเอาเหยือกน้ำกับแก้วน้ำมาวางไว้ข้าง ๆ ด้วย
แถมตอนนั้นเอามาให้ พี่เขายังมีอารมณ์บอกติณอีกว่า
ทานยาเสร็จแล้ว ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ นะคะ = =' ไอ้เราก็คิดว่ามันจะไปกัดกระเพาะหรอ ถึงต้องดื่มน้ำตามมาก ๆ ทีไหนได้
พี่น้องครับ มันเค็มมาก เค็มลงไปถึงข้างในคอเลยค่ะ ยาที่ว่าก็คือ ยา K แปลเป็นภาษาพื้น ๆ มันคือ โปแทสเซียมเหลว โดนสั่งให้กินเพราะหมอบอกว่าระดับโปแทสเซียมในเลือดลดลง




วันถัดมา วันที่ 20 มิถุนายน 2547
คุณแม่ของติณลงมาจากต่างจังหวัด เพราะคุณย่าโทรศัพท์ไปบอกว่าติณอยู่ที่โรงพยาบาล
วันนั้นถ้าจำไม่ผิด ติณถูกส่งให้ไป x - ray ปอด ทำ ultrasound ที่ท้อง
จริง ๆ ก็ลืมไปแล้วว่าวันไหน แต่เป็นช่วงแรกที่เข้าไปที่โรงพยาบาลนี่ละค่ะ
ปรากฎว่าหลังจากตรวจสารพัด ทั้ง x- ray , ultrasound ตรวจเลือด ตรวจฉี่
อาการที่พบก็คือ หนึ่งปอดด้านขวาของติณทะลุ และสองก็คือมีก้อนเนื้อติดอยู่ที่ไตด้านขวา
ซึ่งก้อนเนื้อที่ไตใหญ่มาก ๆ มันดึงเลือดในตัวติณไปหล่อเลี้ยงแล้วก้อนที่ว่านี่ก็กำลังจะแตก
เลือดเริ่มไหลออกมาแถมลงไปทางลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้เล็กติดเชื้อ
นั่นคือสาเหตุว่าทำไม ติณกินอะไรเข้าไปก็จะถ่ายท้องออกมาทันที




จากนั้นก็ย้ายไปอยู่อีกแผนกหนึ่ง จำชื่อแผนกไม่ได้แล้ว TT^TT
จนกระทั่งหมอเริ่มมาคุย ๆ บอกว่า อาจจะต้องใส่ท่อเข้าไปในปอดที่มันทะลุ
ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไร เพราะว่าทำใจเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตรวจมาแล้วเจอนั่นโน่นนี่
ในใจก็คิด เอาเหอะ ถึงจะอยากกลับบ้านมากแค่ไหน ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ฮือ ๆๆ




มีเรื่องหนึ่งที่ตลกก็คือ ตอนที่แม่มาถึงโรงพยาบาล แม่เล่าให้ติณฟังว่า
เมื่อวานแม่ไปทำบุญที่บ้านของเพื่อนคุณย่าท่านหนึ่ง ( ติณมีย่าหลายท่านค่ะ แบบว่า ที่บ้านครอบครัวใหญ่ คุณย่าที่กล่าวถึง ทั้งท่านที่ติณมาอยู่ด้วย และท่านที่แม่พูดถึง เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของปู่แท้ ๆ ของติณเอง งงกันไหมนี่ ^ ^" )

ก็แม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่ไปเจอพี่คนหนึ่งเป็นลูกชายของคนที่มาทำบุญที่บ้านนี้
คือทุก ๆ ปี บ้านของเพื่อนคุณย่าท่านนี้จะนิมนต์พระคุณเจ้ามาเทศน์ มีให้ทำสังฆทาน
ถวายผ้าไตร แล้วแต่ละคนก็จะเอาอาการกับข้าวมาในงาน ช่วย ๆ กันอะไรแบบนี้ค่ะ
ซึ่งตอนเด็ก ๆ กว่าตอนนั้นติณก็เคยไปบ้านนี้อยู่สองสามครั้ง ^ ^



พอดีว่าพี่คนนี้เขาดูดวงแม่นมาก แม่ติณก็เลยยื่นมือให้พี่เขาดูเล่น ๆ ไม่ได้คิดจะดูจริงจังอะไร
เขาก็ทักแม่ติณว่า คุณน้าครับปีนี้ลูกสาวคนโต คุณน้าอายุเท่าไร แล้วอยู่ที่ไหน
ตอนนี้กรรมมาถึงตัวน้องเขาแล้วนะครับ


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ แค่ไม่ถึงวันหลังจากที่แม่ติณโดนทักมา ติณก็โดนหามเข้าโรงพยาบาล
แถมจัดอยู่ในประเภทคนป่วยอาการใกล้จะตาย หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิด ติณตายแน่นอน
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นติณสุขภาพดีมาโดยตลอด เล่นกีฬาได้ปกติ เดินก็ปกติ


ที่ไม่อยากจะเชื่ออีกอย่าง ก็คือพอตรวจไปเรื่อย ๆ ในที่สุดหมอก็ลงความเห็นว่า
ติณป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางให้รักษาให้หายขาดได้
นั่นหมายความว่า ติณเป็นโรคนี้มาตั้งแต่เกิด แต่อาการไม่เคยกำเริบเลยจนกระทั่งติณอายุ 19 ปี
แถมโอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีแค่หนึ่งในห้าหมื่นหรือหนึ่งในห้าแสนนี่ล่ะค่ะ ( น่าจะเป็นอย่างหลัง )
ตอนนั้นก็อึ้ง ๆ ไปเหมือนกัน เฮ้ย เป็นไปได้ไงนี่ เราเป็นโรคอะไรกันเนี่ย อะจ๊ากกกก


อีกเรื่องที่น่าตลกก็คือ โรคที่ว่านี่ คนที่เป็นจะต้องปัญญาอ่อน เป็นอาการหลัก ๆ เลย
คุณหมอบอกมาแบบนั้นค่ะ แต่ติณกลับเป็นคนปกติ แถมยังเรียนเก่งอีกต่างหาก TT^TT
เพราะเวลาหมอมาตรวจจะถามแทบทุกคนเลยว่า นี่เรียนอยู่ปี่หนึ่งที่จุฬาจริง ๆ หรอ
ไม่ก็ถามทำนอง เรียนคณะอะไร เก่งจังเลย เหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่า คนไข้เคสแบบติณจะมีจริง ๆ

........


วันนี้ก็ไปพักก่อนนะคะ เริ่มจะไม่ไหวอีกแล้ว TT^TT

เจ้าของ:  จันทร์ ณ ฟ้า [ 09 มิ.ย. 2010, 12:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

เราเป็นศิษย์สถาบันเดียวกันเลย...

บุญกุศลใดใดที่พี่เคยทำไว้
พี่ขอให้น้องติณและเจ้ากรรมนายเวรของน้องติณด้วยนะคะ
เข้มแข็งเจริญในธรรมนะคะ
พี่ขวัญ

น้องติณคะ ช่วยส่งที่อยู่มาให้พี่ทาง t.jannapat@gmail.com ได้มั้ยคะ
พี่จะขอส่งหนังสือเล่มนึงไปให้ (ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ-ดร.สนอง วรอุไร)
พี่ซื้อเก็บไว้หลายเล่ม เพื่อจะส่งให้ญาติธรรมค่ะ
เนื่องจากเป็นหนังสือเล่มแรกที่ทำให้พี่ตัดสินใจก้าวออกจากทุกข์ด้วยตัวเอง
และมีส่วนในการเปลี่ยนเส้นทางกรรมของพี่มาก ลองดูนะคะ

ได้ยินว่าหากเราขอให้ผู้เข้าปฏิบัติธรรมหลายๆคน อุทิศกุศลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม
ให้เราและเจ้ากรรมนายเวร ก็มีผลมากค่ะ

พี่ขอยกคำสอนของดร.สนอง วรอุไร เกี่ยวกับเรื่องกรรมมาณ ที่นี้นะคะ

1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน
ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้ บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา
แล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรมไปเรื่อย ๆ
วิธีนี้เป็นการเอาบุญแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียร
ไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไป
เพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทันอกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผล
และสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

4. พัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลส ไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจอีกต่อไป

เจ้าของ:  ศรีสมบัติ [ 09 มิ.ย. 2010, 13:37 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

แม้แต่หมอ ก็ยังวินิจฉัย..ไม่ตรงกัน..หลายโรงบาลหลายโรค
หนึ่งใน แสน หนึ่งใน ล้าน
เมื่อก่อนก็แขงแรงดีเรียนก็เก่ง.ไม่ได้ปัญญาอ่อน..ในทางโลกก็ต้องดูแลรักษา
ในทางธรรม..เขาว่าเป็นโรค กรรม วิบากกรรมส่งผลมาถึง
จงมีสติและยิ้มยอมรับผลกรรมอันนี้...แต่หาก กุศลกรรมเรายังมีก็จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ได้
เจริญเมตตาภาวนา แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร..ทุกเมื่อ..ทุกเวลา
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน..เท่าที่มีเวลามีแรง..อันนี้มีผลและอานิสงส์มาก
โรคร้ายยิ่งกว่านี้ก็ยังปรากฏว่ามีผู้หายขาด...ขอให้กำลังใจ
ขอเจริญในธรรม :b8:

เจ้าของ:  damjao [ 09 มิ.ย. 2010, 13:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

มรณะ ธัมโมหิ มระณัง อะนะติโต
เรามีความตายเป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ tongue

เจ้าของ:  ติณณาห์ [ 10 มิ.ย. 2010, 15:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ขอบพระคุณทุก ๆ ท่านนะคะที่แนะนำในสิ่งที่ดี ๆ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ ^ __ ^

ขออนุญาตเล่าเรื่องต่อเลยนะคะ

.............


หลังจากนั้น ติณก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบ ๆ สองเดือนเต็ม
ย้ายเข้าย้ายออกอยู่หลายแผนก จำได้ว่า ไปอยู่แผนกอายุรกรรมประมาณสองสามรอบได้
แถมยังไปนอนในไอซียูสองรอบ เพราะว่าโดนจับขึ้นเขียงไปสองรอบ
ทั้งผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่ไตออก ( จริง ๆ คือผ่าเอาไตด้านขวาออกไปด้วย ) = ='
แล้วก็ส่องกล้องที่ปอด ทุกวันนี้หลักฐานร่องรอยก็ยังมีให้เห็น ( รอยแผล )
มองร่างกายตัวเองทีไรก็ปลงมันทุกครั้งไป ใคร ๆ มาเห็นแผลบนตัวติณก็มีแต่คนรู้สึกสยอง ๆ
มีแต่คนถามว่า ตอนนั้นเจ็บมากไหม ในใจติณก็คิด ตั้งแต่เกิดมาความเจ็บปวดเป็นอย่างไร ก็ได้รู้รสชาติของมันก็ตอนไปนอนอยู่โรงพยาบาลนั่นละ


ทุกขเวทนาทางกายที่ติณได้รับตลอดระยะเกือบ ๆ สองเดือนนั้นมีสารพัด


เริ่มตั้งแต่ไม่ว่าติณจะกินอาหารอะไรเข้าไปก็จะต้องถ่ายท้องตลอดเวลา
ทุก ๆ วันจะโดนเจาะเลือดสามเวลา ( หลังอาหาร ) โดนเจาะจนเส้นเลือดเขียวกันเลยทีเดียว
ทุก ๆ วันจะโดนจับ x-ray ปอด
แล้วก็โดนเอาท่อเสียบเข้าไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทีแรกโดนด้านขวาก่อน นอนโรงพยาบาลไปสักพัก
คุณหมอบอกว่า ปอดด้านซ้ายหนูมันเกิดทะลุขึ้นมาีอีกแล้ว
การใส่ท่อ ที่เรียกกันว่า chest drain หมอจะเอาท่อขนาดประมาณหัวแม่มือเราจับยัดเข้าไปที่ข้างลำตัว
ติณยังจำได้จนทุกวันนี้เลยว่า หมอทำยังไง ขั้นแรกหมอจะเอาปากกามามาร์กจุดที่จะยัดท่อเข้าไป
แล้วก็ฉีดยาชา มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องสั่ง ฉีดไปราว ๆ สามเข็ม ทรมานสุด ๆ
จากนั้นก็เอามีดกรีด นี่ก็ไม่ต้องพูดถึง ในใจตอนนั้นติณได้แต่คิด ที่ฉันทำอะไรใครมาหนอ ถึงได้ต้องมาทุกข์ทรมานมากขนาดนี้กัน
เกิดมาชาตินี้ แม้แต่ฆ่าแมลงสาปตายไปแค่ัตัวเดียวโดยไม่ตั้งใจ ติณยังคิดมาก คิดแล้วคิดอีก
แม้แต่จะตีสุนัขติณก็ไม่เคยคิดจะทำ เพราะกรรมอันใดหนอ ถึงได้ต้องมารับผลของกรรมเช่นนี้
หลังจากที่หมอเอามีดกรีดมาถึงตอนที่หมอค่อย ๆ เอาท่อใส่เข้าไปนี่ล่ะค่ะ มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถที่จะบรรยายได้เลยจริง ๆ เจ็บมาก มากจนไม่รู้จะหาคำพูดใด ๆ มาใช้บรรยายความรู้สึกเจ็บนี้ได้เลย
นอกจากนี้ก็คือ ทุก ๆ วันไข้จะขึ้นสูงตลอด จนต้องกินยาลดไข้ แต่กินไปก็เท่านั้นเพราะไข้จะลดลงไปอยู่ที่ 38 องศา ซึ่งก็ยังสูงอยู่ดี
ทุก ๆ วัน ก่อนที่จะไปผ่าตัด สภาพไม่ต่างอะไรจากคนที่โดนล่ามโซ่ให้อยู่กับที่ แต่นี่โดนล่ามด้วยสายยางที่เจาะเข้าไปในปอด วัน ๆ ได้แต่นั่งอยู่กับเตียง
ลิ้นและคอเต็มไปด้วยฝ้า เพราะว่า ร่างกายมันร้อนมาก ทำให้เวลาทานข้าว แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวก็เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา อย่าพูดถึงเวลาทานยา โดยเฉพาะยา K ดื่มแค่แก้วเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนทานไฟ เพราะว่ามันเผาคอ เจ็บแสบปวดร้อน
รวมไปถึงตอนที่ผ่าตัดแล้้วนอนอยู่ไอซียู ทุก ๆ วัน พี่พยาบาลจะเอาสายยางเล็ก ๆ สอดลงไปในท่อที่ใช้ช่วยหายใจ เพื่อดูดเสมหะออกจากท่อ หลังจากดูดออกนี่ซิคะ
มันก็จะไอ พอไอกล้ามเนื้อหน้าท้องจะเกร็ง แล้วตอนนั้นติณเพิ่งผ่าไตออกไป เป็นแผลใหญ่มากที่ท้อง
เจ็บสุดแสนจะเจ็บ เวลาพี่พยาบาลเดินเข้าห้องมาเพื่อจะดูดเสมหะให้ ติณจะส่ายหน้าก่อนเลยเป็นอันดับแรก อารมณ์ประมาณว่า ไม่เอาแล้วค่ะพี่ หนูโคตรทรมานเลย แต่ไม่ทำก็ไม่ได้นะคะ ถ้าหายใจไม่ได้ก็ตายเหมือนกัน ^^
แล้วก็ยังมีตอนส่องกล้องที่ปอด หลังจากทำเสร็จ ติณไม่สามารถลุกนั่งเองได้ เพราะหลังทั้งหลังปวดร้าวไปหมด เจ็บเพราะแผลที่อยู่ข้างใน
และความทุกขเวทนาทางกายอีกมากมาย ที่เจอไม่เว้นแต่ละวันในตลอดระยะเกือบ ๆ สองเดือน



ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวติณเองผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ ถึงผ่านมาได้ ติณก็ยังใช้ชีวิตโดยประมาทอยู่ดี
ซึ่งคือเรื่องราวหลังจากที่ติณออกจากโรงพยาบาลแล้ว เรียกได้ว่า ขนาดเจ็บขนาดนี้ไอ้ติณคนนี้ก็ยังไม่สำนึก
เอาไว้วันต่อ ๆ ไป จะมาเล่าให้ฟังนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตติณ ชีวิตเกือบ ๆ สี่ห้าปีที่รู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในหลุมดำ เวียนว่ายอยู่แต่ในโลกแห่งความมืด ^ ^

เจ้าของ:  ดอกพุทธ [ 11 มิ.ย. 2010, 10:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

รับรู้ รับฟัง อ่านมาตลอด

แม้กายไม่สบาย แต่ขอให้ใจเข้มแข็ง

วันนี้เรายังอยู่ แสดงว่าวันนี้เป็นของเรา วิเศษสุดแล้วค่ะ

ขอให้การรับรู้ของน้องติณในทุกวัน รู้ด้วยใจ ใฝ่ในธรรม

มีธรรมะคุ้มครองกายและใจ ขอให้สุขภาพกายและใจดีวันดีคืนนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เจ้าของ:  student [ 11 มิ.ย. 2010, 11:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ก็คงขอเอาใจช่วย ให้ทุกอย่างในชีวิตคุณผ่านไปด้วยดีหายป่วยนะครับ

เจ้าของ:  น้าใส [ 11 มิ.ย. 2010, 11:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

เป็นกำลังใจให้อีกคนนะครับ....มี พระนิพนธ์
สมเด็จพระญาณสังวร มาฝากด้วยครับ...

ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด
พระนิพนธ์
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ไม่มีสักคนเดียว ที่จะหนีความตายพ้น

ทุกคนมีความรู้แก่ใจ ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีสักคนเดียวที่จะหนีความตายพ้น แล้วทุกคนมีความได้เปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่มีความรู้นี้ติดตัวติดใจอยู่ แต่แทบทุกคนก็มีความเสียเปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่ไม่เห็นค่า ไม่เห็นประโยชน์ของความรู้นี้ จึงมิได้ใส่ใจเท่าที่ควร ปล่อยปละละเลย รู้จึงเหมือนไม่รู้ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า

ความรู้ว่าตัวตาย เป็นคุณประโยชนิ์ยิ่งใหญ่

ความรู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย เป็นสิ่งเป็นคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ แม้ใส่ใจในความรู้นี้ให้เท่าที่ควร ก็จะสามารถนำให้เกิดคุณเกิดประโยชน์แก่ตนเองได้มหาศาล ยากจะหาประโยชน์ใดอาจเปรียบได้

ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง

ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละครั้ง ครั้งละ 5 นาที 10 นา เป็นอย่างน้อย การหัดตายนั้นบางผู้บางพวกน่าจะเริ่มหัดคิดถึงสภาพเมื่อตนกำลังจะถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ

เจ้าของ:  ติณณาห์ [ 12 มิ.ย. 2010, 16:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า รู้สึกดีใจมาก ๆ ค่ะที่ได้เข้ามาในบอร์ดนี้
แต่ก่อนติณไม่สนใจศึกษาเรื่องพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็ก ยังคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องน่าเบื่อเหลือเกิน
แต่พอได้มาเจอทุกข์หนักหนากับตัวเอง ประกอบกับที่บ้านคุณแม่ท่านชอบเปิดคลื่นวิทยุธรรมะฟังอยู่เป็นประจำ
มันก็เลยฟังไป ๆ ค่อย ๆ ซึมซับไป


สิ่งที่ติณอยากจะเล่าก็คือ เรื่องข้างต้นที่เล่ามานั้น เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เจอแต่ความทุกข์ล้วน ๆ
ในช่้วงระยะเวลาห้าปีกว่า ๆ ที่ต้องทนทุกข์กับสภาพที่ไม่อยากจะคิดเลยว่าตัวเองจะเจออะไรแบบนั้น



ติณอยากจะบอกว่าทุกวันนี้อาการป่วยของติณกลับมากำเริบอีกรอบแล้วค่ะ
หลังจากที่หกปีก่อนผ่าตัดไปสองครั้ง คราวนี้ก้อนเนื้อแพร่กระจายเต็มปอดติณไปหมด
ปอดติณเสื่อมสภาพไปแล้วราว ๆ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ติณคิดว่าตอนนี้อาจจะมากกว่านั้นไปแล้ว
ทำให้ติณต้องหยุดเรียน จากที่กำลังเรียนใกล้จะจบอยู่เต็มที เหลืออีกแค่ไม่กี่หน่วยกิต
ติณจำเป็นที่จะต้องกลับมาอยู่บ้าน ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง
อาบน้ำก็ต้องลากเก้าอี้เข้าไปในห้องน้ำ เวลาจะสระผมก็เหนื่อยหอบ แปรงฟันนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ
เดี๋ยวนี้ติณจะต้องแปรงฟันที่เตียงนอน

อาการป่วยของติณได้มาถึงจุดที่หมอไม่สามารถที่จะประคับประคองอาการได้อีกแล้ว
ตลอดเวลาหกปีกว่า ๆ สิ่งที่หมอทำคือดูแลติณไปเรื่อยในเชิงดูแลสภาพจิตใจมากกว่า
เพราะโรคที่ติณเป็นไม่มียาใด ๆ จะมารักษาได้ มีแต่จะคงที่กับทรุดลงไปเรื่อย ๆ


ปีที่แล้วติณก็โดนหวัดเล่นงาน ปอดอักเสบ นอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
ยอมรับเลยว่าตอนนั้นก็รู้ตัวแล้วว่า ปีนี้คงไม่รอดแน่ ๆ อาการเราจะต้องแย่ลงไปอีก
แล้วมันก็เป็นแบบที่ติณคิดเอาไว้จริง ๆ สภาพติณตอนนี้แม้กระทั่งจะออกไปนอกบ้านก็ทำไม่ได้ค่ะ
มันทรมานแบบสุด ๆ แค่เจอควัน เจอฝุ่นนิดเดียว ติณไอไม่หยุด ยิ่งปอดไม่ดีด้วยอยู่แล้ว
พอไอ ก็ยิ่งหอบ ยิ่งเหนื่อยไปอีก


ทุกวันนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ติณรู้สึกดีกับการที่ิติณเป็นแบบนี้
ติณเชื่อในเรื่องเวรและกรรม เชื่อแบบหมดใจมาตั้งแต่ป่วยเมื่อคราวนั้น
เพราะมันไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับได้อย่างสมเหตุสมผลอีกแล้วว่า
ทำไมคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่เคยคิดจะทำบาปทำกรรมกับใครแบบติณถึงต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่หนักเช่นนี้
ประกอบกับไม่ว่าติณจะไปดูดวงที่ไหน ๆ โดยส่วนมากจะเป็นแม่ไปดูให้กับมีคนรู้จักพาไป
ก็ทักตรงกันหมดทุกรายเลยว่า สิ่งที่เจอนี่คือ วิบากกรรม คือกรรมในอดีตชาติ คือเศษของกรรมที่ติณต้องชดใช้
เพราะติณเคยผิดศีลข้อที่หนึ่งมาก่อน เคยทรมานเขา เคยใช้งานเขา ทำให้เขาต้องเหนื่อย แล้วไม่ยอมให้เขาพัก
ที่พูดถึงนี่คือ เจ้ากรรมนายเวรติณ เป็นสัตว์มีคุณค่ะ ก็คือ ช้าง ม้า วัว ควาย
ทุกวันนี้ติณคิดอย่างเดียวว่า ติณจะต้องอดทนให้ได้ เพราะว่าเขาคงเคยเจ็บปวดมามากกับการกระทำของติณเองในอดีตชาติ
ติณก็ได้แต่สวดมนต์ ปฏิบัติ ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปใ้ห้ ขอให้เขาอโหสิกรรม
จะว่าไปแล้วอาจจะเป็นความโชคดีที่โรคของติณมากำเริบตอนนี้ ตอนที่พ่อกับแม่ติณท่านยังมีชีวิตอยู่
ถ้าหากโรคดันไปกำเริบตอนติณอายุเยอะ ๆ กว่านี้ ตอนที่พ่อกับแม่เสียไปแล้ว
ติณคงต้องทุกข์มากกว่านี้ เพราะช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ก็คงไม่มีใครดูแลติณ
โดยเฉพาะคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระคุณกับติณมากที่สุด ที่ติณไม่รู้ว่าจะสามารถทดแทนบุญคุณที่ได้มาเกิดเป็นลูกท่านในชาตินี้ให้หมดได้อย่างไร
เพราะติณดูแลตัวเองยังแทบจะไม่ได้เลย
แม่เป็นคนสอนเอาหนังสือธรรมะมาให้ติณอ่าน บอกให้ติณสวดมนต์ นั่งสมาธิ
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ ที่ติณอ่านหนังสือธรรมะไปน้ำตาไหลไป สวดมนต์ไปร้องไห้ไป
เพราะในทุก ๆ เรื่องมันตรงกับชีวิตติณเยอะมาก



วันนี้ถึงแม้จะใช้ชีวิตแบบยากลำบากกว่าเด็กคนอื่น ๆ แต่ติณก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน
เพราะคนหลายคนตายไปโดยไม่รู้ตัว
ในชีวิตนี้ติณไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอแค่ตอนจะตายขอให้ติณตายโดยมีสติครบสมบูรณ์ก็พอ
ขอแค่ให้ติณชดใช้กรรมที่ได้เคยทำมาให้หมดไปในชาตินี้ เพียงเท่านี้จริง ๆ ค่ะ




วันต่อ ๆ ไปจะมาเล่าเรื่องวิบากกรรมที่ติณได้รับให้ฟังต่อนะคะ
แต่คราวนี้ไม่ใช่ทุกขเวทนาทางกายแล้วค่ะ เป็นทุกขเวทนาทางใจล้วน ๆ เลย

เจ้าของ:  somsee [ 12 มิ.ย. 2010, 18:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

ธรรมมะทำให้เรามีเพื่อน ที่นี่ก็คือเพื่อนของเราคะ ฉันก็คนหนึ่งที่เข้ามาที่นี่เพราะไม่สบายใจ เเล้วฉันก็ได้คำเเนะนำจากเพื่อนๆ ไม่ว่าจะยังไง จะอยู่ในโลกใบนี้ หรือ อีกโลกหนึ่ง พระธรรมคือเพื่อนที่จะอยู่กับเรา ไปทุกๆ ที่ที่เราจะไป ดีใจคะ ที่ได้มีเพื่อน ที่เป็นกัลยาณมิตรเช่นนี้ รวมถึงคุณติณด้วยนะคะ

เจ้าของ:  chulapinan [ 12 มิ.ย. 2010, 19:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อฉันรู้ตัวว่า ,,, กำลังจะตาย

อดทนนะคะน้องติณมันเป็นวิบากกรรมจริงๆ ทำใจยอมรับผลแห่งกรรมที่เคยก่อไว้ให้ได้โดยดุษฎีอย่างที่น้องทำอยู่ ใจของน้องที่ไม่มีความพยาบาทใดๆจะทำให้ผลแห่งวิบากนั้นลดลงเรื่อยๆ น้องไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหมดแต่อย่าหมดกำลังใจนะคะ พยายามที่จะมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ต่อไปเพื่อตัดกรรมนั้นให้ขาด ถือศีลทำสมาธิสะสมบุญเอาไว้ใช้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เป็นมนุษย์สามารถทำแบบนั้นได้มากกว่าเป็นอื่นๆค่ะ เรื่องความตายน้องก็มองมันถูกแล้วว่ามันเป็นธรรมดา กรรมกำหนดไว้หมดแล้วล่ะค่ะว่าจะอยู่ยังไงจะตายเมื่อไหร่ เรามีหน้าที่จัดการกับจิตใจของเราเองให้อยู่อย่างเข้าใจในกรรม

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

หน้า 1 จากทั้งหมด 4 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/