ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ฟังเสียงบรรยายธรรม ว.วชิรเมธี สู่ตาน้ำแห่งโพธิ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=37&t=28764
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ธรรมบุตร [ 18 ม.ค. 2010, 17:45 ]
หัวข้อกระทู้:  ฟังเสียงบรรยายธรรม ว.วชิรเมธี สู่ตาน้ำแห่งโพธิ

รูปภาพ


ฟังเสียงบรรยายธรรม ว.วชิรเมธี

ว.วชิรเมธี เป็นนามปากกาของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ภูมิลำเนาของท่านอยู่ที่บ้านครึ่งไต้ ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ท่านเป็นคนที่รักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงทำให้ท่านซึมซับความรู้ทุกรูปแบบ เมื่อยังเด็ก มารดาได้พาท่านไปทำบุญที่วัดบ่อย ๆ ทุกวันพระ ซึ่งผลจากการติดตามมารดาไปทำบุญบ่อย ๆ นี้เอง ต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านสนใจหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา และทำให้หนังสือที่ท่านอ่านไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงหนังสือความรู้หรือหนังสือบันเทิงทั่วไปเท่านั้น แต่หนังสือธรรมะก็เป็นหนังสือที่ท่านสนใจด้วยเช่นกัน

หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ท่านก็ได้ขออนุญาตมารดาบวชเป็นสามเณรที่วัดครึ่งใต้ แตกต่างจากเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันที่มุ่งเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมจนจบนักธรรมชั้นเอก แล้วย้ายมาพำนักอยู่ที่วัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีจนสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม 6 ประโยค ต่อมาเมื่ออายุครบ 21 ปีจึงอุปสมบทเป็นภิกษุที่วัดบ้านเกิด และย้ายมาพำนักที่วัดเบญจมบพิตรฯในกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีต่อจนสำเร็จเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งถือเป็นการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย ด้านการศึกษาทางโลกนั้น ท่านสำเร็จการศึกษาเป็น “ ศึกษาศาสตรบัณฑิต ” จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ “ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต ” จากมหาวิทยาลัยมาหจุฬาลงกรราชวิทยาลัย ปัจจุบันท่านได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาศรีปทุม นอกจานั้นก็ยังรับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายวิชาการทางพระพุทธศาสนาให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อีกมากมาย ในแง่จริยวัตรส่วนตัวนั้น นอกจากท่านจะเป็นพระนักวิชาการ พระนักคิด นักเขียนแล้ว ท่านก็ยังสนใจฝึกสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสิบปี


--------------------------------------------------------------------------------



ต่อไปนี้เป็นผลงานของท่านจากผู้ที่มีศรัทธาติดตามผลงานจากท่าน

ท่านคือ ว.วชิรเมธี เจ้าของบทความ เกร็ดธรรมจากพระแท้ และ ธรรมะร่วมสมัย นั่นเองครับ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ เล่มแรก ธรรมะติดปีก

รูปภาพ

ข้อคิดติดปีกปัญญาจากพระแท้แห่งยุคสมัย




เป็นการรวมบทความที่เคยจัดพิมพ์ไว้ในนิตยสารชีวจิต เรื่องราวหลากหลายแตกต่างกันออกไป แต่ก็ได้ทำการแบ่งหมวดหมู่ไว้เป็นสองภาคกับอีกหนึ่งภาคผนวก รวมทั้งหมดถึง ๓๐ เรื่อง

ภาคแรก เกร็ดธรรมจากพระแท้ เป็นการรวมเอาหลักคิดและวัตรปฎิบัติของพระเถระที่มีคุณูปการกับพวกเราชาวไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์? (โต พรหมรังสี) ท่านพุทธทาสภิกขุ หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือท่าน

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) รวมกันไว้ถึง ๒๐ เรื่อง โดยท่านใช้ภาษาและลีลาในการเล่าเรื่องอย่างสนุกสนาน เข้าใจง่ายๆ คล้ายจะเป็นอัตชีวประวัติของพระเถรานุเถระทั้งหลายนั้น แต่ก็เป็นการยกเอาประเด็นเด่นขึ้นมาเป็นธงนำไว้ก่อน ดังที่เห็นได้จากชื่อเรื่องเช่น "ลูกถีบหลวงพ่อชา" "เอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม" "กลับบ้านเก่ากันเถิด"



ภาคที่สอง ยารักษาใจ เป็นการยกเอาพระสูตรๆ หนึ่งขึ้นมาอรรถาธิบายแบบมินิซีรี่ย์ นั่นคือ โพชฌังคปริตร หรือที่คุ้นเคยกันว่าสวดโพชฌงค์ ๗ ที่มีอานิสงส์ในการรักษาบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ แต่ไม่ใช่ในทำนองปาฏิหารอะไรหรอกน่ะครับ เป็นเรื่องของการใช้สติและปัญญาพิจารณาบทสวดนี้ทั้ง ๗ หัวข้อในทุกรายละเอียดก็จะได้ความดื่มด่ำซึ้งใจในการเจริญธรรม อันจะยังผลมาบรรเทาความรู้สึกผิดปกติของสังขารร่างกายได้บ้างนั่นเอง รวมทั้งยังอธิบายถึงลักษณะและอานุภาพของเมตตา รวมทั้งวิธีการแผ่เมตตาและประโยชน์ของการแผ่เมตตาไว้ด้วย ทำให้ผมต้องหวนไปถึงเนื้อหาในเทปบรรยายธรรมเรื่อง "เมตตาที่ท่านยังไม่รู้จัก" ของท่านพุทธทาสภิกขุอยู่เหมือนกัน


ส่วนภาคผนวก ก็เป็นการรวบรวมประวัติโดยสังเขบของพระเถระที่ยกมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้

ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องศึกษาหลักธรรมชั้นสูงมาก่อนแต่ประการใด เมื่ออ่านแล้วพิจารณาให้เข้าใจแล้วก็จะเป็นการติดปีกให้กับปัญญาของเราเพื่อเป็นพาหนะสำหรับยกระดับจิตใจให้ยิ่งเข้าใกล้บุญกุศลมากขึ้นๆ อยู่เสมอ เล่มต่อมาคือ ธรรมะหลับสบาย ข้อคิดสลัดตัวโกรธจากชีวิตและเตียงนอน

รูปภาพ




สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้วความรู้สึกใดที่เกิดขึ้น (เวทนา) เราต้องมองให้เห็นเหมือนกับมันเป็นก้อนอะไรก้อนหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ดับไป ความโกรธก็เช่นเดียวกัน หนังสือเล่มนี้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มา การดำรงอยู่และการขจัดความโกรธได้อย่างน่ารักน่าชัง ทำไมผมถึงเปรียบอย่างนี้ ก็เพราะท่านผู้แต่งใช้วิธีการดำเนินเรื่องโดย การที่พระอาจารย์เขียนจดหมายส่งให้ลูกศิษย์เพื่ออบรมสั่งสอนให้เข้าใจถึงเรื่อง "รากแก้วของความโกรธ" "พินิจดูธรรมชาติของความโกรธ" ยังไปถึงวิธีการขจัดความโกรธ "เธอคือคนไม่สำคัญของโลก" "สลายต้นตอของความโกรธให้เหลือเพียง 'ความว่าง' " จนถึง "ขุดรากถอนโคนความโกรธด้วยสมาธิภาวนา" และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ "เมตตาภาวนา : เยียวยาผืนแผ่นดินให้ชุ่มเย็น" ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ยังเน้นถึงเรื่องเมตตาเช่นเดียวกันเล่มที่แล้ว ชึ่งเมตตานี่เองที่เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ในการเจริญธรรมต่อๆ ไป

เอกลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้คงอยู่ที่ลีลาในการเล่าเรื่องของพระอาจารย์นั่นเอง หากเปรียบผู้อ่านเป็นเหมือนลูกศิษย์ของท่านแล้ว ก็คงสัมผัสได้ถึงเมตตาของท่านที่ผ่านมาทางตัวหนังสือทั้งหลายนี้อยู่เสมอ

เล่มที่สามเป็น ปรัชญาหน้ากุฏิ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคนส่วนใหญ่พอใจเรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากคนอื่น โดยหลงลืมการเรียกร้องจากตนเอง มีอยู่เสมอที่เราเผลอคาดหวังให้คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เข้มงวดกับใครต่อใครเขาไปทั่ว แต่สำหรับตัวเองแล้วกลับ "ยืดหยุ่น" ได้ทุกเรื่อง

รูปภาพ




และมีอื่น ๆ อีกมากมาย

http://www.vimuttayalaya.net/


ชม VCD ประวัติท่าน ว.
http://www.kanlayanatam.com/vcd/bio_vor.wmv


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

สู่ตาน้ำแห่งโพธิ

http://www.kanlayanatam.com/vor/a001.htm

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/