ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ศีลกับการใช้ชีวิตและการรักษาศีล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=43729 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 29 ต.ค. 2012, 17:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | ศีลกับการใช้ชีวิตและการรักษาศีล |
ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่อง หลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดา มารดา พร้อมบริบูรณ์แล้ว อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตน เอง ให้ ขุ่นมัวไปด้วยความเดือดร้อน วุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและ บาปกรรมไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน เมื่อเกิดมาอาภัพชาติแล้ว อย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ คิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตน ให้ได้ทุกข์เป็นบาปกรรมอีกเลย คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย และติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี คนดี ทำดีง่าย และติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนั้น เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่า คน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ มีโทษต่าง ๆ การทำความดีก็ไม่ง่าย เพราะ โลภ โกรธ หลง ปิดบังปัญญาเอาไว้ ทิฏฐิ มานะ ปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้ทำความดีง่ายๆ จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ไม่ได้ ท่านเรียกว่า "มาร"(คือ เครื่องกางกั้น) ไม่ให้ถึงซึ่งความดีให้ได้ เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน พยายามอบรมใจตนเองว่า ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง ชอบจับผิดแต่คนอื่น แต่ถ้าไม่มีธรรมะนี่ เวลาไม่มีก็เป็นทุกข์ เวลามีก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ตลอด เวลาไม่มีก็อยากจะได้อยากจะมี แต่เวลาที่มีจริงๆ แล้วก็ทุกข์ สรรพสัตว์ล้วนปรารถนาความดี ความสุข กันทั้งนั้น ไม่มีใครปรารถนาความไม่ดี ความทุกข์ ถ้าหากไม่ทำความดีสิ่งที่ปรารถนาก็จะไม่ได้ ท่านจึงให้พากันทำความดี ปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนา ฟังธรรมะเพื่อให้รู้และเข้าใจในอรรถในธรรมอย่างแท้จริง คนไม่มีธรรมะ ก็จะไปหลงใหลเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์อะไรแท้จริง สิ่งนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อความสุขอย่างแท้จริง เราไปเอาจริงเอาจังลุ่มหลงกับมันก็เลยทุกข์ รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน :: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม คนมีศีล ย่อมเห็นโทษของบาปแม้เพียงเล็กน้อย เพราะผิดศีลข้อ ๑ จึงมีกรรม อายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก เพราะผิดศีลข้อ ๒ จึงมีกรรม ทรัพย์สมบัติต้องวิบัติ ...ด้วยแรงกรรมต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะผิดศีลข้อ ๓ จึงมีกรรม ภริยา-สามี นอกจิต นอกใจ บุตร-ธิดาไม่อยู่ในโอวาทคบชู้สู่ชาย เพราะผิดศีลข้อ ๔ จึงมีกรรม พูดจาไม่มีคนเชื่อถ้อยฟังคำ ตาบอด หู หนวก เป็นอัมพาตดูเพิ่มเติม คนเมา เมาโลภ เมาโกรธ เมาหลง เมาสุรา ถ้าเมาแล้ว ทำอะไรก็ได้ ไม่รู้ชั่วดี - เสื่อมเจริญ - ทุกข์สุข อยู่ในความมืด เมื่อตกอยู่ในความมืด ก็ไม่สามารถรู้เห็นความดีได้ จะเอาอะไรมารู้ อำนาจของศีลทำให้อยู่ในความดี ขอให้ประพฤติปฏิบัติไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ศีล เป็นของเลิศ ของประเสริฐ การที่เราอยู่รวมกันได้ก็เพราะมีเมตตา มีธรรมต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มีเมตตา กรุณา สงสารซึ่งกันและกัน ว่า เกิดมาในโลกแตกต่างกันหลายอย่าง ทรัพย์รูปพรรณสัณฐาน ความดี ก็ไม่เหมือนกัน เวลาที่เหลืออยู่ก็ยังไม่สายเกินไปที่เราจะสะสมความดี และขวนขวายในสิ่งที่เป็นสาระแก่ชีวิต ของเราให้คุ้มค่า กับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร คนไม่มีศีล เหมือนการสร้างบ้าน สร้างตึกที่ไม่มีรากฐานไม่มีเสาเข็ม ย่อมล้มเป็นธรรมดา คนไม่มีศีล จะเจริญสมาธิและกระทำให้เกิดปัญญา และวิมุตติไม่ได้ และสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้ ถ้าเรามีธรรมะจะรู้สึกอุ่นใจ จิตใจอิ่มเอิมเป็นสุขอยู่กับธรรมะ มีธรรมะเป็นที่พึ่ง เรียกว่ามองสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ มองสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ นี่คือคนมีธรรมะมีปัญญา คนมีศีล มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวย่อมประเสริฐกว่า ผู้ไม่มีศีลซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ศีลห้า ถ้าใครทำได้ เรียกว่า "ดับเวร ๕ อย่าง" ได้ คือ ดับทุกข์ ๕อย่าง เวรก็จะไม่เกิด ภัยอันตรายก็จะไม่เกิด "เวรมณี" คือ เว้นจากความชั่วได้ เป็นผู้พ้น เป็นผู้ละได้ ผ่านได้ ผ่าน ๕ ข้อนี้ได้ ก็ผ่านนรกเปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน (อบายภูมิ ๔) ได้เด็ดขาด "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"ธรรม ก็คือ กายกับใจ นั่นเอง กายนี้ยังฆ่าสัตว์ไหม ลักทรัพย์ไหมให้รู้ไปทุกข้อ เรียกว่า "พุทธะ" สิ่งใดไม่ดีก็เลิกเสียจริงๆ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ เราขอเอา พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่พึ่ง ขอแล้วก็ต้องทำด้วยถ้าเราไม่ปฏิบัติ พระสงฆ์ พระพุทธเจ้า ก็เกิดไม่ได้ในเรา พุทธะ ธัมมะ สังฆะ อยู่ที่เราเอง ไม่ใช่พระพุทธรูป แต่อยู่ในตัวเราเอง ความดีอยู่ที่ใจเราเอง มีความอ่อนน้อม ระลึกคุณความดีของผู้มีพระคุณเช่นพระพุทธเจ้า (ขณะกราบท่าน) ทำกายให้ดี พูดทางวาจาให้ดี ทำใจให้ดี ก็จะนำมาซึ่งการปฏิบัติบูชา (ปฏิปัตติปูชา) ถวายพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ ธรรมะคือสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์กับเราอย่างแท้จริง สาระคือบุญกุศล สาระ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราจึงต้องเดินเข้าหาที่พึ่งทางใจ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ปัญญาที่แท้จริงทำให้ไม่หลงยึดติด.... ...ความติดนี่มันเป็นทุกข์...เมื่อไม่ติดมันก็ไม่เป็นทุกข์ เรามีอะไร เราใช้อะไร โดยไม่ต้องติดจะได้หรือไม่...ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าได้ ใช้โดยไม่ติด รับโดยไม่ติดในสิ่งนั้น เราทำอย่างไร....? เราก็....ใช้ปัญญาพิจารณาไว้ให้รู้ว่า... รูป...นั้นคืออะไร ? รูป...นั้นเป็นของจริงแท้หรือไม่ ? เสียง...มันมีจริงมีแท้ไหม ? หรือมันเป็นเพียงแต่ลมผสมกันเข้ากับความอยากในจิตใจ เปล่งเสียงออกมาเป็นคำด่าคำชมคำติว่าอะไรต่างๆ... แล้วมันคงทนถาวรหรือเปล่า...มันก็หายไป เสียงพูดเข้าไมโครโฟนแล้วมันก็หายไป พอหยุดพูดมันก็ไม่มี เสียง พอพูดต่อเสียงมันก็มาต่อไป...'เสียง' ไม่ได้เกิดก่อน หรือเกิดหลังการพูด แต่มันเกิดพร้อมกันพอพูดปุ๊บ มันก็เข้าไปในไมโครโฟนทันที แล้วเข้าเครื่องออกไปเป็นเสียงดังฟังทั่ววัด... เสียงนั้นมันไม่ใช่ของแท้ มันเป็นของผสมปรุงแต่งจึงเกิด เป็นเสียงขึ้น ถ้าเราฟังว่ามันดี...ก็อย่าไปยึดถือ ไม่ดี...ก็อย่าไปยึดถือ อย่าไปยินดีในเสียงนั้น อย่าไปยินร้ายในเสียงนั้น ให้มีปัญญารับด้วยปัญญา... ก็คือรับว่าเสียงนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่เสียงนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถ้าเราเข้าไปยึดทุกข์ไหม ? ถามตัวเองอย่างนั้น ถ้าเรามีปัญญาก็ตอบว่า ไม่ควรจะเข้าไปยึดถือเสียงนั้น... แต่ควรรู้จักมันไป ดูมันไป มันเคลื่อนไหวไปในทางไหน เราก็ดูตามมันไป เหมือนเราแอบดูผู้ร้ายเข้าบ้านแอบดูไว้ว่า มันไปทางไหน...มาทางไหน แล้วก็แอบโทรฯ ไปบอกตำรวจ ตำรวจก็จับเอาไป เรามีสติปัญญาก็ใช้อย่างนั้น... คอยกำหนดมันไว้ว่าอะไรเกิดขึ้น... 'ตา'...เห็นรูป เกิดความรู้สึกทางตา แล้วก็เกิดอะไรต่อไป ตามลำดับจนเกิดความยึดมั่นในสิ่งนั้น นั่นเป็นความผิด จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตัวเราเอง เราก็ไม่ยึด... แต่ว่าเรารู้ว่ามันคืออะไร... มองตลอดสายสายตั้งแต่ต้น...กลาง...ปลาย รู้หมดว่ามันคืออะไร...มันจะทำอะไรให้เกิดขึ้น ก็ปล่อยให้ มันเกิดไปตามเรื่อง ดับไปตามเรื่องของมัน เราอย่าไปเก็บไว้ อย่าไปกักไว้ดูเพิ่มเติม มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่อง หลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดา มารดา พร้อมบริบูรณ์แล้ว อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตน เอง ให้ ขุ่นมัวไปด้วยความเดือดร้อน วุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและ บาปกรรมไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน รูลึกหรือว่าแขนสั้น คำสอนของพระ ตรง ง่าย แต่ยากกับคนที่จะปฏิบัติ เพราะรู้ไม่ถึง เหมือนกับรู คนตั้งร้อยพันคนโทษว่ารูมันลึก เพราะล้วงไปไม่ถึง ที่จะว่าแขนของตนสั้นไม่ค่อยมี ... พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไม่ให้ทำบาปทั้งปวง เราข้ามไปพากันทำบุญ แต่ไม่พากันละบาป ก็เท่ากับว่ารูมันลึก ที่จะว่าแขนของตนสั้นนั้นไม่มี หลวงพ่อชา สุภัทโท เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 30 ต.ค. 2012, 00:29 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว | ||
.. ![]() " ฯ... สามีจิปะฏิปันโน.. อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
|
เจ้าของ: | รสมน [ 30 ต.ค. 2012, 17:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
"โจรปล้นไม่เหมือนความเกียจคร้านปล้น โจรปล้นเรายังหาทรัพย์ได้ ความเกียจคร้านปล้น เท่าวันตายเราก็ไม่มีทรัพย์" หนนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ = โภคทรัพย์ ย่อมฆ่าคนมีปัญญาทราม โอ้กายไม่นานหนอ บังเกิดก่อแล้วกลับกลาย ดุจฟองแห่งน้ำหลาย แล้วแตกดับโดยฉับพลัน สิ้นลมแห่งกายใจ ชีพบรรลัย บ่ กลับหัน ห่อนมีสิ่งสำคัญ เพื่อประโยชน์สักนิดเดียว ทอดทิ้งดุจท่อนฟืน กลิ่งเหนือพื้นสุธาเทียว ...ฟองช้ำเน่าดำเขียว ส่งกลิ่นฟุ้ง บ่ เว้นวาย ดูเถิดท่านทั้งหลาย บุรุษนายคณานาง ควรปลงปัญญาทาง ปรมัตถะอรรถธรรม พยานปรากฏแก่ จักษุแท้ บ่ ปิดงำ ควรคิดพินิจจำ หีบศพนั้นที่แลเห็น เอย ทุกคนอยากมีจิตใจสงบ แต่มักปล่อยความคิดจนฟุ้งซ่าน ทุกคนอยากมีจิตใจดี แต่มักไม่รู้จักการอภัยให้คนอื่น ... ทุกคนอยากมีร่างกายแข็งแรง แต่ก็ขี้เกียจออกกำลังกาย ทุกคนอยากมีสุขภาพสมบูรณ์ แต่ก็ไม่รู้จักกินนอนพักผ่อนและเว้นห่างสุรายาเมา ทุกคนอยากมีมิตรดี แต่มักเอาแต่ใจตนเองจนเกินไป ทุกคนอยากได้ความปลอดภัย แต่ก็สร้างความเจ็บใจให้ชาวบ้านเป็นนิตย์ ทุกคนอยากมีเงินมีทอง แต่กลับจับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือย ทุกคนอยากได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ แต่ก็ไม่เคยเห็นค่าของการรักษาศีล ทุกคนอยากมีความสุข แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าทุกวันสั่งสมแต่เหตุแห่งความทุกข์ ครั้งนั้นอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้า ฯลฯ พระผู้มีพระ- ภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ดูกร คฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้เป็นที่ ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก ธรรม ๔ ประการคืออะไร คือ ขอโภคสมบัติจงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางที่ชอบ นี่เป็นธรรมประการที่ ๑ อัน เป็นที่ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก ครั้นได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว ขอยศจงมีแก่เราพร้อมกับญาติ พร้อมกับพวกพ้อง นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ อัน เป็นที่ปรารถนารักใคร่ ชอบใจหาได้โดยยากในโลก ครั้นได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว ได้ยศพร้อมกับญาติพร้อมกับ พวกพ้องแล้ว ขอเราจงเป็นอยู่นาน รักษาอายุอยู่ได้ยั่งยืน นี้เป็นธรรม ประการที่ ๓ อันเป็นที่ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก ครั้นได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว ได้ยศพร้อมกับญาติพร้อมกับ พวกพ้องแล้ว เป็นอยู่นาน รักษาอายุอยู่ได้ยั่งยืนแล้ว เมื่อกายแตกตายไป ขอเราจงไปสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ อันเป็นที่ปรารถนา รักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก ดูกร คฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นที่ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก ดูกร คฤหบดี ธรรม ๔ อย่างเป็นทางให้ได้ธรรม ๔ ประการ อันเป็น ที่ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลก (ดังกล่าวแล้ว) นี้ ธรรม ๔ อย่างคืออะไร คือ สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) สีล- สัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการ บริจาค) ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ก็สัทธาสัมปทาเป็นอย่างไร อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มี ศรัทธา เชื่อพระโพธิญาณของพระตถาคต ฯลฯ นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา. ก็สีลสัมปทาเป็นอย่างไร ? อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้เว้น จากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นจาก มุสาวาท เว้นจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่าสีลสัมปทา. ก็จาคสัมปทาเป็นอย่างไร ? อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ มีใจ ปราศจากมลทินคือความตระหนี่อยู่ครองเรือน มีการบริจาคปล่อยแล้ว มีมือ อันล้างไว้ ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ พอใจในการให้และการแบ่ง ปันนี้เรียกว่า จาคสัมปทา. ก็ปัญญาสัมปทาเป็นอย่างไร ? บุคคลมีใจอันอภิชฌาวิสมโลภะครอบงำ แล้ว ย่อมทำการที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ เมื่อทำการที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำเสีย ก็ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข บุคคลมีใจอัน พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อม ทำการที่ไม่ควรทำละเลยกิจที่ควรทำ เมื่อทำการที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจ ที่ควรทำเสีย ก็ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข ดูกร คฤหบดี อริยสาวกทราบว่า อภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลส แห่งจิต ดังนี้แล้ว ละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสีย ทราบ ว่าพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ดังนี้ แล้ว ละพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อันเป็น อุปกิเลสแห่งจิตเสีย เมื่อใดอริยสาวกทราบว่า อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาเป็นอุปกิเลสแห่งจิตแล้ว ละอภิชฌา- วิสมโลภะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาอันเป็น อุปกิเลสแห่งจิตเสียได้แล้ว เมื่อนั้น อริยสาวกนี้ เราเรียกว่าผู้มีปัญญา ใหญ่ ผู้มีปัญญามาก ผู้เห็นคลอง ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา. ดูกร คฤหบดี ธรรม ๔ อย่างนี้แล เป็นทางให้ได้ธรรม ๔ ประการ อันเป็นที่ปรารถนารักใคร่ชอบใจ หาได้โดยยากในโลกนั้น ดูกร คฤหบดี อริยสาวกนั้น ย่อมเป็นผู้ทำกรรมที่สมควร ๔ ประการ ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่นขยัน ที่สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน ที่ ต้องทำงานจนเหงื่อไหล ที่ชอบธรรม ที่ได้มาโดยธรรม กรรมที่ สมควร ๔ ประการคืออะไรบ้าง คือ อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เลี้ยงตน เลี้ยงมารดาบิดา บุตร ภริยา บ่าว ไพร่ คนอาศัย เพื่อนฝูง ให้เป็นสุขเอิบอิ่มสำราญดีด้วยโภคทรัพย์ที่ได้ มาด้วยความหมั่นขยัน ที่สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน ที่ต้องทำงานจนเหงื่อ ไหลที่ชอบธรรม ที่ได้มาโดยธรรม นี้กรรมที่สมควรข้อที่ ๑ ของอริย สาวกนั้นเป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้ (โภคทรัพย์)โดยทางที่ควรใช้แล้ว อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมบำบัดอันตรายทั้งหลาย ที่เกิดแต่ไฟก็ดี เกิด แต่น้ำก็ดี เกิดแต่พระราชาก็ดี เกิดแต่โจรก็ดี เกิดแต่ทายาทผู้เกลียดชังกัน ก็ดีย่อมทำตนให้สวัสดี (จากอันตรายเหล่านั้น) ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มา ด้วยความหมั่นขยัน ฯลฯ ที่ได้มาโดยธรรม นี้กรรมที่สมควรข้อที่ ๒ ของ อริยสาวกนั้น เป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้ (โภคทรัพย์)โดยทางที่ควรใช้แล้ว อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมเป็นผู้ทำพลี ๕ คือญาติพลี (สงเคราะห์ญาติ) อติถิพลี (ต้อนรับแขก) ปุพพเปตพลี (ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย) ราชพลี (ช่วยราชการ) เทวตาพลี (ทำบุญอุทิศให้เทวดา) ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้ มาด้วยความหมั่นขยัน ฯลฯ ที่ได้มาโดยธรรม นี้เป็นกรรมที่สมควรข้อ ที่ ๓ ของอริยสาวกนั้น เป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้(โภคทรัพย์) โดยทางที่ควรใช้แล้ว อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมตั้ง (บริจาค) ทักษิณาทานอย่างสูง ที่จะ อำนวยผลดีเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นทางสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้ง หลายผู้เว้นไกลจากความมัวเมาประมาท มั่นคงอยู่ในขันติโสรัจจะ ฝึกฝนตนอยู่ผู้เดียว รำงับตนอยู่ผู้เดียว ดับกิเลสตนอยู่ผู้เดียว ด้วย โภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่นขยัน ฯลฯ ที่ได้มาโดยธรรม นี้เป็น กรรมที่สมควรข้อที่ ๔ ของอริยสาวกนั้น เป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้(โภคทรัพย์) โดยทางที่ควรใช้แล้ว ดูกร คฤหบดี อริยสาวกนั้น ย่อมเป็นผู้ทำกรรมที่สมควร ๔ นี้ ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่นขยัน ที่สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน ที่ ต้องทำงานจนเหงื่อไหล ที่ชอบธรรม ที่ได้มาโดยธรรม ดูกร คฤหบดี โภคทรัพย์ทั้งหลายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถึงความ หมดเปลืองไป เว้นเสียจากกรรมที่สมควร ๔ ประการนี้ โภคทรัพย์เหล่านี้ เรียกว่าหมดไปโดยไม่ชอบแก่เหตุ หมดไปโดยไม่สมควร ใช้ไปโดยทาง ที่ไม่ควรใช้ โภคทรัพย์ทั้งหลาย ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถึงความ หมดเปลือง ไปด้วยกรรมที่สมควร ๔ ประการนี้ โภคทรัพย์เหล่านี้เรียก ว่าเปลืองไปโดยชอบแก่เหตุ เปลืองไปโดยสมควร ใช้ไปโดยทางที่ควรใช้ พระคาถา สิ่งที่ควรบริโภคใช้สอยทั้งหลาย เรา ได้บริโภคใช้สอยแล้ว บุคคลที่ควรเลี้ยง ทั้งหลาย เราได้เลี้ยงแล้ว อันตราย ทั้งหลาย เราได้ข้ามพ้นแล้ว ทักษิณาทาน อย่างสูง เราได้ให้แล้ว อนึ่ง พลี ๕ เราได้ ทำแล้ว สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีล ผู้สำรวม ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เราได้ บำรุงแล้ว บัณฑิตผู้อยู่ครองเรือนพึง ปรารถนาโภคทรัพย์ เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้น เราได้บรรลุโดยลำดับ แล้ว กิจการอันจะไม่ทำให้เดือดร้อนใน ภายหลัง เราได้ทำแล้ว นรชนผู้มีอันจะ ต้องตายเป็นสภาพ ระลึกถึงความดีที่ตน ได้ทำแล้วนี้ ย่อมตั้งอยู่ในอริยธรรม ใน ปัจจุบันนี้เอง บัณฑิตทั้งหลายย่อม สรรเสริญนรชนนั้น นรชนนั้นละโลกนี้ ไปแล้ว ยังบันเทิงใจในสวรรค์. ชื่อว่า น่าปรารถนา เพราะปฏิเสธคัดค้านธรรมที่ไม่น่าปรารถนา. ชื่อว่า รักใคร่ เพราะก้าวเข้าไปอยู่ในใจ ชื่อว่า ชอบใจ เพราะทำใจให้ เอิบอาบซาบซ่านให้เจริญ. บทว่า ทุลฺลภา ได้แก่ ได้โดยยากอย่างยิ่ง. บทว่า โภคา ได้แก่ อารมณ์มีรูปเป็นต้น ที่บุคคลพึงบริโภค. บทว่า สห ธมฺเมนความว่า ขอโภคสมบัติจงเกิดขึ้นโดยธรรม อย่าเข้าไปกำจัดธรรม แล้วเกิดขึ้นโดยอธรรมเลย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สห ธมฺเมน แปลว่า มี เหตุ อธิบายว่าโภคสมบัติจงเกิดขึ้นกับด้วยการณ์ คือ ตำแหน่ง มีตำ แหน่งเสนาบดีและเศรษฐีเป็นต้นนั้น ๆ. บทว่า ยโส ได้แก่ บริวารสมบัติ. บทว่า สห าติภิ ได้แก่ พร้อมกับญาติ. บทว่า สห อุปชฺฌาเยหิ ได้แก่ พร้อมกับเพื่อนเคยเห็นและเพื่อนคบ ที่เรียกว่าอุปัชฌาย์ เพื่อช่วย ดูแลในเรื่องสุขและทุกข์.บทว่า อกิจฺจ กโรติ ความว่า ทำการที่ไม่ควร ทำ. บทว่า กิจฺจ อปราเธติ ความว่า เมื่อไม่ทำกิจที่ควรทำ ชื่อว่า ละเลยกิจนั้น. บทว่า ธสติ ได้แก่ ย่อมตกไปคือย่อมเสื่อม. บทว่า อภิชฺฌาวิสมโลภ ได้แก่ อภิชฌาวิสมโลภะ. บทว่า ปชหติ ได้แก่ บรรเทาคือนำออกไป. บทว่า มหาปญฺโ ได้แก่ ผู้มีปัญญามาก. บทว่า ปุถุปญฺโ ได้แก่ ผู้มีปัญญาหนา. บทว่า อาปาถทโส ความว่า เขาเห็นอรรถนั้น ๆ ตั้งอยู่ในคลองธรรม ย่อมมาสู่คลองที่เป็นอรรถอันสุขุมของธรรมนั้น. บทว่า อุฏฺานกิริยาธิคเตหิ ได้แก่ ที่ได้มาด้วยความเพียร กล่าวคือ ความขยัน. บทว่า พาหาพลปริจิเตหิ ได้แก่ ที่สะสมให้มากขึ้นด้วยกำลัง แขน. บทว่า เสทาวกฺขิตฺเตหิ คือเหงื่อไหล. อธิบายว่า ด้วยความ พยายามทำงานจนเหงื่อไหล. บทว่า ธมฺมิเกหิ ได้แก่ ประกอบด้วยธรรม. บทว่า ธมฺมลทฺเธหิ คือ ไม่ละเมิดกุศลกรรมบถธรรม ๑๐ ได้แล้ว. บทว่า ปตฺตกมฺมานิ ได้แก่ กรรมที่เหมาะ กรรมอันสมควร. บทว่า สุเขติ ได้แก่ ทำเขาให้มีความสุข. บทว่า ปิเณติ ได้แก่ ย่อมทำให้เอิบอิ่มสมบูรณ์ด้วย กำลัง. บทว่า าน คต โหติ ได้แก่เป็นเหตุ ถามว่า เหตุนั้น เป็นอย่างไร. ตอบว่า การงานที่พึงทำด้วยโภคะทั้งหลาย เป็นธรรมอย่างหนึ่งในปัตต กรรม ๔ เป็นฐานที่เกิดแต่โภคทรัพย์นั่นแล. บทว่า ปตฺตคต ได้แก่ เป็น ฐานะที่ควรที่ถึงแล้ว. บทว่า อายตนโส ปริภุตฺต ได้แก่ บริโภคแล้ว โดยเหตุนั่นแล ก็เกิดแต่โภคทรัพย์. บทว่า ปริโยธาย วตฺตติ ได้แก่ ย่อมปิดไว้. อริยสาวกบริจาคทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่การดับไฟที่ไหนเรือน เป็นต้น ย่อมปิดกั้นทางแห่งอันตรายเหล่านั้นเหมือนอย่างเมื่อคราว อันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นแต่ไฟเป็นต้นฉะนั้น. บทว่า โสตฺถึ อตฺตาน กโรติ ความว่า ย่อมทำตนให้ปลอดภัยไม่มีอันตราย. บทว่า าติพลึ คือ สงเคราะห์ญาติ. บทว่า อติถิพลึ คือต้อนรับแขก. บทว่า ปุพฺพ เปตพลึ คือทำบุญอุทิศให้ญาติผู้ตาย. บทว่า ราชพลึ คือส่วนที่ความ แด่พระราชา. บทว่า เทวตาพลึคือทำบุญอุทิศให้เทวดา. บทว่า าติพลึ ป็นต้นนั้นทั้งหมด เป็นชื่อของทานที่พึงให้ตามสมควรแก่บุคคลนั้น ๆ. บทว่า ขนฺติโสรจฺเจ นิวิฏฺา ความว่า ตั้งมั่นอยู่ในอธิวาสนขันติ และในความเป็นผู้มีศีลอันดี. บทว่า เอกมตฺตาน ทเมนฺติ ความว่า ย่อมฝึกอัตภาพของตนอย่างเดียว ด้วยการฝึกอินทรีย์. บทว่า สเมนฺติ ความว่า ย่อมสงบจิตของตนด้วยความสงบกิเลส. บทว่า ปรินิพฺพา เปนฺติ ความว่าย่อมดับด้วยการดับกิเลส. ในบทว่า อุทฺธคฺคิก เป็นต้น ทักษิณาชื่อว่าอุทธัคคิกา เพราะมีผลในเบื้องบนด้วยสามารถให้ผลใน ภูมิสูง ๆ ขึ้นรูป.ทักษิณาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สวรรค์ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า โสวัคคิกาเพราะให้เกิดอุปบัติในสวรรค์นั้น ชื่อว่า สุขวิปากา เพราะมีสุขเป็นวิบากในที่เกิดแล้ว. ชื่อว่า สัคคสังวัตตนิกา เพราะทำ อารมณ์อันดีคือของวิเศษ ๑๐มีวรรณทิพย์เป็นต้นให้เกิด อธิบายว่า ย่อม ตั้งทักษิณาเช่นนั้นไว้. บทว่า อริยธมฺเม ิโต คือตั้งอยู่ในเบญจศีลเบญจธรรม. บทว่า เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ ความว่า นรชนนั้น ไปปรโลกถือปฏิสนธิแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์. คฤหัสถ์ไม่ว่าจะเป็นโสดาบันและสกทาคามี หรือ อนาคามีก็ตาม ปฏิปทานี้ย่อมได้เหมือนกันทุกคนแล. เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 31 ต.ค. 2012, 02:32 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว | ||
.. ![]() ฯ... สามีจิปะปฏิปันโน .. อนุโมทนาแ้ล้วๆๆ ..
|
เจ้าของ: | รสมน [ 31 ต.ค. 2012, 18:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
ดุสิต สวรรค์ชั้นพิเศษ มีพระอริยเจ้าทั้งหมด มีพระพุทธบิดา พุทธมารดา และพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี นั่งอยู่ประจำวิมานเป็นแถวมีบริวารมากมาย ...ชั้นดุสิตนี่มีอายุอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แล้วก็ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ก็ ๔๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเทวดาชั้นนี้ แต่ว่าเทวดาชั้นนี้มีบุญญาธิการพิเศษ ที่คนจะเข้ามาได้ท่านจำกัดจริงๆ เรื่องทานเรื่องศีลไม่ต้องพูดกัน ดีแน่ เรียกว่าท่านทำกันแน่แล้วก็ทำอย่างเครียด เครียดมาก เอาจริงเอาจังมาก เทวดาที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้มีอยู่ ๓ เหล่า คือ ๑ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีขั้นปรมัตถบารมี จึงจะเข้ามาเป็นเทวดาในชั้นนี้ได้ หรือว่าคนที่เป็นพระพุทธบิดา พุทธมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จึงมาเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ หรือว่าคนธรรมดาแต่ว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมีโอกาสเข้ามาอยู่เป็นเทวดาชั้นนี้ได้ แต่ความจริงพระอริยเจ้านี่ ท่านอยู่เกือบทุกชั้น อย่างภุมเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัสดี และพรหม มีพระอริยเจ้าเยอะ แต่นี่เรากล่าวกันเฉพาะว่า ถ้าจะเข้ามาอยู่ขั้นนี้ ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นนี้ ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกว่า เทวดาธรรมดาๆ ที่ทำบุญให้ทานรักษาศีลธรรมดาหรือได้ฌานสมาบัติ นอกจากพระโพธิสัตว์ และ พระพุทธบิดา พุทธมารดาแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาได้ นี่เป็นเทวดามีชั้นจำกัดจริงๆ แล้วก็ชั้นนี้มีเทวดาสำคัญอยู่องค์หนึ่งที่พวกเราสนใจ พวกเราสนใจกันมากก็คือพระศรีอาริยเมตตรัย ความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่ สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย พระศรีอาริยเมตตรัยนี่ เคยมีท่านที่ได้ฌานสมาบัติพิเศษท่านเคยถามว่า เมื่อใดจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวโดยประเมินว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้านับในเมืองมนุษย์ก็ประมาณล้านปีเศษๆ ท่านจะได้มาตรัสรู้ในเมืองมนุษย์ ถามว่าถ้าจะเทียบเวลานี้เป็นพื้นที่สมัยนี้ จะตรัสในประเทศไหน ท่านก็บอกว่า ทางทิศเหนือของพม่า ในเขตนั้น นี่สำหรับท่านที่ได้ฌานท่านเคยบอกให้ฟัง ท่านบอกว่ายังงี้นะ แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำดูเพิ่มเติม เงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึงร้อย มีบ้านใหญ่โตอย่างกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูก มีรถนับสิบสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง ...มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง มี ส.ส. อยู่เต็มสภาพ แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนิบัติท่านเลย มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย มีพระไตรปิฏกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่ มีพี่น้องนับ สิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่ โดย: สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม " เกิด แก่ เจ็บ ตาย " ...เกิดแก่เจ็บตาย เป็นทุกราย เพื่อสมดุล โลกยังหมุน ยังโดนหลอก ให้โศกศัลย์ แม้ใกล้ตาย ยังไม่วาย ห่วงชีวัน รู้จิตพลัน สว่างโล่ง โจ้งหนทาง ......โลกกับเรา แย่งกัน ยามชีพดับ ภาพกำกับ ดั่งรุ่ง อรุณสาง ภาพกรรมนั้น สว่างว๊าป ปิดหนทาง สู่นิพพาน ไม่เห็น เป็นฉันใด ...เพราะจิตตก ไม่ได้ฝึก มาแต่ก่อน จะมาสอน ตอนตาย นั้นไม่ได้ โลกไม่ยอม จะมาแข่ง แย่งสบาย กรรมทำไว้ โลกส่งให้ ไปตามกรรม ...หากจิตนิ่ง รู้ซึ้ง ถึงธรรมะ ยอมลดละ ปล่อยวาง ไม่ต้องถาม รู้ร่างนี้ เมื่อตาย ไม่ติดตาม จิตนิพพาน เปิดไว้ ยามสิ้นลม ...จิตนิพพาน เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่ได้ครอง จิตนั้น เพื่อสุขสม จิตนิพพาน ไม่ได้ เป็นดั่งลม แต่สุขสม เป็นเช่นนั้น ของจิตเอง ...เข้าใจจิต ติดตามดู ให้รู้แจ้ง ฝึกแสดง ใกล้ตาย ให้ตรงเผ๋ง เมื่อเราตาย จริงๆ จิตบรรเลง เหมือนฝึกเพลง เอาไว้ จนคล่องใจ ...คนใกล้ตาย จริงๆ เกิดความกลัว แต่ที่กลัว เพราะไม่รู้ ตายไปไหน กลัวกรรมดี ที่ทำ น้อยเกินไป ทำชั่วไว้ มากกว่า กลัวลนลาน ...หากใครรู้ ว่าตาย ไปสวรรค์ มีวิมาน ให้อยู่ ดูหรรษา มีนางฟ้า ขับกล่อม ยามนิทรา มีเทวดา ปกป้อง เป็นพวกตน ...คงอยากตาย ซะเลย ในตอนนี้ เพราะว่าดี เหลือเกิน แสนสุขสม แต่ไม่รู้ จริงๆ กลัวพาจน กลัวไม่พ้น นรกภูมิ ที่รู้มา ...จะบอกทาง ไปดี ทุกท่านเถิด ให้กำเนิด จิตเมตตา จิตหรรษา กลัวทำไม คนอื่นเขา ก็ต้องมา เราดีกว่า ไปก่อน แสนสุขใจ ...อย่าไปคิด กังวล ญาติพี่น้อง สมบัติของ สะสม ไม่สงสัย ใครอยากได้ อะไร ก็เอาไป ไม่ถวิล ร่ำไห้ ผูกมัดตน ...ปล่อยให้จิต นั้นเบา เหมือนนอนฟูก คิดถึงธรรม นั้นถูก ไม่สับสน ปล่อยจิตเบา สุขทุกข์ ไม่ใช่ตน ปล่อยทุกคน แม้ใจ ของเราเอง ...ปล่อยจิตแท้ ให้เขา กลับบ้านเก่า เรายืมเขา มานาน ช่างเหมาะเหม็ง ให้เขากลับ บ้านเก่า เขาไปเอง อย่าคิดเล็ง ให้เขา เวียนกลับมา ...แม้แต่จิต ก็ไม่ใช่ ของเราแท้ ที่ว่าแน่ เพราะเรายึด ของเราหนา ไม่ต้องยึด ปล่อยเขาไป ตามอุรา สุขยิ่งกว่า คือปล่อย ให้หมดใจ ...เหลือสติ เบาโล่ง โจ้งสวรรค์ นิพพานนั้น มาเห็น ไม่โหยหา กลับไปเถิด จิตแท้ ที่เจ้ามา เพราะดีกว่า วนเวียน มาอีกที ...ขอบคุณนะ ร่างนี้ ที่ยืมใช้ ขอบคุณใจ ที่ให้อยู่ เป็นสุขขี ขอบคุณโลก ใบนี้ ที่แสนดี ปล่อยร่างนี้ จิตพ้น นิรันดร สมัยนี้คนที่รู้หลักธรรมมีมากเหลือหลาย จนจะกลายเป็นคนโลภธรรมะแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีใครนำไปประพฤติปฏิบัติเท่าที่ควร ความสุขจะมีตามที่สมควรแก่การปฏิบัตินะ ปฏิบัติธรรมน้อยก็มีความสุขน้อย ปฏิบัติธรรมมากก็มีความสุขมาก. จงใคร่ควรให้ดีนะแล้วเลือกเอาหลักธรรมที่เหมาะสมแก่ตนเองไปปฏิบัติเถิด เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 31 ต.ค. 2012, 22:13 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว | ||
.. ![]() ... พุทโธ พุทโธ พุทโธ ...
อนุโมทนาแล้วๆๆ ...
|
เจ้าของ: | รสมน [ 01 พ.ย. 2012, 17:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
บารมี มีความหมายดังนี้ครับ 1.บารมี หมายถึง คุณธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน บารมีย่อมผูกย่อมประกอบ สัตว์ทั้งหลายไว้ในพระนิพพานนั้น. หรือ บารมีย่อมไป ย่อมถึง ย่อมบรรลุถึงพระนิพพาน 2.คุณธรรม 10 ประการ ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ชื่อว่า บารมี นั่นคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา 10 ประการนี้ ที่พระองค์ทรงกระทำ ชื่อว่า บารมี 3. บารมี คือ ธรรมที่ขัดเกลาสัตว์อื่นให้หมดจดจากมลทินคือกิเลส ชื่อว่า ความรำคาญ ในคำว่า ผู้ไม่มีความรำคาญ ได้แก่ ความรำคาญมือบ้าง ความรำคาญเท้าบ้าง ความรำคาญทั้งมือและเท้าบ้าง ความสำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร ความสำคัญในสิ่งควรว่าไม่ควร ความ สำคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ความสำคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ ความรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ความเป็นผู้รำคาญ ความเดือนร้อนจิต ความกลุ้มใจเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความรำคาญ อีกอย่างหนึ่ง ความ รำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะกระทำและเพราะไม่กระทำ. ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะ กระทำและเพราะไม่กระทำอย่างไร ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจย่อมเกิดขึ้นว่า เราทำแต่กายทุจริต เราไม่ได้ทำกายสุจริต พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 13 เราทำแต่วจีทุจริต เราไม่ได้ทำวจีสุจริต เราทำแต่มโนทุจริต เราไม่ได้ ทำมโนสุจริต เราทำแต่ปาณาติบาต เราไม่ได้ทำเจตนางดเว้นจากปาณาติบาต เราทำแต่อทินนาทาน เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากอทินนาทาน เราทำแต่กาเมสุมิจฉาจาร เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เราทำแต่มุสาวาท เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากมุสาวาท เราทำแต่ปิสุณาวาจา เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากปิสุณาวาจา เราทำแต่ผรุสวาจา เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากผรุสวาจา เราทำแต่สัมผัปปลาปะ เราไม่ได้ทำเครื่องงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ เราทำแต่อภิชฌา เราไม่ได้ทำอนภิชฌา เราทำแต่พยาบาท เราไม่ได้ทำอัพยาบาท เราทำแต่มิจฉาทิฏฐิ เราไม่ได้ทำสัมมาทิฏฐิ ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะ กระทำ และ เพราะไม่กระทำอย่างนี้ .อีกอย่างหนึ่ง ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นว่า เราเป็นผู้ไม่กระทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ เราเป็นผู้ไม่หมั่นประกอบในความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ เราเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เราไม่ได้เจริญสัมมัปปธาน ๔ เราไม่ได้เจริญอิทธิบาท ๔ เราไม่ได้เจริญอินทรีย์ ๕ เราไม่ได้เจริญพละ ๕ เราไม่ได้เจริญโพชฌงค์ ๗ เราไม่ได้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เราไม่ได้กำหนดรู้ทุกข์ เราไม่ได้ละสมุทัย เราไม่ได้เจริญมรรค เราไม่ได้ทำให้แจ้งนิโรธ ความรำคาญนี้ อันบุคคลใดละตัดขาดสงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่าไม่มีความรำคาญ เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 01 พ.ย. 2012, 22:53 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว | ||
... ![]() ฯ.. รัตตะนัง สะระนัง คัจฉามิ... อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
|
เจ้าของ: | รสมน [ 02 พ.ย. 2012, 17:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
เวลานั้นมันมีค่ามากๆๆๆๆห้าม ประมาทเลยเชียวมีโอกาศก็รีบตักตวงเสียน่ะ ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่น่ะ วันไหนหมดลมหายใจแล้ว ก็จบกัน แบบนี้คงต้องดูว่าไปทิศทางไหนแบบสุขหรือทุกข์ไปนรกหรือสวรรค์เลือกเอาเอง ถึงเลือกได้ก็ไม่รู้จะสมหวังเปล่า?อยากไปแต่เค้าไม่ให้ไป มนุษย์ ธรรมะที่แท้จริงคือจิต จิตอย่างเดียวเท่านั้น จิตที่ไม่มีตัวไม่มีความยึดมั่นถือมั่นห่วงในตัวเอง ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า ฉันดี ฉันมีบุญบารมี ฉันเก่ง ฉันเป็นผู้วิเศษ ฉันดี ฉันร้าย ฉันได้ ฉันเสีย ฉันสุขหรือแม้กระทั่งฉันทุกข์" มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ชอบเอาสมองอันชาญฉลาด ไปรับใช้หัวใจที่โง่เขลา ทำดีกับคนไม่ได้ดี เลยโกรธกัน อาฆาตกัน ฆ่ากันตาย นึกว่าเราทำดีกับคนไม่ได้ดี ความอยากมันมากลบเกลื่อนเสีย ไอ้ความเป็นจริงนั้น ไอ้ที่เราให้เงินเขา สงเคราะห์เขา นั่นมันดีอยู่ ไอ้ที่เขาไม่เอาเงินมาให้เรานั้นนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา มันเรื่องของคนอื่นเขา ไอ้เรื่องไม่ดีนะเรื่องของคนอื่น ไอ้เรื่องดีนะ มันเรื่องเราสงเคราะห์เขา แต่เขาไม่ตอบแทนคุณเรา มันเป็นเรื่องของเขา ...อันสิ่งที่เราให้เงินเขา สงเคราะห์เขา มันดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของไม่ดี ไม่ใช่ว่าทำดีไม่ได้ดี ที่คนนั้นไม่เอาของมาให้เรา มันโกงเรา คนนั้นไม่ดี เขาทำไม่ดี เราก็ไปเข้าใจว่าเราทำดีไม่ได้ดี เอาเรื่องที่ไม่ดีมาใส่ตัวของเรา ก็ไปแย่งของเขามาแต่เรื่องเขาทำไม่ดีนั้น จนคิดว่าเราทำ ชื่อว่า ความรำคาญ ในคำว่า ผู้ไม่มีความรำคาญ ได้แก่ ความรำคาญมือบ้าง ความรำคาญเท้าบ้าง ความรำคาญทั้งมือและเท้าบ้าง ความสำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร ความสำคัญในสิ่งควรว่าไม่ควร ความสำคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ความสำคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ ความรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ความเป็นผู้รำคาญ ความเดือนร้อนจิต ความกลุ้มใจเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความรำคาญ อีกอย่างหนึ่ง ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะกระทำ และ เพราะไม่กระทำ. ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้น เพราะกระทำและเพราะไม่กระทำอย่างไร ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจย่อมเกิดขึ้นว่า เราทำแต่กายทุจริต เราไม่ได้ทำกายสุจริต เราทำแต่วจีทุจริต เราไม่ได้ทำวจีสุจริต เราทำแต่มโนทุจริต เราไม่ได้ ทำมโนสุจริต เราทำแต่ปาณาติบาต เราไม่ได้ทำเจตนางดเว้นจากปาณาติบาต เราทำแต่อทินนาทาน เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากอทินนาทาน เราทำแต่กาเมสุมิจฉาจาร เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เราทำแต่มุสาวาท เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากมุสาวาท เราทำแต่ปิสุณาวาจา เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากปิสุณาวาจา เราทำแต่ผรุสวาจา เราไม่ได้ทำเจตนาเครื่องงดเว้นจากผรุสวาจา เราทำแต่สัมผัปปลาปะ เราไม่ได้ทำเครื่องงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ เราทำแต่อภิชฌา เราไม่ได้ทำอนภิชฌา เราทำแต่พยาบาท เราไม่ได้ทำอัพยาบาท เราทำแต่มิจฉาทิฏฐิ เราไม่ได้ทำสัมมาทิฏฐิ ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะ กระทำ และ เพราะไม่กระทำอย่างนี้ .อีกอย่างหนึ่ง ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นว่า เราเป็นผู้ไม่กระทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ เราเป็นผู้ไม่หมั่นประกอบในความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ เราเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เราไม่ได้เจริญสัมมัปปธาน ๔ เราไม่ได้เจริญอิทธิบาท ๔ เราไม่ได้เจริญอินทรีย์ ๕ เราไม่ได้เจริญพละ ๕ เราไม่ได้เจริญโพชฌงค์ ๗ เราไม่ได้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เราไม่ได้กำหนดรู้ทุกข์ เราไม่ได้ละสมุทัย เราไม่ได้เจริญมรรค เราไม่ได้ทำให้แจ้งนิโรธ ความรำคาญนี้ อันบุคคลใดละตัดขาดสงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่าไม่มีความรำคาญ เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 02 พ.ย. 2012, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
.. ![]() อนุโมทนาแล้วๆๆ .. |
เจ้าของ: | รสมน [ 04 พ.ย. 2012, 13:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
ทุกวันนี้เรามักจะได้ยินคนบ่นดังๆ ว่า เมื่อไรจะมีเงินมากๆ จะได้มีชีวิตอย่างมีความสุข ความจริงก็คือ เราไม่จำเป็นต้องมีเงินมากๆ เพื่อจะมีความสุข และมีเงินมากๆ ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าชีวิตจะมีความสุข หลายคนจะรีบสวนว่า นั่นแหละขอมีเงินก่อนก็แล้วกัน ที่จริงแล้ว เราเลือกที่จะมีความสุขได้ตั้งแต่วันนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้หัวใจยิ้มได้ไม่ต้องใช้เงินซื้อ การที่เราพัฒนาจิตใจให้มีความสุขที่ไม่ต้องใช้เงิน จะทำให้ใจเราสงบประณีตมั่นคง ความสุขในชีวิตคน เกิดจากสิ่งที่เราทำ เห็น เป็น ไม่ใช่เงินที่เรามี การที่คนคนหนึ่งทำงาน ทำทุกอย่างในชีวิตอย่างรู้คุณค่า เห็นประโยชน์ต่อโลก ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อการขัดเกลาจิตวิญญาณของตัวเอง เขาจะมีความสุขกับทุกขณะในชีวิต ได้เรียนรู้จากความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จ ความล้มเหลว มีภูมิคุ้มกันป้องกันใจตัวเอง เมื่อทำทุกอย่างเต็มที่ด้วยสติปัญญา เพราะเห็นคุณค่า ผลตอบแทนเป็นเงินที่ดีตามมา ก็นำไปช่วยผู้อื่น ได้ความปิติอิ่มใจ เพราะประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่าการจับจ่ายใช้สอยของตัวเอง ใจจะยิ่งมั่นคง พึ่งพาเงินน้อยลง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเข้า...ใจผิด คิดว่าเงินเป็นเป้าหมาย เราจะยอมให้การหาเงินทำลาย กีดขวาง ความรัก ความอบอุ่น เวลาของครอบครัว ความนับถือตัวเอง ความรักโลก รักเพื่อนมนุษย์ ใจจะแห้งแล้วหดหู่ ไม่สามารถมีความสุขได้ จากความรัก ความปรารถนาดี ความดีงามรอบตัว ต้องแสวงหาความสุขจากการใช้เงินซื้อวัตถุสิ่งของ เมื่อใจหมดความสามารถที่จะมีความสุขที่ประณีต เงินก็เป็นแหล่งเดียวที่ให้ความสุขได้ ถึงมีเงินก็ต้องหาเงินมากขึ้น เพราะกลัวเงินหมด เงินหมดไปก็ทุกข์เดือนร้อนกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะไม่มีความสุขทางอื่น มีความทุกข์เดือดร้อนตลอดทั้งวงจร ตั้งแต่อยากมีเงิน หาเงิน ใช้เงิน กลัวเงินหมด ตกเป็นทาสของเงิน ถูกเงินครอบงำ ชีวิตแอบเฉลยคำตอบให้เราเสมอว่า เราต้องฝึกตัวเองให้สามารถมีความสุขจากภายในที่เป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆ ภายนอก เพราะทุกอย่างไว้วางใจไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควบคุมให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้ ทรัพย์สมบัติภายนอกเปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา แต่สมบัติภายในใครก็แย่งไปไม่ได้ การที่คนคนหนึ่งพยายามฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง เรียนรู้ทั้งจากการทำถูกทำผิด มีศรัทธาในเหตุและผลของการกระทำ ศึกษากลับเข้ามาภายใน จนมีปัญญาเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ รวมถึงจิตใจตัวเอง ใจที่มีความมั่นคง กล้าหาญ รู้ว่าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไร เมื่อประสบผลดี ก็ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ไม่หลงมัวเมาในความสำเร็จ พัฒนาจิตใจตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป มีความสุขความมั่นคงตลอดทั้งวงจร ชีวิตเราเหมือนยืนอยู่บนปากเหว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราควบคุมสิ่งต่างๆ ให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้ แต่เราฝึกอบรมใจ ให้เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เป็นทรัพย์สมบัติที่ให้ความอบอุ่น มั่นคงกับเราได้ตลอดไป เจริญเมตตาบ่อยๆ สม่ำเสมอ....ย่อมยกภูมิธรรมของจิตให้ก้าวล่วง ความโกรธ โลภ หลง ให้บรรเทาเบาบางลงไปทีละน้อยๆ.... การฟังธรรมตามกาลด้วยเคารพ ได้ทั้งบุญทั้งกุศลครบจบสงสัย เมื่อมีผู้แสดงธรรมในกาลใด หากตั้งใจฟังธรรมเพิ่มปัญญา เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 05 พ.ย. 2012, 01:02 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว | ||
.. ![]() อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |