ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

การถวายทานด้วยเครื่องบริโภคที่ถูกต้องตามพระวินัย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=43419
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  Hanako [ 26 ก.ย. 2012, 17:29 ]
หัวข้อกระทู้:  การถวายทานด้วยเครื่องบริโภคที่ถูกต้องตามพระวินัย

รูปภาพ

การถวายทานด้วยเครื่องบริโภคที่ถูกต้องตามพระวินัย

ผู้พิมพ์ได้อ่านพบเรื่องการถวายทานด้วยเครื่องบริโภค
ที่ถูกต้องตามพระวินัยแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ คุณเมืองแก้ว ได้เขียนไว้
เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบางท่านที่อาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน
จึงได้พิมพ์มาฝากท่านผู้อ่าน
เผื่อจะได้ทราบเรื่องอาหารที่เราควรจะนำไปถวายพระภิกษุกัน

อาหารที่ถวายพระนั้นถ้ามีเนื้อสัตว์
ก่อนจะถวายต้องทำให้สุกด้วยไฟเสียก่อน เช่น ต้ม ทอด ย่าง
ถ้าอาหารนั้นไม่สุกด้วยไฟ เช่น สุกด้วยมะนาว
หรือยังดิบอยู่ หรือยังสุกๆ ดิบๆ หากพระฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติทุกกฎ


อาหารบางอย่างเรามักนึกไม่ถึงว่ายังไม่สุกด้วยไฟ
เช่น น้ำพริกปลาทู ก่อนจะนำกะปิมาตำน้ำพริก จะต้องนำมาห่อใบตองปิ้งให้สุกก่อน
หรือไข่ดาวและไข่ต้ม จะต้องต้มหรือทอดให้ไข่ขาวและไข่แดงสุกแข็งทั่วกัน
หากยังเหลวเป็นยางมะตูมอยู่ถือว่ายังไม่สุก
หรือส้มตำใส่ปลาร้าหรือปูก็จะต้องต้มปูเค็มหรือต้มปลาร้าเสียก่อน เป็นต้น

มีเนื้อ ๑๐ ชนิดที่ห้ามพระเณรฉันทุกกรณี ได้แก่
เนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อราชสีห์
เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เหนือเสือเหลือง เนื้อหมี

นอกจากนั้นฉันได้ทุกชนิด
แต่ต้องไม่ประกอบด้วยสามเหตุ คือ


- ไม่เห็นว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน
- ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน
- ไม่สงสัยว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน

เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราเวลาประกอบอาหารถวายพระ
ห้ามบอกพระล่วงหน้าว่าจะเอาอาหารชื่อนั้นชื่อนี้มาถวาย
เพราะจะทำให้ท่านฉันไม่ได้ หากฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติ

อีกประการหนึ่งผักหรือผลไม้ที่จะนำมาถวายพระ
หากมีเมล็ดแก่ที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้
อย่างส้ม แตงโม มะเขือสุก
หรือมีส่วนอื่นที่นำไปปลูกได้ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ราก หัวก็ดี
เช่น ผักบุ้ง ใบโหรพา หัวหอม จะต้องทำวินัยกรรม
ที่มักเรียกว่า “กัปปิยะ” เสียก่อน พระท่านจึงจะฉันได้
หากไม่ทำกัปปิยะก่อนแล้วพระฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติทุกกฎ

เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากพระวินัยที่ห้ามภิกษุพรากของเขียว
คือตัดต้นไม้ เด็ดใบไม้นั่นเอง
ซึ่งรวมไปถึงผลไม้หรือลำต้นที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ด้วย

วิธีการทำกัปปิยะ คือ นำผักหรือผลไม้ที่ต้องทำกัปปิยะมาวางตรงหน้าพระ
แล้วพระท่านจะถามว่า “กัปปิยัง กโรหิ” แปลว่า “ทำให้สมควรแล้วหรือ”
โยมหรือเณรจะใช้เล็บหรือมีดเด็ดหรือตัดพืชนั้นเพียง ๑ ต้นหรือ ๑ ผล ให้ขาดออกจากกัน
พร้อมกับพูดว่า “กัปปิยัง ภันเต” แปลว่า “ทำให้สมควรแล้ว”
การทำกัปปิยะกับพืชหรือผลไม้เพียงต้นเดียวหรือลูกเดียว
จะมีผลทำให้พระฉันพืชหรือผลนั้นได้ทั้งจานหรือทั้งถาด

วินัยข้อนี้เห็นนิยมทำกันแต่เฉพาะในสายวัดป่าเท่านั้น
เพราะหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาสืบกันมา ไม่ค่อยได้เห็นวัดในเมืองทำกันสักเท่าใด

สมัยหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดหนึ่งใน จ.สกลนคร
เจ้าอาวาสวัดนั้นซึ่งมีพรรษามากแล้ว เห็นหลวงปู่เสาร์ให้โยมทำกัปปิยะ
ก็ไม่เชื่อถือและกล่าวปรามาสท่าน
หลวงปู่เสาร์ท่านก็อธิบายว่า ท่านทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้คิดขึ้นเอง
ทันใดนั้นหลวงตาเจ้าอาวาสท่านก็ล้มลงชักกับพื้น
ด้วยอำนาจกรรมที่กล่าวปรามาสพระธรรมและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ฝ่ายพระลูกวัดก็พากันมาเขย่าตัวถามว่าเป็นอะไรไป
ท่านจึงรู้สึกตัวขึ้นและกล่าวขอขมาหลวงปู่เสาร์ทันที
และแต่นั้นมาท่านก็ทำตามหลวงปู่เสาร์มาจนตลอดชีวิต
ครูบาอาจารย์บางรูปท่านสอนลูกศิษย์ว่าหากไปฉันในวัดที่เขาไม่ทำกัปปิยะก่อน
ก็ควรเลี่ยงไม่ฉันพืชผลไม้นั้นและไม่ควรไปพูดตำหนิเขาด้วย
แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้ฉันแต่เนื้อ ระวังอย่าเคี้ยวเมล็ดจนแตก

:b44: :b44:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณ poivang
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9501

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/