ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=18392
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ฌาณ [ 16 ต.ค. 2008, 09:35 ]
หัวข้อกระทู้:  ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

เตสํ สมฺปนฺนสีสานํ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ อปฺปมาทวิหารฺนํ
มาโร มคฺคํ น วินฺทติ
มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์
อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้น เพราะรู้ชอบ


จาก . . . ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท

ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
( สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ )
ประณีต ก้องสมุทร

:b45: :b45: :b45: :b45: :b46: :b46: :b46: :b46: :b43: :b43: :b43: :b49: :b49: :b49: :b47: :b47:


ในฤดูที่ดอกไม้บาน เป็นฤดูที่ยังความรื่นรมย์ให้แก่มนุษย์และสัตว์ ดอกไม้หลากชนิด หลายสี
บานสะพรั่ง อวดสี และกลิ่นอยู่บนต้น บางอย่างหอมมาก บางอย่างหอมน้อย บางอย่างไม่หอมเลย บาง
อย่างสวยทั้งสี และกลิ่น บางอย่างสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น บางอย่างไม่สวยทั้งสี และกลิ่น บางอย่างหอมชั่ว
เวลาเช้า บางอย่างหอมตอนสาย บางอย่างหอมเวลาบ่าย บางอย่างหอมเวลาเย็น บางอย่างหอมเฉพาะ
กลางคืน บางอย่างหอมทั้งวันทั้งคืน แต่บางอย่างก็หอมทนอยู่ได้หลายวัน

ถึงกระนั้นเมื่อเหี่ยวแห้งร่วงโรย :b46: :b46:
แล้วก็หมดหอม ไม่มีดอกไม้ชนิดใดเลยที่จะหอมอยู่เป็นนิจทั้งในเวลาบาน และโรยหล่น แม้เมื่อเวลาบาน
อยู่ ถูกลมพัดร่วงพรูจากต้น ลงประดับพื้นดินจะยังมองดูงามแปลกตา และกลิ่นของมันยังหอมกรุ่น เป็น
ที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น แต่เมื่อมันเหี่ยวแห้งอับเฉา ก็ไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด


:b42: :b42: แต่คนมีศีลมิได้เป็นเช่นนั้น :b39: :b39:
คนมีศีลนั้นหอมอยู่เสมอ หอมทั้งตามลม และทวนลม หอมทั้งในเวลามีชีวิตอยู่ และละโลกนี้
ไปแล้ว เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของคนทั่วไปในเวลาที่มีชีวิต เป็นที่เสียดายอาลัยรัก และกล่าวขวัญสรรเสริญ
ถึงในเวลาที่ตายไป ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิต คนมีศีลไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด มีกิริยาวาจาละมุนละไม
น่ารัก ไม่ฆ่าตี ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้ายใคร ทั้งด้วยกาย และวาจา ประกอบด้วยความเมตตากรุณา
แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่เป็นนิจ

รูปภาพ

พวงมาลัยดอกไม้หอมที่นายช่างบรรจงร้อยไว้อย่างมีระเบียบ ย่อมงดงามน่าดู ควรค่า
แก่การเป็นเครื่องสักการะฉันใด คนที่มีกิริยาวาจานุ่มนวลเรียบร้อย งดงาม ก็ควรค่าแก่ความ
เคารพนับถือยกย่องฉันนั้น :b8: :b8: :b8:

ด้วยเหตุนั้น พระสีลวเถระองค์อรหันต์ ผู้สาวกของพระพุทธเจ้า จึงสรรเสริญศีลว่า ศีลเป็น
อาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ

เพชรนิลจินดาและอาภรณ์อันมีค่า มิใช่เครื่องประดับอันประเสริฐ เพราะไม่อาจทำกาย วาจา ใจ
ของผู้ประดับให้งดงามได้
คนมีศีลเป็นเครื่องประดับจึงงดงามทุกเมื่อ

เจ้าของ:  ฌาณ [ 16 ต.ค. 2008, 09:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b48: :b48: :b48: ก็ศีลนั้นคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นคนมีศีล :b48: :b48: :b48: :b48:

ศีล คือความไม่ล่วงละเมิดของผู้มีเจตนาความตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว ทางกาย วาจา
และอาจตลอดไปถึงใจด้วย


รูปภาพ
บางคนอาจจะไม่ล่วงละเมิดเพราะตั้งใจไว้ก่อน เช่นตั้งใจว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ก็ไม่ฆ่า ตามที่ตั้งใจไว้
แต่บางคนก็ไม่ล่วงละเมิดโดยที่มิได้ตั้งใจไว้ก่อน ต่อเมื่อมีเหตุที่จะให้ล่วงละเมิดเกิดขึ้นเฉพาะ
หน้า ก็คิดงดเว้นไม่ล่วงละเมิดได้เอง เช่นเห็นงูพิษเลื้อยเข้ามาในบ้าน รู้ว่าเป็นงูพิษ ถ้ากัดใครเข้าอาจถึง
ตายได้ จึงหยิบไม้ขึ้นมาหมายจะตีงูให้ตาย แต่แล้วเกิดเมตตาสงสารว่า งูมันก็มีชีวิตเช่นเดียวกับเรา มัน
คงกลัวเจ็บกลัวตายเหมือนเรา อย่าทำมันเลย แล้วก็โยนไม้ทิ้ง ไล่งูให้ออกไปเสียจากบ้าน การกระทำเช่น
นี้ก็เป็นศีล แต่เป็นศีลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยมิได้มีเจตนาคิดจะงดเว้นมาก่อน


ศีลจึงเป็นเครื่องขัดเกลา กาย วาจา รวมไปถึงใจให้สะอาด เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
อย่างหยาบที่จะล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา มีการตี การด่าเป็นต้น

ศีลนั้นแม้จะมีความหมายหลายอย่าง แต่โดยทั่วไปมักแปลกันว่า ปกติ คือปกติของกาย ของ
วาจา ซึ่งโดยปกติจะสงบไม่รุกราน ไม่เบียดเบียน ทำร้ายใคร แต่เมื่อละปกติคือผิดปกติก็ไม่สงบ รุกราน
เบียดเบียน ทำร้ายผู้อื่น ด้วยอำนาจของจิตใจที่ผิดปกติ เพราะโลภะ โทสะ และโมหะ
เพราะเหตุที่ ศีล มีความหมายว่า ปกติ คือปกติของกาย วาจา ใจ ศีลจึงมี * ๓ อย่าง
คือ กุศลศีล อกุศลศีล และอัพยากตศีล


*ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ข้อ ๘๙
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล มีกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า กุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล มีอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อกุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่มิใช่กุศล และอกุศล มิได้มีกุศลจิต หรืออกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด
หากมีอัพยากตจิต คือ กิริยาจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อัพยากตศีล

ปาปชน มีอกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
กัลยาณชน มีกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีอกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
รูปภาพ
พระอริยบุคคลที่ยังเป็นเสกขบุคคล ๓ จำพวก คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระ
อนาคามี มีกุศลศีลเพียงอย่างเดียว เพราะท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว

พระอริยบุคคลที่เป็นอเสกขบุคคล คือพระอรหันต์มีอัพยากตศีลเพียงอย่างเดียว
ใน กิมัตถิยสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๑ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็นกุศล คือ กุศลศีล ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้ ๑๐
ประการ คือ
๑. ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๒. ความไม่เดือดร้อนใจมีความปราโมทย์เป็นผล เป็นอานิสงส์
๓. ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล เป็นอานิสงส์
๔. ปีติมีปัสสัทธิ คือความสงบใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๕. ปัสสัทธิ มีสุข คือความสุขใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๖. สุขมีสมาธิเป็นผล เป็นอานิสงส์
๗. สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล เป็นอานิสงส์
๘. ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะ คือความหน่ายความคลายเป็นผล เป็นอานิสงส์
๙. นิพพิทาวิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผล
เป็นอานิสงส์
๑๐. ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้


เพราะฉะนั้น โลกียศีลจึงเป็นบันไดให้เข้าถึงโลกุตตรศีล เข้าถึงอธิศีลสิกขา เป็น
อริยศีลได้ในที่สุด

มนุษย์นั้นมีมากมายหลายประเภท สวยมาก สวยน้อย ดีมาก ดีน้อย บางคนทั้งสวยทั้งดี บาง
คนไม่สวยด้วยไม่ดีด้วย บางคนเรียบร้อย บางคนหยาบคาย บางคนอ่อนโยน บางคนดุร้าย บางคนมีศีล
บางคนไม่มีศีล สุดแท้แต่กรรมจะจำแนกให้เป็นไป

ในจำนวนคนมากมายหลายประเภทเหล่านี้ คนมีศีลเป็นคนประเสริฐ ยิ่งมีศีลด้วย
สวยด้วย ยิ่งประเสริฐสุด เหมือนดอกไม้ที่สวยทั้งสีและกลิ่น
:b46: :b41: :b46: :b46: :b41:

:b43: ส่วนคนสวยที่ไม่มีศีลนั้น ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยแต่สี หามีกลิ่นไม่

เจ้าของ:  ฌาณ [ 16 ต.ค. 2008, 10:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริ และโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวบาป ทั้งบาปของ
ตนและคนอื่น โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า


"เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระ
ทำความชั่ว"

ดังนี้เป็นต้น หรือเพราะเกรงคำครหาของผู้อื่นว่า

"ผู้นี้เป็นถึงสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมจึงประพฤติชั่วอย่างนี้"

ดังนี้เป็นต้น เมื่อมีสติคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็อ่อนโยน ไม่กล้าทำความชั่ว
เมื่อไม่ทำความชั่วก็ไม่เดือดร้อน ศีลจึงมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล เป็นอานิสงส์


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า
ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ ( ดังที่พระท่านแสดง
อานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า สีเลน โภคสมปทา )
๒. เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล ย่อมฟุ้งขจรไปไกล
๓. ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน
๔. ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ ( คือไม่หลงในเวลาตาย )
๕. ผู้มีศีล ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ( สีเลน สุคตึ ยนฺติ )

นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ด้วยว่า ผู้ที่หวังได้รับความรักใคร่ สรรเสริญจากบัณฑิต
ทั้งหลาย ควรทำศีลให้บริบูรณ์


ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา

ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน คือความชั่วของสัตว์ทั้งหลาย อันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้
ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส
:b48: :b48: :b48: :b47: :b47: :b47: :b49: :b49: :b49:

กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี
บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์ และบรรลุนิพพาน ( สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ) ที่จะเสมอด้วยบันได
คือศีลหามีไม่

บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย วาจา ใจ
ผู้มีศีล ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้ เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน ย่อมเกิดปีติ
ทุกเมื่อ
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย และกำจัดความ
ชั่วทั้งปวง

:b8:

เจ้าของ:  สุนันท์ [ 27 ต.ค. 2008, 19:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:
พอจะเข้าใจเจ้าคะ ต้องอ่าน
อีกสักครั้ง
:b32:

เจ้าของ:  ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 29 ต.ค. 2008, 16:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

สาธุกับเนื้อหาคะ :b8: ชอบรูปภาพสวยมากคะ ส่วนรูปประจำตัวคุณฌานลูกชายเห็นแล้วบอกว่าชอบมากคะ :b17:

เจ้าของ:  บัวไฉน [ 29 ต.ค. 2008, 20:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b25: สวัสดี ไอ้มดเอ๊กซ์ เอ้ย น้องฌาณ อุตส่าห์ตามมาอ่าน
ไม่คิดว่าเนื้อหาจะยาวขนาดนี้ ใกล้ๆ จะถึงดาวดวงที่ 10 แล้ว
ไอ้น้อง สู้..สู้
:b4: อ้อขอชมว่าภาพประกอบสวยมาก น้อง

เจ้าของ:  กำลังเพียร [ 01 พ.ย. 2008, 16:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b18: :b18: :b18:

เจ้าของ:  ฌาณ [ 01 พ.ย. 2008, 19:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

ขอบพระคุณทุกท่านครับที่ให้กำลังใจ :b8:

ตอนนี้ผมไม่ใช่มดเอกซ์แล้วครับ เปลี่ยนเป็นชินจังแย้วววว... :b25: :b25: :b25:

เจ้าของ:  อัญญาสิ [ 26 ธ.ค. 2008, 19:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b8: :b8: :b44:


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ (นะโม 3 จบ)
(ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ พระองค์นั้น ( 3 ครั้ง))

:b8:

อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ(3 ครั้ง)
(ข้าพเจ้าขอทรงไว้ซึ่งศีลทั้งห้าประการด้วยจิตตั้งมั่น)(3 ครั้ง)

:b44: :b8: เจริญในธรรม

เจ้าของ:  AAAA [ 26 ธ.ค. 2008, 19:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  O.wan [ 26 ธ.ค. 2008, 20:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b17: :b17: :b17: เป็นกำลังใจให้ได้ 10 ดวงเร็วๆนะคะ
:b3: :b3: :b3: :b3: แต่เราพึ่ง 2 ดวงเองคะ :b2: หนทางนี้ยังอีกยาวไกล............. :b5:
จะตามK.ฌานไหวไม๊เนี่ย...... :b4: :b4: :b4: :b4:

เจ้าของ:  ลุงชู [ 23 เม.ย. 2009, 09:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b8:

เจ้าของ:  jintana63 [ 23 เม.ย. 2009, 10:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

อนุโมทนาสาธุค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆเลยค่ะหอมทั้งดอกไม้ซึ้งทั้งธรรมะ

เจ้าของ:  ผู้ดูแลสัตว์วิเศษ [ 23 เม.ย. 2009, 17:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ

:b12:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/