วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2013, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

เราควรอยู่ในวิสัยของเทวดาคือ การให้อภัย

ความทุกข์ทางใจที่เราประสบอยู่นี้ ไม่มีผู้ใดกระทำเรา เราได้เคยกระทำกรรมที่เป็นเหตุไม่ดีไว้มาก่อน
แล้วในชาติใดชาติหนึ่ง และเมื่อผลของกรรมนั้นส่งผลในปัจจุบันนี้ เราก็ได้รับความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้เลย
หากเรารับความทุกข์แล้ว เราไม่ยอมคิดให้เป็นเหตุผล เราก็จะโทษคนโน้นคนนี้ทำ จริงๆ แล้วถ้าเข้าใจ
ให้หลักปฏิจจสมุปบาทจะเข้าใจถึงวิปากที่ได้รับความทุกข์ในขณะนี้ว่า เราทำไว้เองทั้งสิ้น ไม่มีเจ้ากรรม
นายเวรคอยตามรังควานเรา เราทำเหตุของเราไว้เอง วันนี้เราช้ำเองค่ะ

สิ่งที่ทำให้ช้ำใจทุกวันนี้ มันเกิดทางใจ เรามาทำใจของเราเลียนแบบวิสัยของเทวดากันค่ะคือ การให้อภัย
หากเราไม่ให้อภัย สังสารวัฏฏ์อันยาวไกลจะต้องมาสะสางเวรกรรมกันอีกต่อไปนะคะ ชาติหน้า ชาติต่อไปก็หมุนวนกันมาพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าค่ะ

การให้อภัยที่แท้จริงนั้น เวลานึกถึงเค้าขึ้นมาทีไร แล้วต้องไม่แค้นใจ นั่นแหล่ะการให้อภัยนั้นสำเร็จแล้วค่ะ

การให้อภัยทาน เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ค่ะ เรามาทำกุศลที่ยิ่งใหญ่กันดีมั้ยคะ อย่างไรเสียทำอะไรไม่ได้แล้ว
ก็หันมาทำบุญดีกว่าค่ะ บุญอันยิ่งใหญ่แบบนี้เป็นวิสัยของเทวดาค่ะ ทำได้ภูมิใจนะคะ ลองค่อยๆ ทำดูค่ะ
เมตตาเค้าไปเถอะค่ะ วันหน้าเค้าได้รับความทุกข์แน่ๆ คนที่ทำผิดระดับนี้ ในนรกมีเยอะมากค่ะแล้วต้อง
ทนทุกข์ทรมานนานจนลืมค่ะ การตกนรกนั้นไม่ใช่ว่าจะได้ลงแค่ขุมเดียวนะคะ มีกี่ขุมกี่ขุมต้องวนไป
ให้ครบให้หมดถึงจะพ้นจากนรกได้นะคะ มีนรกขุมใหญ่ มีขุมที่เป็นบริวาร เรียกว่า โปรโมชั่นสุดๆ ค่ะ

ดังนั้นเมตตาสงสารคนที่เค้าทำกรรมใหม่ ทำให้เรามีโอกาสเป็นผู้รับวิปากที่เราเคยทำเหตุไว้
ผู้ที่ทำกรรมใหม่นี้ต้องได้รับมากมายในชาติหน้า หรือแม้แต่ในชาตินี้ก็ตาม สิ่งที่เค้าทำไว้ก็จะส่งผล
กระหน่ำซ้ำเติมเค้าเวลาเค้าได้รับวิปากอีกด้วยค่ะ

ดิฉันขอเล่าเรื่องของคนรู้จักค่ะ มีครอบครัวหนึ่ง มีพ่อแม่และลูกชาย ลูกสาว
พ่อแม่บ้านนี้เป็นคนดี หน้าที่การงานก็ดีค่ะ ลูกทั้งสองก็โตอยู่ในช่วงวัยรุ่นแล้วค่ะ ทีนี้พ่อเรียนไม่จบ
ปริญญาตรี หน้าที่การงานก็จะตันแล้ว พ่อบ้านคนนี้ก็เลยไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคค่ำ
ก็ได้รู้จักเพื่อนนักศึกษาหญิงด้วยกัน ก็นอกใจแม่บ้าน ไปหลงรักเด็กว่างั้นค่ะ เด็กก็ไม่ค่อยสวยก็คง
หาแฟนยากอยู่สักหน่อย มีผู้ชายที่หน้าที่การงานดีมีเงินมาจีบ ก็เป็นแฟนกันค่ะ

แม่บ้านรู้ก็ไม่ยอม เรียกว่า เลิกๆๆๆ อย่างเดียว จดทะเบียนหย่า ออกจากบ้านไป ชั้นจะอยู่กับลูก
แกไปอยู่กับเมียใหม่ ไปๆ เลย อย่าช้า ประมาณนั้นค่ะ เพราะแม่บ้านคนนี้ใจเด็ดค่ะ แต่ก็อยู่แบบใจสลาย
ตายทั้งเป็นค่ะ น่าสงสารมากค่ะ

จะว่าพ่อบ้านไม่รักครอบครัวก็ว่าไม่ได้นะคะ เพราะตกค่ำๆ ดึกๆ ชาวบ้านชาวช่องเค้าหลับกันหมดแล้ว
พ่อบ้านมาเมียงๆ มองๆ บ้านที่เคยอยู่เป็นประจำ เพื่อนบ้านแอบเห็นบ่อยๆ ว่า แกมายืนดูบ้านที่เป็น
ครอบครัวเก่าของแกค่ะ ฟังๆ แล้วก็น่าสงสารนะคะ ใหม่ก็จะเอา เก่าก็ไม่อยากจาก คนเรานี้มันจะเอา
แต่ได้อย่างเดียว พอเสียขึ้นมาก็อดทนไม่ไหวเหมือนกัน

พออยู่ไปหลายปี พ่อบ้านนี้ก็มีลูกคนใหม่กับเมียใหม่ค่ะ ลูกใหม่ยังเรียนชั้นประถม พ่อบ้านก็เกิดเป็น
อัมพาตขึ้นมา เมียใหม่ก็ทิ้งค่ะ ไม่มีใครดูแลอย่างที่ควรจะเป็น พ่อบ้านก็ร้องไห้เสียใจอยากจะกลับ
มาอยู่บ้านเมียเก่า เมียเก่าก็สงสารอยากจะรับมาดูแลที่บ้านที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่ลูกชายคนโตนั้นไม่ยอม
ให้พ่อกลับเข้ามาในบ้าน ไม่ยอมให้แม่ไปยุ่งเกี่ยวดูแล เมียเก่าก็ได้แต่เสียใจค่ะ และในไม่ช้าพ่อบ้าน
คนนี้ก็เสียชีวิตตายจากไปค่ะ
:b47: :b47: :b47: :b47:

ดังนั้น วันนี้ที่คุณได้รับอยู่นั้น ยังไม่จบค่ะ เรื่องราวอีกยาวไกล ตามแต่ใครจะเป็นอย่างไร
จึงขอให้หักห้ามใจไว้บ้าง ทำกุศลเยอะๆ ดีกว่าจมอยู่ในความทุกข์ค่ะ
เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าชีวิตบนโลกใบนี้ชาตินี้ วันข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
และที่น่ากลัวที่สุด คือ ชีวิตหลังความตายไม่รู้จะประสบกับอะไรค่ะ

:b27: วันนี้ให้อภัยใครได้ ก็ให้อภัยกันค่ะ เพราะชีวิตมีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น เมตตากันดีกว่าค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2013, 15:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

เราควรอยู่ในวิสัยของเทวดาคือ การให้อภัย

ความทุกข์ทางใจที่เราประสบอยู่นี้ ไม่มีผู้ใดกระทำเรา เราได้เคยกระทำกรรมที่เป็นเหตุไม่ดีไว้มาก่อน
แล้วในชาติใดชาติหนึ่ง และเมื่อผลของกรรมนั้นส่งผลในปัจจุบันนี้ เราก็ได้รับความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้เลย
หากเรารับความทุกข์แล้ว เราไม่ยอมคิดให้เป็นเหตุผล เราก็จะโทษคนโน้นคนนี้ทำ จริงๆ แล้วถ้าเข้าใจ
ให้หลักปฏิจจสมุปบาทจะเข้าใจถึงวิปากที่ได้รับความทุกข์ในขณะนี้ว่า เราทำไว้เองทั้งสิ้น ไม่มีเจ้ากรรม
นายเวรคอยตามรังควานเรา เราทำเหตุของเราไว้เอง วันนี้เราช้ำเองค่ะ

สิ่งที่ทำให้ช้ำใจทุกวันนี้ มันเกิดทางใจ เรามาทำใจของเราเลียนแบบวิสัยของเทวดากันค่ะคือ การให้อภัย
หากเราไม่ให้อภัย สังสารวัฏฏ์อันยาวไกลจะต้องมาสะสางเวรกรรมกันอีกต่อไปนะคะ ชาติหน้า ชาติต่อไปก็หมุนวนกันมาพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าค่ะ

การให้อภัยที่แท้จริงนั้น เวลานึกถึงเค้าขึ้นมาทีไร แล้วต้องไม่แค้นใจ นั่นแหล่ะการให้อภัยนั้นสำเร็จแล้วค่ะ

การให้อภัยทาน เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ค่ะ เรามาทำกุศลที่ยิ่งใหญ่กันดีมั้ยคะ อย่างไรเสียทำอะไรไม่ได้แล้ว
ก็หันมาทำบุญดีกว่าค่ะ บุญอันยิ่งใหญ่แบบนี้เป็นวิสัยของเทวดาค่ะ ทำได้ภูมิใจนะคะ ลองค่อยๆ ทำดูค่ะ
เมตตาเค้าไปเถอะค่ะ วันหน้าเค้าได้รับความทุกข์แน่ๆ คนที่ทำผิดระดับนี้ ในนรกมีเยอะมากค่ะแล้วต้อง
ทนทุกข์ทรมานนานจนลืมค่ะ การตกนรกนั้นไม่ใช่ว่าจะได้ลงแค่ขุมเดียวนะคะ มีกี่ขุมกี่ขุมต้องวนไป
ให้ครบให้หมดถึงจะพ้นจากนรกได้นะคะ มีนรกขุมใหญ่ มีขุมที่เป็นบริวาร เรียกว่า โปรโมชั่นสุดๆ ค่ะ

ดังนั้นเมตตาสงสารคนที่เค้าทำกรรมใหม่ ทำให้เรามีโอกาสเป็นผู้รับวิปากที่เราเคยทำเหตุไว้
ผู้ที่ทำกรรมใหม่นี้ต้องได้รับมากมายในชาติหน้า หรือแม้แต่ในชาตินี้ก็ตาม สิ่งที่เค้าทำไว้ก็จะส่งผล
กระหน่ำซ้ำเติมเค้าเวลาเค้าได้รับวิปากอีกด้วยค่ะ

ดิฉันขอเล่าเรื่องของคนรู้จักค่ะ มีครอบครัวหนึ่ง มีพ่อแม่และลูกชาย ลูกสาว
พ่อแม่บ้านนี้เป็นคนดี หน้าที่การงานก็ดีค่ะ ลูกทั้งสองก็โตอยู่ในช่วงวัยรุ่นแล้วค่ะ ทีนี้พ่อเรียนไม่จบ
ปริญญาตรี หน้าที่การงานก็จะตันแล้ว พ่อบ้านคนนี้ก็เลยไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคค่ำ
ก็ได้รู้จักเพื่อนนักศึกษาหญิงด้วยกัน ก็นอกใจแม่บ้าน ไปหลงรักเด็กว่างั้นค่ะ เด็กก็ไม่ค่อยสวยก็คง
หาแฟนยากอยู่สักหน่อย มีผู้ชายที่หน้าที่การงานดีมีเงินมาจีบ ก็เป็นแฟนกันค่ะ

แม่บ้านรู้ก็ไม่ยอม เรียกว่า เลิกๆๆๆ อย่างเดียว จดทะเบียนหย่า ออกจากบ้านไป ชั้นจะอยู่กับลูก
แกไปอยู่กับเมียใหม่ ไปๆ เลย อย่าช้า ประมาณนั้นค่ะ เพราะแม่บ้านคนนี้ใจเด็ดค่ะ แต่ก็อยู่แบบใจสลาย
ตายทั้งเป็นค่ะ น่าสงสารมากค่ะ

จะว่าพ่อบ้านไม่รักครอบครัวก็ว่าไม่ได้นะคะ เพราะตกค่ำๆ ดึกๆ ชาวบ้านชาวช่องเค้าหลับกันหมดแล้ว
พ่อบ้านมาเมียงๆ มองๆ บ้านที่เคยอยู่เป็นประจำ เพื่อนบ้านแอบเห็นบ่อยๆ ว่า แกมายืนดูบ้านที่เป็น
ครอบครัวเก่าของแกค่ะ ฟังๆ แล้วก็น่าสงสารนะคะ ใหม่ก็จะเอา เก่าก็ไม่อยากจาก คนเรานี้มันจะเอา
แต่ได้อย่างเดียว พอเสียขึ้นมาก็อดทนไม่ไหวเหมือนกัน

พออยู่ไปหลายปี พ่อบ้านนี้ก็มีลูกคนใหม่กับเมียใหม่ค่ะ ลูกใหม่ยังเรียนชั้นประถม พ่อบ้านก็เกิดเป็น
อัมพาตขึ้นมา เมียใหม่ก็ทิ้งค่ะ ไม่มีใครดูแลอย่างที่ควรจะเป็น พ่อบ้านก็ร้องไห้เสียใจอยากจะกลับ
มาอยู่บ้านเมียเก่า เมียเก่าก็สงสารอยากจะรับมาดูแลที่บ้านที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่ลูกชายคนโตนั้นไม่ยอม
ให้พ่อกลับเข้ามาในบ้าน ไม่ยอมให้แม่ไปยุ่งเกี่ยวดูแล เมียเก่าก็ได้แต่เสียใจค่ะ และในไม่ช้าพ่อบ้าน
คนนี้ก็เสียชีวิตตายจากไปค่ะ
:b47: :b47: :b47: :b47:

ดังนั้น วันนี้ที่คุณได้รับอยู่นั้น ยังไม่จบค่ะ เรื่องราวอีกยาวไกล ตามแต่ใครจะเป็นอย่างไร
จึงขอให้หักห้ามใจไว้บ้าง ทำกุศลเยอะๆ ดีกว่าจมอยู่ในความทุกข์ค่ะ
เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าชีวิตบนโลกใบนี้ชาตินี้ วันข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
และที่น่ากลัวที่สุด คือ ชีวิตหลังความตายไม่รู้จะประสบกับอะไรค่ะ

:b27: วันนี้ให้อภัยใครได้ ก็ให้อภัยกันค่ะ เพราะชีวิตมีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น เมตตากันดีกว่าค่ะ



อนุโมทนา สาธุนะค่ะ จริงที่สุด สู้อย่ามีเลยจะดีกว่าค่ะ
จะได้ไม่ต้องมีใครต้องมาเจ็บทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเขา
อยู่คนเดียว มีแต่เหงา :b26: :b26:

กลัวจังค่ะ ที่แต่งงานไปแล้วสามีนอกใจ cry cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กลัวจังค่ะ ที่แต่งงานไปแล้วสามีนอกใจ cry cry

:b50: :b50: :b50:

ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ได้เจอเกือบทุกคน :b13:

เพราะอะไรเหรอคะ เพราะว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นมันไม่เหมือนกันนั่นเอง
:b22: รักของผู้ชายนั้น รักง่ายหน่ายเร็ว เหมือนไฟไหม้ฟาง แป๊บเดียวไหม้หมดกองแล้วก็หากองฟางใหม่ มาไหม้ต่อไป ต่อไป จนกว่าจะหมดไฟ จุดไม่ติดแล้วหมดฤทธิ์นั่นแหล่ะ คราวนี้ทำไรไม่ได้แล้วก็ได้แต่มองน้ำลายยืด เหมือนหมาเห็นปลากระป๋อง
:b2: รักของผู้หญิงนั้น รักแล้วเลิกรักไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันยังรักอยู่อย่างนั้น เหมือนไฟสุมขอน
ผู้ชายเค้าเลิกรักไปแล้ว ก็หยุดรักเค้าไม่ได้ ไฟยังไหม้ขอนไม่หมดเลย เรียกว่า ใกล้ตายแล้วไฟยังไหม้ขอน
ไม้ไม่หมดเลยค่ะ เฮ้อ..น่าอนาถเน๊าะ เราก็ต้องทวนกระแสพิศวาสกันหน่อยค่ะ หากเค้าเลิกรักเราแล้ว
เราเอาน้ำใส่กระป๋องสาดโครมไปเลยที่ไฟที่กำลังไหม้สุมขอนอยู่นั้น ให้ไฟมันดับๆ ไปเลย อย่าได้แคร์ค่ะ

:b53: คำเตือน ที่พูดมานี้ ทั้งชายและหญิงก็เป็นไปโดยส่วนมากค่ะ ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไม่เป็นอย่างนี้

:b48: :b48: :b48:

ละครโรงนี้ของเราแต่ละคน เรานั้นก็เป็นพระเอก นางเอกของเรื่องของเรา จริงมั้ยคะ

ตอนพระเอกแต่งงานกับนางเอกนั้น เค้ารักจริงหวังแต่งจริงนะคะ รักจริงๆ ชนิดว่าไม่ได้เธอ ชั้นขอตาย
เหมือนไอ้ขวัญในเรื่องแผลเก่านั่นแหล่ะ หรือที่ตายกันโครมๆ ลงหนังสือพิมพ์ให้เห็นบ่อยๆ นั่นแหล่ะค่ะ

แต่ทีนี้ถ้าสมหวังล่ะ เกิดอะไรขึ้น สมหวังแล้วก็ลาก่อน นั่นแหล่ะคือหาเมียใหม่ ส่วนเมียเก่าก็วางไว้บนหิ้ง
ถ้าแสนดีก็เอาไว้บูชา ถ้าคุ้มดีคุ้มร้ายก็เอาไปตบ เตะ ตืบ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสามีจะจัดตามความเหมาะสม
กับนิสัยตนเอง บางทีเมียก็แสนดีแต่จัดให้ผิดเมียโดนเตะซะงั้น

ที่เห็นบางคู่พระเอกรักนางเอกอย่างกะเทพนิยายเจ้าหญิงเจ้าชายนั้น เพราะอะไร
เพราะผู้ชายนั้นมีคุณธรรม ถึงหมดโปรโมชั่นแล้วก็ยังหวานอยู่ เพราะมีความเมตตาต่อกัน
เค้าสงสารเมีย เมียจะดีไม่ดีไม่รู้ รู้แต่ว่าเมตตาสงสารทำร้ายกันไม่ลงบ้าง พระเอกเป็นคนที่มีความ
ซื่อสัตย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วบ้าง นางเอกคนไหนเจอแบบนี้ก็โชคดีไปนะคะ

:b4: ฟรุ๊คๆ อาจจะเจอก็ได้นะคะ คุณJIT

คิดง่ายๆ เลยนะคะ มีความรักเมื่อไร ก็ให้รู้เท่าทันไว้เผื่อว่าอะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
ก็จะได้ไม่เสียใจมากค่ะ :b27:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
8 กันยายน 2556
ยาอายุวัฒนะ

ราวๆ ๕๐ ปีก่อน มีพระพม่ารูปหนึ่งชื่อว่า พระเสฏฐิลาภิวงศ์ ฝรั่งรู้จักท่านว่า u thithila ท่านสอบถามคนสูงอายุเกิน ๙๐ ปีขึ้นไปว่า ทำอย่างไรจึงจะมีอายุยืน แต่ละคนที่มีฐานะแตกต่างกัน จนบ้าง รวยบ้าง อยู่ในภูมิอากาศแตกต่างกัน

พอท่านสอบถามหลายๆ คนก็พบคำตอบที่เหมือนกันข้อหนึ่ง คือ การเป็นคนใจเย็น ไม่หงิดหงิดโกรธง่าย หลังจากนั้นท่านก็ปฏิบัติตามนั้น และมรณภาพในช่วงอายุ ๙๕ ปี

ท่านอาจารย์ชเวหินตาสยาดอ อายุ ๑๐๕ ปีจึงมรณภาพ ท่านเป็นพระสังฆราชของนิกายชเวจิน ก่อนจะถึงวันมรณภาพ ท่านมีสุขภาพดี ตาไม่ฝ้าฟาง อ่านหนังสือโดยไม่ต้องใส่แ่ว่นตา ฟันไม่หัก หลังไ่ม่โกง หูไม่ตึง

ท่านกล่าววิธีทำให้อายุืยืนของท่านว่า

๑. รักษาวินัยอย่างเคร่งครัด

๒. บูชาพระพุทธเจ้าด้วยปริยัติและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

๓. แผ่เมตตาให้แก่มนุษย์และเทวดาเสมอตลอดวันเท่าที่มีโอกาสว่า "ทุกชีวิตเป็นสุข พ้นทุกข์ ปลอดจากภัยทั้งปวงเถิด"

๔. อุทิศส่วนบุญที่ทำไว้อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ไปให้เทวดารักษาตน รักษาวัด รักษาพระศาสนา ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ รุกขเทวดา เทวดาที่อยู่ในอากาศทั้งหมด

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
6 กันยายน
ที่สุด ๓ อย่างในชีิวิต

๑. สิ่งที่ไม่ควรมีที่สุด คือ ความผิด

๒. สิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด คือ บาป

๓. สิ่งที่ไม่ควรเก็บที่สุด คือ ความเดือดร้อนใจ

ถ้าเรามีสิ่งทีี่่่่ไม่ควรมี ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เก็บสิ่งที่ไม่ควรเก็บ ใจของเราจะเหมือนถังขยะที่สกปรกเน่าเหม็นตลอดเวลา แม้คนอื่นจะไม่ได้กลิ่นเหม็น แต่เราก็ได้กลิ่นมันอยู่เสมอ ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข

:b8: :b8: :b8:

จงปล่อยวาง..ในสิ่งที่ไม่มีทางกลับมา และไม่มีคำว่า..เป็นไปได้!!
เฟรสบุ๊ค...princess car...

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2013, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกระทู้คุณJIT TREE แล้วก็ขอคุยต่อเรื่องผู้ชายเดี๋ยวนี้เค้าเป็นอย่างไร
เวลาผู้ชายเค้ารวมกลุ่มกัน เค้าก็พากันเที่ยว ไม่แปลกค่ะ แต่เมื่อไหร่ไปที่เที่ยวพวกผับที่เป็นแหล่งรวม
เพศที่3 เมื่อไหร่เมื่อนั้น ภรรยาเตรียมรับโจทย์เพิ่มอีก1 คือเพศที่3

ผู้ชายที่มักมากในกาม ชอบเรื่องตัณหาราคะแบบนี้ฝังจิตฝังใจ ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ
แค่เปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเซ็งแล้ว ที่นี้หันมาหาอะไรใหม่บ้าง พอวัยเริ่ม 40 ชักเบื่อแบบเดิมๆ
ก็หาเพศที่3 ค่ะ คนเป็นเมียก็ไม่ต้องตกใจนะคะเพราะเป็นกันเยอะค่ะ เพียงแต่คุณจะจับได้หรือไม่
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณนะคะ เรื่องที่ว่านี้อาจจะไม่เกิดกับคุณก็ได้ อันนี้เล่าสู่กันฟังค่ะ
สามีบางคนอาจจะมีพื้นฐานชอบผู้ชายด้วยกันมาก่อนก็ได้ บางทีเราก็ไม่รู้มาก่อนนะคะ
พวกนี้ก็คงไม่เริ่มประมาณอายุ 40 แล้วค่ะ

:b14: สามีแบบนี้เค้าเรียกว่า ค้นพบตัวเองตอนอายุประมาณ 40 ปี

ผู้ชายบางคนก็น่าสงสารนะคะ คบเพื่อนที่เป็นเกย์ กินเหล้ากันเมา ทีนี้เพื่อนที่เป็นเกย์ก็เห็นเพื่อนด้วยกัน
เมาไม่รู้เรื่อง ก็จะลักหลับกัน ชนิดที่ว่าเพื่อนกูรักมึงวะ หากมีเพื่อนคนอื่นอยู่ด้วยที่ทันเห็นเหตุการณ์จะลักหลับ
ก็ยังพอจะห้ามกันทัน ก็หมดสิทธิ์ลักหลับตอนเพื่อนด้วยกันเมา รอดไปนายคนที่เมายังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้

เห็นหรือไม่คะว่า สามีของเราๆ เค้าก็ไม่ค่อยปลอดภัยในหมู่เพื่อนเค้าเหมือนกันนะคะ
เล่าให้อ่านกันค่ะ แต่เอามาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2013, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

อนุปุพพิกถา คือ พระธรรมเทศนาที่แสดงความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดและประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จากง่ายไปหายาก เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะรับฟังอริยสัจ ๔

อนุปุพพิกถา มี ๕ ประการ คือ

๑. ทานกถา
พรรณนาเรื่องทาน กล่าวถึง การให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกัน

๒. สีลกถา
พรรณนาเรื่องศีล กล่าวถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม

๓. สัคคกถา
พรรณนาเรื่องสวรรค์ กล่าวถึง ความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกามที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น

๔. กามาทีนวกถา
พรรณนาเรื่องโทษแห่งกาม กล่าวถึง ส่วนเสียข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้

๕. เนกขัมมานิสังสกถา
พรรณนาเรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม รวมทั้งอานิสงส์แห่งการออกบวช กล่าวถึง ผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น

:b8: :b8: :b8: เชิญคลิ๊กอ่านต่อได้ที่นี่ค่ะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6021
:b47: :b47: :b47: :b47:

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
11 กันยายน 2556
คนที่รักตัวเองอย่างแท้จริง

ทุกคนรักตัวเอง พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้เราอยู่ดีมีสุข แ้ต่บางคนยอมทำบาปด้วยการหลอกลวงหรือเลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เขาไม่ใช่คนที่รักตัวเองเลย เพราะการทำบาปทำให้ต้องตกอบาย และได้รับทุกข์นานาประการในสังสารวัฏต่อไป

คนที่รักตัวเองต้องไม่ทำบาปด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น จึงจะแน่ใจได้ว่าเราจะอยู่ดีมีสุขในชาตินี้และชาติหน้าต่อไป นอกจากนั้น เขาต้องเพียรสร้างบุญกุศลคือทาน ศีล ภาวนาให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อเป็นอริยทรัพย์ฝากไว้ในธนาคารบุญต่อไป

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2013, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2013, 17:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณมากค่ะ จะนำความรู้ไปปฎิบัตินะค่ะ
ถึงแม้ว่าจะปฎิบัติไม่หมดก็เหอะค่ะ
s006 :b8: :b8: Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

:b27: มองกันในแง่ดี ชีวีเป็นสุข

ก่อนจะเมตตาใครได้นั้น ต้องใช้ความอดกลั้นความโกรธความขุ่นเคืองใจของเราให้ได้ก่อน
ไม่ใช่ง่ายๆ ค่ะ จะเมตตาคนที่ทำกับเรา ดังนั้นต้องมองกันในแง่ดีให้ได้ก่อน มองหาความดีของเค้า
ต้องมีนะคะสิ่งที่ดีที่เค้ามอบให้แก่เรา เช่น เค้าไม่เคยตบตีเรา เค้าส่งเสียเงินให้ใช้ไม่ได้ขาดแม้จะให้ขาด
ไปบ้างหรือให้ไม่เต็มที่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่เคยทิ้งเรากับลูกให้อดอยาก มองว่าเค้าก็ยังมาหาลูกบ้าง
ยังให้ความรักความสนใจลูก มองว่าเค้ายังเป็นบุคคลสำคัญสำหรับลูกทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น สำหรับคนที่
พยายามมองหาความดีของสามีแล้วไม่เจอ ก็ต้องขอบคุณเค้าที่จากไม่เป็นภาระแก่เราค่ะ พยายามมอง
เค้าให้เจอแง่ดีก่อน อย่างน้อยวันเวลาที่ผ่านมาเค้าก็เคยดีกับเรา เคยไปเที่ยวกันแล้วมีความสุข มองหาความดีเค้าได้ แล้วใจเราจะอ่อนโยนขึ้น

การมองคนในแง่ดี ให้ความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่นบ่อยๆ จิตจะนุ่มนวล เห็นอะไรก็โกรธยากขึ้น เมื่อใจคุณอ่อนโยนขึ้นคุณจะเกิดเมตตา จิตใจคุณจะสบายขึ้นค่ะ

หากคุณมองใครก็ว้าาา แย่ คนโน้นก็แย่คนนี้ก็แย่ คบไม่ไ้ด้สักคน คุณก็ต้องอยู่คนเดียวค่ะ แต่ว่านะตัวคุณเองก็แย่เหมือนกัน ก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกันอยู่ไม่ขาด เดี๋ยวเป็นนางเอกเดี๋ยวเป็นนางร้ายแล้วแต่เหตุการณ์ค่ะ เป็นกันอย่างนี้ทุกคน จึงต้องฝึกจิตได้หัดมองคนในแง่ดีไว้ค่ะ

หากเรามองไปก็เห็นแต่ความไม่ดีของเค้า ขณะนั้นใจเราเป็นโทสะแล้วค่ะ เราเอาตัวเราเองเป็นบรรทัดฐาน
เค้าก็เป็นของเค้า เราก็เป็นของเรา ไม่เหมือนกัน เราไม่ควรไปคาดหวังอะไรจากเค้า เราคิดแต่จะได้จากเค้า
ถ้าเค้าไม่ให้อย่างที่เราต้องการ เราก็เสียใจ แต่อย่าลืมว่าเค้าก็เป็นของเค้าอย่างที่เค้าเป็น ถ้าเค้าไม่ให้เราก็
ไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง ไปบังคับเว้าวอนขู่เข็ญให้ตาย มีแต่เค้าจะยิ่งทำตรงกันข้าม มันก็แปลกอย่างหนึ่งคือ
ถ้าผู้ชายหลงอีกฝ่ายหนึ่ง(คนใหม่)จะมองอีกฝ่ายหนึ่งมีแต่ข้อเสีย จะโกรธคนเก่า มันเหมือนคนละขั้วกันเลย
ก็ว่าได้ อีกฝ่ายขั้วบวก อีกฝ่ายขั้วลบ

หากคุณมีความดี รักษาความดีไว้ทำความดีเข้าไว้
อย่าไปคิดอะไรมากค่ะ กุศลเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ธรรมะเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงจิตใจ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าธรรมะของพระพุทธองค์อีกแล้วค่ะ :b8:

:b47: :b47: :b47:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:


:b8: ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
:b20: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะคุณJIT TREEคนงาม


โดย คณะสหายธรรม
ครองใจคนได้อย่างไร


ถาม การครองใจคนนั้นทำอย่างไร

ตอบ การครองใจคนนั้น พระพุทธเจ้าทรงวางหลักธรรมในการครองใจคนไว้ ๔ ประการ คือ ๑. ทาน ๒. ปิยวาจา ๓. อัตถจริยา ๔. สมานัตตตา ขออธิบายเพิ่มเติมให้ทราบดังนี้

ข้อ ๑ ทาน หมายถึงการให้ การแบ่งปันของที่เรามีแก่ผู้อื่น เป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีน้ำใจแก่ผู้อื่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ เพราะฉะนั้น การให้จึงเป็นการผูกใจคนอื่นได้ประการหนึ่ง แม้เมื่อมีใครทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราเจ็บใจเป็นต้น เราก็ไม่โกรธตอบ แต่จะให้อภัยเขา เขาก็อาจจะกลับมาดีต่อเรา รักเราก็ได้

ข้อ ๒ ปิยวาจา การกล่าววาจาอ่อนหวาน ไพเราะหู ไม่ระคายหู ใครๆ ก็ชอบใจ เต็มใจที่จะฟัง ถ้าเราพูดจาหยาบคาย แสลงหูคนอื่น ใครเขาจะอยากได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น วาจาที่สุภาพ อ่อนโยน อ่อนหวานจึงสามารถผูกใจบุคคลอื่นไว้ได้อีกประการหนึ่ง

ข้อ ๓ อัตถจริยา การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เช่นตักเตือนไม่ให้เขาทำความชั่ว ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาทำความดี เป็นต้น

ข้อ ๔ สมานัตตตา ความมีตนเสมอกับเขา คือเขาสุขก็สุขด้วย ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย หรือเวลาตกต่ำก็ไม่ซ้ำเติม เคยทำตัวอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ดูถูกดูหมิ่นให้เขาเสียใจ ในข้อนี้พูดง่ายๆ ก็คือวางตัวสม่ำเสมอนั่นเอง

ธรรม ๔ ข้อนี้ ท่านเรียกสังคหวัตถุ ๔ เพราะเป็นธรรมที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันไว้ จัดเป็นธรรมที่สามารถครองใจคนหรือผูกใจคนไว้ได้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2013, 15:04
โพสต์: 30

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:


:b8: ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
:b20: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะคุณJIT TREEคนงาม


โดย คณะสหายธรรม
ครองใจคนได้อย่างไร


ถาม การครองใจคนนั้นทำอย่างไร

ตอบ การครองใจคนนั้น พระพุทธเจ้าทรงวางหลักธรรมในการครองใจคนไว้ ๔ ประการ คือ ๑. ทาน ๒. ปิยวาจา ๓. อัตถจริยา ๔. สมานัตตตา ขออธิบายเพิ่มเติมให้ทราบดังนี้

ข้อ ๑ ทาน หมายถึงการให้ การแบ่งปันของที่เรามีแก่ผู้อื่น เป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีน้ำใจแก่ผู้อื่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ เพราะฉะนั้น การให้จึงเป็นการผูกใจคนอื่นได้ประการหนึ่ง แม้เมื่อมีใครทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราเจ็บใจเป็นต้น เราก็ไม่โกรธตอบ แต่จะให้อภัยเขา เขาก็อาจจะกลับมาดีต่อเรา รักเราก็ได้

ข้อ ๒ ปิยวาจา การกล่าววาจาอ่อนหวาน ไพเราะหู ไม่ระคายหู ใครๆ ก็ชอบใจ เต็มใจที่จะฟัง ถ้าเราพูดจาหยาบคาย แสลงหูคนอื่น ใครเขาจะอยากได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น วาจาที่สุภาพ อ่อนโยน อ่อนหวานจึงสามารถผูกใจบุคคลอื่นไว้ได้อีกประการหนึ่ง

ข้อ ๓ อัตถจริยา การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เช่นตักเตือนไม่ให้เขาทำความชั่ว ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาทำความดี เป็นต้น

ข้อ ๔ สมานัตตตา ความมีตนเสมอกับเขา คือเขาสุขก็สุขด้วย ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย หรือเวลาตกต่ำก็ไม่ซ้ำเติม เคยทำตัวอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ดูถูกดูหมิ่นให้เขาเสียใจ ในข้อนี้พูดง่ายๆ ก็คือวางตัวสม่ำเสมอนั่นเอง

ธรรม ๔ ข้อนี้ ท่านเรียกสังคหวัตถุ ๔ เพราะเป็นธรรมที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันไว้ จัดเป็นธรรมที่สามารถครองใจคนหรือผูกใจคนไว้ได้

:b8: :b8: :b8:


ชอบจังค่ะธรรมครองใจ เรามีสิ่งเหล่านี้ให้สามีแต่สามีทำตรงกันข้ามกับเราหมด พูดจานิ่มหู อภัยทุกอย่าง แบ่งปัน ตักเตือนให้เห็นทางที่ถูกตามครรลองครองธรรม แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รึจะเป็นเพราะหมดกรรมกันแล้วหว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


Pathita เขียน:
SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:



ชอบจังค่ะธรรมครองใจ เรามีสิ่งเหล่านี้ให้สามีแต่สามีทำตรงกันข้ามกับเราหมด พูดจานิ่มหู อภัยทุกอย่าง แบ่งปัน ตักเตือนให้เห็นทางที่ถูกตามครรลองครองธรรม แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รึจะเป็นเพราะหมดกรรมกันแล้วหว่า


:b47: :b47: :b47:


อีกข้อหนึ่งก็ต้องบอกว่า เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเราค่ะ :b4:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 15:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2013, 15:04
โพสต์: 30

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
Pathita เขียน:
SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:



ชอบจังค่ะธรรมครองใจ เรามีสิ่งเหล่านี้ให้สามีแต่สามีทำตรงกันข้ามกับเราหมด พูดจานิ่มหู อภัยทุกอย่าง แบ่งปัน ตักเตือนให้เห็นทางที่ถูกตามครรลองครองธรรม แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รึจะเป็นเพราะหมดกรรมกันแล้วหว่า


:b47: :b47: :b47:


อีกข้อหนึ่งก็ต้องบอกว่า เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเราค่ะ :b4:


:b17: "เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเรา". คิดอย่างนี้ซิเนอะถึงจะมีความสุข หรืออีกทางคือคนไม่ดีหลุดพ้นไปจากชีวิต เพื่อที่คนดีจะได้เข้ามา :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 18:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอ้ว คุณพระ!!! บร๊ะ
แสดงว่าอิฉันก็มีบุญเหมือนกันนะเนี่ย โดนเขี่ยทิ้งไปเยอะ เพื่อวันข้างหน้าเขี่ยให้หนักขึ้นกว่าเดิม
เพื่อเจอคนที่ดีกว่า Kiss Kiss

เป็นบุญของอิฉันจริงๆ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเลยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8:

เนื้อคู่ต่อให้รอสักอายุ70-80ปี ยังไงก็ไม่แคล้วกันค่ะ. เนอะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร