ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=36042 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 27 ธ.ค. 2010, 15:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
แสงแห่งปัญญา มีอานุภาพใหญ่ยิ่ง ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา ปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา ดังนั้น ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ นั่นคือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้ ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่ ความทุกข์ทั้งหลาย หลีกไกลได้ด้วยปัญญา ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือ ปัญญามีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเอง เพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลก ให้โลดแล่นเข้าประชิดติดใจ จึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับการควบคุมความคิด ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะความเกิดนำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจและความไม่ประจวบด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวง ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้น เพราะเป็นผลตามมาของความเกิดอย่างแน่นอน ความทุกข์ทางกาย...หนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น ส่วนความทุกข์ทางใจ...หนีได้ด้วยความคิด อานุภาพแห่งแสงของปัญญา สติต้องรู้ก่อนว่า กิเลส คือ โลภะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะ ตัวใดกำลังเข้าประชิดจิตใจ เมื่อมีสติรู้..ก็ให้ใช้ “ปัญญาวุธ” คือ ใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ด้วยความคิดง่าย ๆ ว่า กิเลสเป็นความเศร้าหมอง กิเลสไม่ว่าความโลภ ความโกรธ หรือความหลง จะนำความมืดมัวเศร้าหมองให้เกิดแก่จิตใจ ยังให้เป็นทุกข์เป็นร้อนไปร้อยแปดประการ เมื่อปรารถนาความไม่เป็นทุกข์ ต้องไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ต้องไม่โลภ ต้องไม่โกรธ ต้องไม่หลง ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัวเสมอความไม่สบายใจ ไม่มีอะไรเลยที่มีค่าเสมอกับจิตใจ สมบัติทั้งปวงที่จะเกิดแต่ความโลภ ก็มีค่าไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะเกิดแก่จิตใจ จึงความรักษาใจไม่ให้เสียหาย ไม่ให้เศร้าหมอง ด้วยความบดบังของกิเลส ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา สามารถหยุดยั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง มิให้เคลื่อนตัวเข้าห้อมล้อมจิตใจได้จริง ดังเช่นเมื่อจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าไม่ได้รับความรักความสนใจจากคนนั้นคนนี้ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจะสิ้นสุดได้ ถ้าจะคิดได้ด้วยปัญญา ใจของทุกคนเปรียบดังบ้านของเขา บ้านของใครใครก็มีสิทธิที่จะต้อนรับใครอย่างใดก็ได้ ตรงไหนของบ้านก็ได้ หรือแม้แต่จะไม่เปิดประตูรับให้เข้าบ้านก็ยังได้ ความสำคัญอยู่ที่ตัวเรา ต้องวางตัวให้เหมาะสมกับสถานที่ที่เจ้าของบ้านต้อนรับ เขาให้ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ก็ยืนให้เรียบร้อยสงบอยู่ อย่าให้เป็นเป้าสายตาผู้ผ่านไปมา อย่าให้เขารู้สึกว่าเราเป็นตัวตลก เต้นเร่า ๆ ต่อว่าต่อขานการต้อนรับของเจ้าของบ้าน เรียกร้องจะเข้าบ้านเขาให้ได้ หรือถ้าเขารับเราที่ห้องรับแขก เราก็ต้องวางตัวให้สมกับที่เขาต้อนรับเรา หรือถ้าเขาต้อนรับเราถึงห้องนอน เราก็ต้องปฏิบัติให้ควรแก่ความสนิทสนม หยิบจับช่วยเขาจัดห้องให้เรียบร้อยได้ ก็ทำให้เกิดประโยชน์แก่เขาผู้ถือเราเป็นเพื่อนสนิท ความคิดที่ต้องคิดก็คือ บ้านเขา...เขาจะรับเราตรงไหน เราก็ต้องรักษากิริยามารยาทอยู่ตรงนั้นให้งดงามเหมาะสม ใจเขารับเราอย่างไรก็เช่นเดียวกัน เป็นสิทธิของเขา ถ้าคิดไปให้น้อยใจ เราก็ทุกข์เอง หาสมควรไม่ ความไกลกิเลสได้ พาให้ไกลทุกข์ได้ ชีวิตนี้ของทุกคนน้อยนัก น้อยจริง ๆ และวาระสุดท้ายจะมาถึงวินาทีใดวินาทีหนึ่งหารู้ไม่ จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง คิดให้ไกลกิเลสให้ได้จริง ๆ เถิด เพราะความไกลกิเลสเท่านั้นที่จะพาให้ไกลทุกข์ได้ ความคิดนั้นแก้กิเลสได้ ดับกิเลสได้ คือ ทำที่ร้อนให้เย็นได้ ความสำคัญอยู่ที่ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูกเรื่อง ถูกจริตนิสัยของตน ความสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีความจริงจังที่จะดับความร้อนในใจตน เมตตา : เครื่องดับความร้อนของกิเลส ความโกรธ เป็นความร้อนที่รู้สึกได้ง่าย เพราะเป็นความรู้สึกที่รุนแรงและเด่ชัด ยิ่งกว่าความรู้สึกรักหลง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า เมตตาเป็นเครื่องดับความโกรธได้ และเมตตาก็หาใช่การคิดหรือการพูดว่า “จงเป็นสุดเป็นสุขเถิด” เท่านั้นไม่ ผู้ปรารถนาจะเป็นผู้มีเมตตา เห็นใจในความทุกข์ของเพื่อร่วมทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่าเห็นหน้าใครก็จะเห็นความทุกข์ของเขาเสมอไป แม้เป็นเพียงคิดเอาเท่านั้นว่าคนนั้นคนนี้อาจจะกำลังมีทุกข์เช่นที่ตนเองเคยมี อันการคิดถึงใจตนเมื่อยามทุกข์ร้อนนั้น เป็นวิธีที่จะทำให้เข้าใจซาบซึ้งในความทุกข์ของผู้อื่นได้ เราทุกข์เป็นอย่างไร คนอื่นทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ปรารถนาจะได้รับความเมตตาเห็นใจ ช่วยคลายทุกข์ให้ด้วยกันทุกคน บางคนโชคดี ได้พบด้วยตนเองว่า ผู้ที่ดูมีความสุขนั้น เมื่อหมดความอดกลั้นระบายความทุกข์ออกมา ก็จะเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อว่ากิริยาท่าทีของเขา สามารถพรางความเร่าร้อนในหัวอกของเขาไว้ได้มิดชิดเหลือเกิน จนเมื่อพบเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาเป็นผู้หนึ่งซึ่งกำลังมีความทุกข์นักหนา ต้องการความเมตตาเห็นใจอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมโลกของเราทั้งนั้นเป็นเช่นนี้ อย่าคิดว่าคนอื่นมีความสุข ตนเองเท่านั้นที่มีความทุกข์ ความคิดเช่นนั้นผิดแน่นอน เมตตาก็ไม่เกิดจริงเมื่อมีความคิดเช่นนั้น จะเกิดก็แต่เพียงปากว่าเท่านั้น นั่นน่าเสียดายนัก ตั้งใจคิดให้เห็นถึงความทุกข์ของผู้อื่น การเฝ้าแต่คิดว่า ทุกคนมีความทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ ภายนอกของเขาดูเป็นสุข ก็น่าสงสัยว่าจะมีเป็นการคิดในแง่ร้ายจนเกินไปหรือ ผู้ช่างคิดเช่นนี้จะมีเป็นคนหาความสุขใจไม่ได้หรือ จะมีเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งชีวิตจิตใจทุกเวลานาทีหรือ ที่จริงก็น่าสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ความจริงนั้นอยู่ที่ว่า ผู้ตั้งใจคิดให้เห็นความทุกข์ของผู้อื่นนั้น เป็นผู้มีเมตตาจิตเป็นพื้น มุ่งคิดเช่นนั้นเพื่ออบรมเมตตาให้ยิ่งขึ้น ดังนั้นผลที่จะเกิดจากการเห็นความทุกข์ของผู้อื่น จึงจักไม่เป็นอื่น นอกจากเป็นความเมตตาที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับเท่านั้น ดับความโกรธ...ด้วยพลังแห่งความเมตตา เมื่อใจกำลังจะร้อนด้วยความโกรธ เพราะการกระทำคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง ผู้มุ่งมั่นอบรมเมตตาให้เกิดในใจตน จะสามารถหยุดความโกรธได้อย่างไม่ยากจนเกินไปนัก เพียงด้วยความมีสติรู้ว่า กำลังโกรธเขาแล้ว เพราะเขาพูดเขาทำที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง เมื่อสติรู้อารมณ์ตนเช่นนั้น ผู้มั่นคงอยู่ในการอบรมเมตตา ก็ดำเนินวิธีดับความโกรธต่อไป ด้วยการตำหนิหรือเยาะเย้ยตัวเองว่า นี่หรือคนมีธรรมะ คนมีเมตตา เพียงเท่านี้ก็เมตตาไม่พอแล้ว เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ ความคิดเช่นนี้จะดับความโกรธได้จริง ในเวลาไม่เนิ่นช้า ทุกชีวิต ล้วนเป็นไปตามกรรม คนไม่ได้เกิดมาเสมอกันทุกคนไป มีเกิดในตระกูลสูง เกิดในตระกูลต่ำ เกิดในเครื่องแวดล้อมดี เกิดในเครื่องแวดล้อมไม่ดี ทั้งนี้ก็เพราะเป็นไปตามกรรม กรรมในอดีตชาติของผู้ใดดี ผู้นั้นก็ได้เกิดดีในภพชาตินี้ การที่จะให้กิริยาวาจาใจของทุกคนเหมือนกันหมด...จึงเป็นไปไม่ได้ ต่างก็เป็นไปตามกรรมของตน ความคิดให้ถูกต้องจะทำให้คลายความขัดเคืองใจ เมื่อได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังกิริยาท่าทาง หรือถ้อยคำน้ำเสียงที่ไม่สุภาพเรียบร้อย แต่รุนแรงหยาบคาย คนเราเกิดมาไม่เสมอกันได้รับการอบรมมาแตกต่างกัน เป็นความบกพร่องของแต่ละคน แต่ละอดีตชาติ ที่ประมาทในการทำกรรม ไม่ทำกรรมดี...จึงเลือกเกิดให้ดีในภพชาตินี้ไม่ได้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงบังเกิดแก่ ทุกๆ ท่าน ตลอดทุกราตรีกาล สวัสดีปีใหม่ครับ |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 27 ธ.ค. 2010, 19:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
อานุภาพแห่งความดี โดยพระไพศาล วิสาโล การทำความดี หมั่นสร้างบุญกุศล ไม่เพียงช่วยให้มีชีวิตทีผาสุกเท่านั้น หากยังอำนวยให้มีความสุขในเวลาละโลกนี้ไป ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต” คนเป็นอันมากกลัวตายก็เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อตายแล้วจะไปไหนจะไปทุคติหรือไม่ แต่ความกลัวเช่นนี้จะไม่เกิดกับผู้ที่มั่นใจในความดีที่ทำมาทั้งชีวิต เพราะรู้ดีว่าบุญกุศลที่ได้ทำนั้นย่อมส่งผลให้ไปสู่สุคติ ในชาดกตอนหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้กล่าวอย่างองอาจว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความชั่วซึ่งทำไว้ ณ ที่ไหนๆ เลย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง” อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมั่นใจในความดีของตนถึงขนาดนั้นเห็นจะมีไม่มาก คนส่วนใหญ่ย่อมมีบ้างที่พลั้งเผลอทำความชั่วหรือทำสิ่งที่ไม่สมควร และหากเป็นคนไกลวัด ใจไม่แนบแน่นกับธรรมะ ก็ย่อมหวั่นไหวเมื่อความตายใกล้เข้ามา ส่วนหนึ่งกลัวว่าจะไปอบาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่กลัวว่าจะต้องพลัดพรากจากทุกอย่างที่รักและหวงแหน รวมทั้งชีวิตนี้ ความกลัวดังกล่าวทำให้ผู้คนเป็นอันมากไม่สามารถตายอย่างสงบได้ มิพักต้องเอ่ยถึงความเจ็บปวดทางกายและความทุกข์ทางใจที่รุมเร้าในยามใกล้ตาย ทำให้จิตใจกระสับกระส่ายและทุรนทุรายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ในยามนี้สิ่งหนึ่งที่จะช่วยน้อมใจให้สงบจนสิ้นลมก็คือ การระลึกถึงสิ่งดีงามอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ สำหรับชาวพุทธ ได้แก่ พระรัตนตรัย หรือ พระโพธิสัตว์ เป็นต้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งเหล่านี้ หากผู้ใดศรัทธานับถืออยู่ก่อนแล้ว เมื่อระลึกถึงคราใดย่อมเกิดความอบอุ่นใจและมั่นใจ ว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจนปลอดภัย ความอบอุ่นและมั่นใจดังกล่าวเป็นโอสถอย่างดีที่เยียวยาจิตใจให้หายทุกข์ บรรเทาความกระสับกระส่ายให้คลายไป ส่วนผู้ไกลวัด ไม่รู้สึกแนบแน่นกับพระรัตนตรัย ก็ใช่ว่าจะหมดโอกาสพบกับความสงบใจในวาระสุดท้าย เพราะอย่างน้อยยังมีสิ่งดีงามอีกอย่างหนึ่งที่ควรแก่การระลึกนึกถึง นั่นคือ ความดีที่ตนได้ทำ มนุษย์ทุกคนย่อมเคยกระทำความดีมาแล้วไม่มากก็น้อย ความดีเหล่านี้ไม่เคยสูญเปล่า ทั้งยังสามารถช่วยเหลือเราได้ในยามใกล้ตาย อย่างไรก็ตาม เมื่อวาระสุดท้ายใกล้มาถึง ปุถุชนมักถูกบีบคั้นด้วยทุกขเวทนา อีกทั้งถูกครอบงำด้วยความกลัวเพราะอารมณ์อกุศลต่างๆ จนไม่มีสติมากพอที่จะนึกถึงความดีที่ตนเคยทำ จึงจำเป็นที่ญาติมิตรจะช่วยน้อมใจเข้าให้ระลึกถึงความดีงามเหล่านี้ การกระทำดังกล่าวสำคัญไม่น้อยไปกว่าการบรรเทาความเจ็บปวดทางกายหรือการรักษาด้วยยา ชายชราผู้หนึ่งป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ในช่วงท้ายของชีวิตเขามีอาการทรุดลงบ่อยครั้ง ทุกครั้งลูกหลานต้องรีบพาไปโรงพยาบาลเมื่ออาการทุเลาจึงพากลับบ้าน สถานการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายเดือน ทั้งผู้ป่วยและลูกหลานมีความทุกข์ถ้วนหน้า กระทั่งเดือนสุดท้ายมีหลานคนหนึ่งได้ไปเฝ้าไข้ผู้ป่วยแทบทุกวัน หลานได้ชวนผู้ป่วยคุยเรื่องชีวิตในอดีต เขาจึงเล่าเรื่องความภาคภูมิใจในวัยหนุ่ม อาทิ การได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และการรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หลานสังเกตว่า ตลอดเวลาที่คุยเรื่องเหล่านี้ ผู้ป่วยมีแววตาเป็นประกาย สีหน้าเบิกบาน และดูสงบมากขึ้น ยิ่งเมื่อได้คุยกันเรื่องแก่นธรรมะของพุทธศาสนาในตอนท้ายๆ ผู้ป่วยก็ปล่อยวางได้มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ป่วยก็เรียกลูกหลานมาสั่งเสีย และจากไปอย่างสงบด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่น่าแปลกก็คือ ตลอดหนึ่งเดือนเต็มที่หลานมานั่งคุยกับผู้ป่วย เขาไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว การเตือนใจให้ผู้ป่วยนึกถึงความดีของตนนั้น สามารถทำได้แม้ในยามที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะโคม่าหรือไม่รู้สึกตัว หญิงชราผู้หนึ่งใกล้จะสิ้นลมแล้ว ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ลูกๆอยากให้แม่ถวายสังฆทานเป็นครั้งสุดท้าย จึงไปนิมนต์พระรูปหนึ่ง ซึ่งบังเอิญมาอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ของท่านที่อาพาธในห้องใกล้ๆ กัน เมื่อท่านรับสังฆทานเสร็จก็สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระตุกไม่หยุด สัญญาณชีพบนจอมอนิเตอร์พุ่งขึ้นลงเร็วมาก ท่านอยากช่วยให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ดังนั้นเมื่อทราบจากลูกหลานว่าผู้ป่วยชอบใส่บาตรวันพระ และไปกราบพระประธานที่ วัดไตรมิตรฯ ท่านจึงบอกผู้ป่วยว่า โยม วันนี้เป็นวันพระ ให้คดข้าวใส่ขัน เตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม จะไปใส่บาตรกัน พร้อมแล้วก็ให้ไปที่หน้าบ้าน ทีนี้ท่านถามผู้ป่วยว่า ซ้ายมือมีพระไหมปรากฏว่าผู้ป่วยส่ายหน้าท่านถามต่อว่า ขวามือมีพระไหม ทีนี้ผู้ป่วยพยักหน้าพร้อมกับพนมมือ แล้วท่านก็พูดนำผู้ป่วยให้ใส่บาตรพระทีละรูป จนครบ ๙ รูป ถึงตอนนี้ผู้ป่วยมีอาการสงบอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นท่านก็พูดนำผู้ป่วย ให้ไปกราบหลวงพ่อทอง ที่วัดไตรมิตรฯ พร้อมกับนั่งภาวนาหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ระหว่างที่พระนำจิต หญิงชราไม่มีอาการกระตุกอีกเลย ส่วนสัญญาณชีพก็ค่อยๆ ลดลง ในที่สุดก็แบนราบ ลูกๆ ดีใจมากที่แม่จากไปอย่างสงบ ความดีหรือบุญกุศลนั้น นอกจากจะนำความแช่มชื่นเบิกบานมาสู่จิตใจในขณะกระทำแล้ว ยังอำนวยให้เกิดความอิ่มเอิบปลาบปลื้มใจเมื่อระลึกนึกถึง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยามใกล้ตาย |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 28 ธ.ค. 2010, 22:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนปรารถนาความสุข มวลมนุษยชาติต่างก็ปรารถนาให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงค้นพบว่า วิธีการที่จะทำให้โลกเกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น จะต้องให้มนุษย์ทุกคนได้เข้าถึงสันติสุขภายใน คือเข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เมื่อเข้าถึงแล้ว จะเปลี่ยนจากโลกแห่งความสับสนวุ่นวายให้กลาบเป็นโลกแห่งสันติสุข เพราะพระธรรมกายเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขทั้งมวล เพราะฉะนั้นทุกคนควรจะมุ่งแสวงหาพระธรรมกาย ซึ่งเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก และเป็นแหล่งกำเนิดแห่งสันติสุขอย่างแท้จริง การที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายในได้นั้นจะต้องฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง แต่วิธีที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่งนั้นมีอยู่หลายวิธี ที่มีบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ๔๐ วิธี นอกจากนี้ก็มีอีกมากมาย แต่จะเป็นวิธีใดก็ตาม มีวัตถุประสงค์ฝึกให้ใจหยุด พอใจหยุดนั่นแหละถูกตัวสมถะ สมถะ แปลว่า หยุด แปลว่า นิ่ง แปลว่า สงบ แปลว่า ระงับ คือฝึกใจให้หยุดนิ่ง หยุดนิ่งได้นั่นแหละ เป็นสมถะ และหลังจากนั้นก็หยุดในหยุด เข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นไปเรื่อยๆ พอหยุดถูกส่วนเข้าความสว่างเกิด พอความสว่างเกิดก็จะเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว คือดวงธรรมและกายภายใน พอสว่างก็เห็น พอเห็นก็รู้แจ้ง การที่จะเข้าถึงธรรมกายได้นั้น ต้องหยุดอย่างเดียว แต่วิธีการฝึกให้หยุดมีอยู่หลายวิธี และทุกวิธีนั้น จะต้องใช้หลักการเดียวกันคือสบาย ฝึกใจให้สบาย ทำใจให้สบายๆ ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ถ้า ใจทิ้งทุกสิ่งก็จะหยุดนิ่งอยู่ครงกลาง กลับเข้ามาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมที่ตั้งของใจที่แท้จริงนั้นอยู่ที่กลางกาย แต่ปัจจุบันนี้ ใจได้กระเจิงไปด้วยความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น เพราะความอยากนี่แหละ อยากแท้ๆ ทำให้แย่อยู่ทุกวัน ให้วุ่นวายกันอยู่ ใจก็กระเจิงไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กระเจิดกระเจิงกันไปหลายๆ ทาง ไปติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสสัมผัสอะไรต่างๆ เพลิดเพลินกันไปอยู่อย่างนั้น จึงไม่พบความสุขที่แท้จริง วนๆ เวียนๆ เป็นชีวิตที่สับสนกันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ ใจนำกลับมาสู่ที่ตั้งที่ถูกต้อง ที่เที่ยงแท้ถาวรแล้ว ก็จะเข้าถึงกายธรรมได้ ซึ่งการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายนี้ จะต้องใช้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ต้องปฏิบัติกันด้วยตัวเอง ทำความเพียรให้กลั่นกล้า ปฏิบัติต่อเนื่องอย่างถูกวิธีต้องทำอย่างนี้ จึงจะเข้าถึงได้ เพราะ ฉะนั้นถ้าหากมีใครเขาได้กล่าวว่าธรรมกายสามารถอัดกันได้ คนอื่นสามารถบันดาลให้ใครเข้าถึงได้ เป็นการกล่าวตู่ เพราะความเป็นจริงนั้น ไม่ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อ คุณยายอาจารย์ หรือใครก็ตาม เป็นแต่เพียงผู้บอก ผู้แนะนำวิธีการว่าจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะเข้าถึงแล้วก็คอยประคับประคอง คอยให้กำลังใจในยามที่ท้อ เพราะว่าปฏิบัติไม่ถูกวิธีบ้าง ตั้งใจเกินไปบ้าง ย่อหย่อนไปบ้าง ก็คอยประคับประคอง คอยให้กำลังใจยามที่ติดขัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์ภายในต่างๆ ก็จะช่วยแก้ไขแนะนำในฐานะที่ได้เดินทางผ่านในเส้นทางนี้มาก่อน ก็อาศัยประสบการณ์ที่ได้ผ่านมา แนะนำกันไป แบ่งปันความรู้กันไป ส่วนการปฏิบัตินั้น ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ถ้าเรารักที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง อยากจะพ้นทุกข์ทรมานจากภพชาติ จากการเวียนว่ายตายเกิด เราก็ต้องทำของเราเอง อยากจะรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราหรือสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลาย เราก็จะต้องฝึกฝน ศึกษาด้วยตัวเราเอง เพราะฉะนั้นใครที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า มีการอัดธรรมกายนั้นถือเป็นการกล่าวตู่ เป็นการกล่าวเท็จ ความจริงไม่ได้เป็นกันอย่างนั้น ถ้าสามารถอัดกันได้อย่างนั้น หลวงพ่อจะอัดให้ทั้งโลกเลย ให้เข้าถึงกันทุกคนทั้งโลกทีเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการปฏิบัติ พอมาถึงก็อัดธรรมกายให้เข้าถึงกันไปเลย ก็จบกันไป ต่างคนต่างก็ได้ กลับบ้านไปยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก็เพราะว่าตนเองต้องปฏิบัติเอง เข้าถึงเอง หลวงพ่อได้แต่เป็นผู้ชี้ทาง คอยแนะนำ ติดขัดปัญหาตรงไหนก็แก้ไขกันไป ในยามท้อก็ให้กำลังใจประคับประคองกันไปอย่างนี้ จนกว่าจะถึงฝั่งของธรรมกาย อตฺ ตา หิ อตฺตโน นาโถ นี้เป็นธรรมที่เป็นจริง เราจะต้องพึ่งตัวของเราเอง อยากได้ความบริสุทธิ์ต้องทำด้วยตัวเอง และต้องทำให้ถูกวิธี จะไปอาบน้ำอาบท่าแล้วชำระล้างร่างกายให้สะอาด แล้วพลอยเข้าใจผิดไปว่า น้ำนั้นชำระใจให้สะอาดไปด้วย ก็ให้แก้ไขความเข้าใจใหม่ เพราะว่า วิธีที่ถูกในการชำระมลทินของใจ ก็ต้องชำระด้วยใจ ด้วยวิธีสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นมาในใจ วิธีในการทำให้ใจบริสุทธิ์นั้น มีอยู่ตั้งหลายวิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ คือทางมาแห่งบุญ ทางมาแห่งความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่าง ถ้าย่นย่อลงมาก็เหลือบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ย่อกว่านั้นลงมาทางลัดที่สุดก็คือทำใจหยุดนิ่ง ที่เรากำลังจะทำอยู่นี้ ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง นี่คือวิธีที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ใช่ขึ้นกับสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ศรัทธา เป็นทางมาแห่งความดีทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สทฺธีธ วตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฐํศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลกนี้ สทฺธา สาธุ ปติฏฐิตาเมื่อศรัทธาแน่วแน่แล้วย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ สทฺธาย ตรติ โอฆํบุคคลจะข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ความศรัทธา เป็นทางมาแห่งความดีทั้งหลาย ผู้ใดมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์อันประเสริฐ ถ้าหากว่ามีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ไม่ขัดสน จะปรารถนาสิ่งใด ก็จะสำเร็จประโยชน์ทุกเรื่อง จะเป็นผู้ที่เจริญอยู่ในกุศลธรรม ย่อมสามารถข้ามพ้นห้วงน้ำ คือกิเลสอาสวะทั้งหลายไปสู่ฝั่งพระนิพพานได้ เหมือนอย่างปุรพันธะอุบาสก หลังจากที่ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว พญามารได้เนรมิตกายให้เหมือนกับพระบรมศาสดา จากนั้นก็ได้ไปยืนใกล้ประตูเรือนของปุรพันธะอุบาสก ส่วนปุรพันธะอุบาสก เมื่อเห็นพระทศพลเสด็จกลับมาอีก จึงคิดว่า ธรรมดาการเสด็จไปอย่างไม่แน่นอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี เหตุไรหนอวันนี้พระองค์จึงเสด็จกลับมาอีก ดังนี้แล้วจึงรีบเข้าไปกราบทูลถามว่า เพราะเหตุใดพระองค์จึงเสด็จกลับมาอีก มารก็กล่าวว่า ดูก่อน ปุรพันธะ เราเมื่อแสดงธรรมไม่ทันได้พิจารณา จึงแสดงธรรมแก่เธอขาดไปข้อหนึ่ง ครั้งนั้น ปุรพันธะอุบาสกคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่ง เพราะธรรมดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมมีวาจาเป็นหนึ่ง ไม่ตรัสวาจาผิดพลาด จึงเกิดความเฉลียวใจคิดใคร่ครวญว่า มารทั้งหลายย่อมเป็นข้าศึกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลผู้นี้จะต้องเป็นมารเป็นแน่ จึงได้ถามกลับไปว่า ท่านเป็นมารหรือ ถ้อยคำที่อุบาสกผู้เป็นอริยสาวกกล่าวนั้น เป็นเสมือนหนึ่งขวานอันคมกริบฟาดฟันมาร เพราะเหตุนั้นมารจึงดำรงอยู่ในภาวะของตนไม่ได้ จึงกล่าวว่า ใช่แล้ว ปุรพันธะ เราคือมาร ปุรพันธะอุบาสกจึงถามว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงมาที่นี่ มารก็ตอบว่าเรามาเพื่อทำศรัทธาของท่านให้หวั่นไหว อุบาสกจึงชี้นิ้วพร้อมกับกล่าวว่า เจ้ามารผู้มีใจ อำมหิต อย่าว่าแต่เจ้าผู้เดียวเลย แม้พวกมารเช่นเจ้าตั้งร้อยตั้งพัน ก็ไม่อาจทำศรัทธาของเราให้หวั่นไหวได้ เจ้าจงไปให้พ้นประตูเรือนของเรา เขาจึงได้ขับไล่มารออกไป เมื่อมารฟังคำของปุรพันธะอุบาสกแล้ว ก็ถอยห่างออกไป ไม่อาจจะพูดจาโต้ตอบอะไร จึงได้อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง ส่วนปรพันธะอุบาสก เมื่อถึงเวลาเย็นก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาและกราบทูลเรื่องราวที่มารได้ กระทำดังกล่าวนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นทรงสดับเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงทรงสรรเสริญอุบาสก และได้สถาปนาปุรพันธะอุบาสกไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าเหล่าอุบาสก ผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ไม่หวั่นไหว ดังนั้นอุบาสกที่แท้จริง หรือที่เรียกว่าอุบาสกแก้ว ต้องเป็นผู้ไม่หวั่นไหวอย่างนี้นะ มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ซึ่งข้อนี้เป็นคุณสมบัติประการแรกของอุบาสกในพระพุทธศาสนา คือจะต้องไม่คลอนแคลนในคำสอนของพระบรมศาสดา รู้จักใช้สติและปัญญาพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่งให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจทำ อะไรลงไป เพราะถ้าหากไม่ใคร่ครวญให้ดีก่อนทำแล้ว อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายตามมาภายหลังได้ การที่จะเป็นอุบาสกที่สมบูรณ์ตามพุทธประสงค์นั้น นอกจากจะเป็นผู้มีความศรัทธามั่นในพระรัตนตรัยแล้วยังจะต้องเป็นผู้มีศีล มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มีศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่วสารทิศ ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัยที่แท้จริง จะต้องมีจิตใจหนักแน่น มั่นคงในการสร้างความดี ไม่เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เมื่อมีเรื่องราวเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทั้งดีหรือไม่ดีก็ตาม ต้องทำใจให้เป็นกลางๆ ไม่มีอคติ ไม่ยินดียินร้ายหรือหวั่นไหวไปในโลกธรรมทั้งแปด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาของโลก เราเกิดมาสร้างบารมี ก็ต้องสร้างบารมีกันต่อไป หมั่นสั่งสมบุญในเนื้อนาบุญอันเลิศ พระธรรมกายคือเนื้อนาบุญ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นฆราวาสหรือนักบวช ถ้าหากได้เข้า ถึงธรรมกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย ก็ได้ชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญชั้นยี่ยมในเขตบุญพระพุทธศาสนา แหล่งบุญที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีอยู่ในพระพุทธศาสนา ถ้าเราแสวงหาบุญเขตนอกจากนี้ เราก็ได้บุญ แต่อาจจะได้ผลบุญไม่เต็มที่ เหมือนการหว่านพืชลงในนาดอน ย่อมได้ผลผลิตไม่เป็นที่น่าปลื้มใจ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้เราบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา แล้วก็ทำโดยพิจารณา เหมือนบุคคลผู้มีปัญญา หว่านพืชแม้น้อยลงในนาดี ก็ย่อมมีผลไพบูลย์ นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจ โอวาทพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 29 ธ.ค. 2010, 10:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
ความดีไม่มีวันตาย เถ้าแก่ฮง เมื่อคืนอากาศหนาวเย็นผิดปกติ นกกาบินออกจากรังไปหากินไปนานแล้ว ตะวันยามรุ่งก็ยังขมุกขมัวอยู่ แต่เถ้าแก่ฮงคนขยัน ก็ยังตื่นมาเปิดประตูร้านขายของชำเหมือนเคย กระถางต้นโป๊ยเซียน ต้นว่าน และม้านั่งหินหน้าร้าน ที่แกชอบออกมานั่งเล่นรับลมยามเย็นก็ยังอยู่ที่เดิมของมันตามปกติ แต่ทว่าภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีก 2 คน ที่ก้มเงยๆ เหนือร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าสีดำมอซอที่นอนคุดคู้ อยู่ใต้ม้าหินนั่นไม่ใช่เรื่องปกติ เถ้าแก่ฮงกระชับเสื้อหนาวให้เข้าที่ กระย่องกระแย่งเข้าไปมุงดูบ้าง ชายชราขยับร่างอุ้ยอ้ายเบียดคนที่มุงดูอยู่เข้าไปใกล้ๆ จนเห็นร่างหญิงชราผอมแห้ง แก้มตอบ ผมหงอกขาวโพลน เกรียนติดหนังศรีษะ ผิวตกกระซีดจนคล้ำเขียว สวมเพียงเสื้อบางๆ กับผ้าถุงปอนๆ อย่างชาวบ้าน ร่างคู้ งอเข้าหากัน มือเกร็งกำธนบัตร 10 บาทแน่นราวกับมันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แกมี "ไอ๋หย๋า" เสียงอุทานเบาๆ ที่หลุดออกจากปากเถ้าแก่ ไม่พ้นความสังเกตของนายร้อยเวรที่มาชันสูตรศพ "เถ้าแก่รู้จักผู้ตายเหรอครับ" "ม่ายน่อ แต่อั๊วจำได้ เมื่อคืนยังเห็นอีเป็นๆ อยู่เลย" "แกเป็นใครมาจากไหนรู้มั้ยครับ" ผู้หมวดเริ่มซักถาม "อั๊วก็ม่ายรู้ ม่ายช่ายคนแถวนี้ เมื่อคืนตอนดึกๆ อั๊วกำลังปิดร้านอยู่ อีมาเคาะประตูขอซื้อเสื้อหนาวสีลำๆ แต่มีตังค์แค่ 10 บาท อั๊วเลยม่ายล่ายขายให้ เช้ามาก็เห็งอีซี้เลี้ยวไอ๊หยา" เถ้าแก่ฮงร่ายยาว ก่อนจะอึ้งไป ผู้หมวดพยักหน้าหงึกๆ พยักหน้าบอกให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ยกศพขึ้นรถกะบะโกโรโกโสที่ฝากะบะข้างท้ายติดสติ๊กเกอร์สวยเก๋ว่า "รถนอน VIP" ไม่มีร่องรอยฆาตกรรมใดๆ ผู้ที่พบเห็นคงจะลงความเห็น อย่างไร้ข้อกังขาได้ทันทีว่าหญิงชราคงหนาวจนแข็งตายไปเอง และเจ้าหน้าที่ก็ต้องไปตามหาญาติต่อ เพราะในร่างไม่พบหลักฐานอื่นอีก ตลอดทั้งวัน เถ้าแก่ฮงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพของหญิงชราผมขาวที่มาอ้อนวอนขอซื้อเสื้อหนาวถูกๆ ที่แกโก่งราคาขายและถูกไล่ตะเพิดออกไป กับภาพใบหน้าคล้ำเขียว ของร่างที่สิ้นลมเพราะความหนาวเหน็บยังติดตาอยู่ไม่วาย แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของแกซักหน่อย แต่ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนขับไสไล่ส่งหญิงชรา ไปพบความตายอย่างเลือดเย็น ขณะกำลังงุ่นง่านอยู่นั้น เถ้าแก่ฮงเหลือบเห็นเสื้อกันหนาวสีดำที่หญิงชรามาร้องขอซื้อ แขวนอยู่ ผ้าเนื้อหยาบๆ ไม่น่าสบายแต่ก็คงจะให้ความอบอุ่น แก่หญิงอนาถาคนนี้ได้ อย่างน้อยแกก็อาจจะไม่ต้อง มานอนแข็งตายหน้าร้านของแกเมื่อเช้าวันนี้ เถ้าแก่ฮงตัดสินใจปิดร้านแต่วัน เอ่ยปากฝากบ้าน ให้ซิ้มร้านกาแฟข้างๆ ช่วยดูร้าน คว้าเสื้อกันหนาวสีดำใส่ถุงโชคดี ควบมอเตอร์ไซด์คู่ชีพไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งของมูลนิธิ ที่อยู่ห่างจากร้านของแกออกไปไม่กี่กิโลเมตร .. พยาบาลเวรทำหน้าแปลกๆ เอื้อมมือไปรับถุงกระดาษ ที่เถ้าแก่ฮงยื่นมาเพื่อบริจาคให้แก่ศพหญิงชราในโรงทึม พร้อมได้รับข่าวว่าตำรวจพบญาติของหญิงชรา ที่มาแจ้งความคนหายไว้และนัดจะมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลเย็นนี้ เกือบห้าทุ่มแล้ว เสียงเคาะประตูถี่ๆ ทำให้เถ้าแก่ฮงที่นั่งกระวนกระวายใจ รออยู่ค่อยยิ้มออกมาได้ ลูกสาวที่เรียนอยู่กร ุงเทพฯ โทรมาตอนบ่ายๆ บอกว่าจะกลับรถไฟขบวนดึก นี่คงเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง ถ้ามาถึงดึกกว่านี้อีกสักหน่อยคงไม่มีรถสองแถวเข้าอำเภอแล้ว "นึกว่าไม่ทันรถสองแถวแล้วนะเตี่ย" ลูกสาวเถ้าแก่ว่าพลางยกขวดเป๊ปซี่ซดแก้กระหาย "กลับมาทันก็ดีแล้ว นี่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ" "เรียบร้อยมาจากบนรถไฟแล้วหละ รถเสียเวลาตั้งนานแน่ะ" "มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้" เถ้าแก่ฮงลุกขึ้น "จ้ะ" ลูกสาวขยับตาม พลันนึกขึ้นได้ "เออเตี่ย หนูคงทำกระเป๋าสตางค์หล่นบนรถไฟแหละ มารู้ตัวตอนที่ กระเป๋ารถสองแถวมาเก็บค่าโดยสารน่ะ โชคดีเจอยายคนหนึ่ง แกช่วยออกค่ารถให้ ยังทักหนูเลยว่าเป็นลูกสาวเถ้าแก่ฮงใช่มั้ย เตี่ยจำแกได้รึเปล่า ยายคนนั้นแกผอมๆ ผมหงอกขาวเกรียนๆ น่ะ" "อะไรนะ ผมขาวเกรียนๆ น่ะเหรอ" เถ้าแก่ฮงสะดุ้ง "ใช่จ้ะเตี่ย หนูก็ลืมถามชื่อไป แกว่ามีเงินเหลือ 10 บาทพอดี เลยออกค่ารถให้หนูก่อน ยังไงถ้าเจออีกเตี่ยช่วยคืนเงินให้ยายแกด้วยนะ ดูท่าทางแกจนออก" ลูกสาวเถ้าแก่คว้ากระเป๋าเตรียมขึ้นบนบ้าน "อ้อ แกยังฝากมาขอบคุณที่เตี่ยบริจาคเสื้อกันหนาวให้ด้วยค่ะ เมื่อกี้ยังเห็นแกใส่อยู่เลย สีดำๆ ค่ะเตี่ย" ที่มา : http://best.in.th/ :: สิ่ ง ดี ๆ ที่ ค ว ร เ ก็ บ ไ ว้ :: |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 29 ธ.ค. 2010, 14:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
เข้าใจธรรมะจาก...พุทธศาสนสุภาษิต สุกรํ สาธุนา สาธุ ( อ่านว่า สุกะรัง สาธุนา สาธุ ) ความดี อันคนดีทำง่าย โดย...มรรคาสามัญ ความดี หมายถึง การกระทำ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม คนที่คิดดี ก็จะพูดดีและทำดีด้วย เพราะมีจิตที่เป็นกุศล มองโลกในแง่ดี ทำความดีเป็นปกติวิสัยอยู่ทุกวัน ไม่มีเคอะเขินหรือฝืนใจทำแต่อย่างใด การ ทำดี ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในชีวิตของเขา การไม่ได้ทำดี หรือการทำชั่วเสียอีก ที่เป็นสิ่งแปลกปลอมในชีวิตเพราะนาน ๆ จึงจะแว้บเข้ามาในชีวิตจิตใจ จึงเป็นเรื่องฝืนใจอย่างยิ่งที่จะกระทำ คนดี สามารถทำความดีได้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข อิ่มอกอิ่มใจ จิตเขาห่อหุ้มด้วยกุศล เสียแล้ว การทำความดีจึงเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวไม่มีการฝืนใจ เพียงมองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์ ให้อภัยในความผิดพลาดของคนอื่น ไม่ เรียนรู้สังคมโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางชนิดที่ว่า ถ้าคนอื่นพูดหรือทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่สอดคล้องกับกิเลส ตัณหาของตนในขณะนั้น ก็จะโวยวาย ตีโพยตีพายไม่ยอมรับ แต่รู้ว่าเพื่อนมนุษย์ผู้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายยังรู้ธรรมะหรือเข้าใจธรรมะน้อยกว่าเราจึงไม่ถือสาหาความ มุ่งแต่ทำความดีเสียสละเพื่อส่วนรวม ลด ละกิเลสอันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง ให้บรรเทาเบาบางลง ทำความดีเป็นปกติวิสัยจนเกิดเป็นอุปนิสัยที่เป็นความเคยชิน ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า สุกรํ สาธุนา สาธุ : ความดี อันคนดีทำง่าย |
เจ้าของ: | krit_2112_tt [ 29 ธ.ค. 2010, 17:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สุขสันต์รับวันปีใหม่....ด้วยพลังอานุภาพแห่งความดี |
ความดี..ย่อมเกิดจากการกระทำ คนทำความดี..ย่อมได้รับการสรรเสริญ ผลของความดี..ย่อมทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม แต่..ผลของความดี กว่าจะคลอด ต้องอดทน..และเจ็บปวด ผู้เขียน : "เอกธาตุ" ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |