ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=33815
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  น้ำล้นแก้ว [ 13 ส.ค. 2010, 09:09 ]
หัวข้อกระทู้:  เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

สวัสดีครับทุกท่าน

อยากจะรบกวนถามว่า มีวิธีไหนที่มันจะสามารถแก้ไขความขี้หึง ขี้ระแวง ขี้น้อยใจ ได้ดีที่สุดครับ
แน่นอนว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดจากพื้นฐานกิเลสภายในตัวเองของผมอยู่แล้ว ซึ่งทุกครั้งที่มีสิ่งเร้ามากระทบ ไอ้เจ้า"ขี้" เหล่านี้มันก็จะปูดขึ้นมาให้เห็น

เมื่อเห็นความไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ แรกๆก็ทุกข์นิดๆหน่อยๆ แต่พอนานวันเข้า เอ! มันชักไปกันใหญ่ครับ จากเดิมที่เป็นคนร่าเริง สดใส กลายเป็นคนที่มีจิตใจขุ่นมัว โกรธง่าย หายยาก นอนไม่หลับ ไปเลยครับ ความรู้สึกทุกข์เหล่านี้เกิดขึ้นทุกวันครับ มากบ้าง น้อยบ้าง ผมก็แก้ไขด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระเช้า-เย็น ซึ่งมันก็ดีขึ้นแต่ไม่หายขาดครับ

ดังนั้นจึงอยากจะรบกวนถามทุกท่านชี้ทางสว่างให้หน่อยครับ
ขอบคุณมากครับ

เจ้าของ:  แสงส่องนำทาง [ 13 ส.ค. 2010, 09:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

สวัสดีครับ คุณน้ำล้นแก้ว อารมณ์เหล่านั้นเป็นพื้นฐานในจิตใจของมนุษย์เราอยู่แล้ว เป็นกิเลสฝังรากหยั่งลึกเกาะแน่นในจิตของเราครับ ครั้นจะทำให้หมดไปคงจะทำไม่ได้ เพียงแต่จะทำให้เบาบางลงบ้างได้
ต้องเข้าใจและรู้ทันอารมณ์ของตัวเองครับ ลองทำสมาธิฝึกฝนจิตใจดูนะครับ ลองไปเข้าฝึกสมาธิตามสถานทีที่จัดมีการฝึกสมาธิดูนะเพื่อเป็นพื้นฐานนำกลับมาปฎิบัติที่บ้านนะครับ

เจ้าของ:  ศรีสมบัติ [ 14 ส.ค. 2010, 15:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

น้ำล้นแก้ว เขียน:
ผมก็แก้ไขด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระเช้า-เย็น ซึ่งมันก็ดีขึ้นแต่ไม่หายขาดครับ

นั่นหล่ะครับ ...เป็นหนทางแก้ไข....หรือคลาย ความยึด มั่น ถือมั่น เพราะอุปาทาน ความยึดมั่น ว่าเราของๆเรา เป็นตัวตนนี่แหละ...อาการหึง...หรือความพอใจ..ไม่พอใจ โลถ โกรธ หลง มันจึงเกิดมีขึ้นมา....การสวดมนต์..ภาวนา.เจริญสติ เจริญสมาธิ การปฏิบัติกรรมฐาน เป็นประจำ ต่อเนื่อง จะทำให้อาการเหล่านี้บรรเทา ลดลงไปเรื่อยๆ ถึงมันไม่หายขาดเลย...ก็ยังดีกว่าที่มันมีเต็มไปหมด...สักวันถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว...ความเพียรในการปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว...คุณจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง...ว่ามันสงบลงมากแค่ไหน...หรือความโกรธ..ความอิจฉา...ความหึง..ฯลฯ มันไม่มีแล้วในเรา
...ขอให้กำลังใจ ปฏิบัติธรรม ก้าวไปข้างหน้า..เพื่อความสงบ..เย็น..และความดับแห่งทุกข์ครับ
ขอเจริญในธรรม :b8:

เจ้าของ:  น้ำล้นแก้ว [ 15 ส.ค. 2010, 09:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

ขอขอบคุณท่านแสงส่องนำทาง และท่านศรีสมบัติ มากมายสำหรับคำตอบนะครับ

สงสัยจะต้องนั่งสมาธิจริงๆจังแล้วหละมั๊งครับ เพราะหลายๆครั้งแค่การสวดมนต์ไหว้พระนั้น สู้กับอารมณ์เหล่านี้ไม่ไหว เอาไม่ค่อยจะอยู่แล้ว :) เห็นอะไรผิดหูผิดตานิดหน่อย เป็นไม่ชอบใจ ใจสั่น หวาดระแวงไปหมดครับ

ไม่ทราบว่าถ้าจะเริ่มต้นนั่งสมาธิ เราควรจะเริ่มจากตรงไหนดีครับ จริงๆแล้วผมได้เริ่มศึกษาเองจากหนังสือธรรมะมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่ไปถึงไหนซักที คือนั่งยังไงก็ไม่เป็นสมาธิ นั่งยังไงก็ฟุ้งซ่าน หรือผมควรจะไปเริ่มเรียนการทำสมาธิจากท่านผู้รู้อื่นๆก่อนดี แล้วในกรุงเทพนีสถานปฏิบัติธรรมมั๊ยครับ

ขอบคุณครับ

เจ้าของ:  ศรีสมบัติ [ 15 ส.ค. 2010, 22:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

...ลองดูในเวบ..ธรรมะ ทั้งหลาย ท่านอาจารย์สอน...วิธีปฏิบัติ...สถานที่...ทุกอย่างมีพร้อม..
แรกๆ อาจจะได้จาก การฟัง ครับ..โหลด ธรรมบรรยาย ต่างๆ มาฟังก่อน...จนเกิดศรัทธา ขึ้นมาในจิตใจพอรู้สึก สงบ..หรือใจ มัน ว่างๆ ค่อยมานั่งสวดมนต์ ก่อน...แล้วค่อย นั่งเจริญ สมาธิ..(หรือ จะ ยืน เดิน ก็แล้วแต่ถนัด)...หรือที่บ้านไม่สะดวกนัก..ก็ไปสถานฯ สำนักปฏิบัติธรรมซะเลย ที่กรุงเทพ มีมากมาย
ให้กำลังใจครับ...เพราะทางสายนี้ นี่แหละ..ที่คุณจะสงบ...จริง...ปล่อยวางได้จริง..คุณต้องพิสูจน์โดยการปฏิบัติด้วยตัวคุณเองครับ..
ขอเจริญในธรรม :b8:

เจ้าของ:  จันทร์ ณ ฟ้า [ 18 ส.ค. 2010, 11:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

ใจคนเรานั้นสามารถคิดถึงอะไรๆได้ทีละอย่างเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อใจกำลังมองความทุกข์ ความเสียใจ น้อยใจที่เกิดขึ้นอยู่
ใจก็ย่อมหยุดคิดถึงคนอื่นหรือต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ใจน้อยใจไปโดยปริยาย

ไม่ว่าจะกำลังเป็นทุกข์แบบไหน ให้ลองมองเข้าไปที่ใจซึ่งกำลังเป็นทุกข์อยู่นั้น
เช่น เมื่อเกิดความรู้สึกน้อยใจก็มองเข้าไปที่ใจที่กำลังน้อยใจ แทนที่จะนั่งคิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เราน้อยใจ เพราะนั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อเหตุให้คิดปรุงแต่งจนยิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก

เมื่อฝึกมองดูใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนชำนาญแล้ว
การมองดูใจจะเหมือนเป็นเบรกไม่ให้ใจไปคิดปรุงแต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจ ความทุกข์ก็จะน้อยลง

เจ้าของ:  skygolo [ 23 ส.ค. 2010, 13:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

คุณรู้ สภาวะได้ดีแล้วครับ
ลองสังเกต ว่าเรารู้ตัวว่าเรา มีขี้พวกนั้นมาอาศัยอยู่ตอนไหน
ใช้สติ ดูมัน เวลาพวกขี้ มันทำงาน แล้วมันดับไปอย่างไร ดับไปตอนไหน
ช่วงแรกจะหยุดมันไม่ได้ ก็ตามดูมันไป ยิ้มเยาะพวกขี้มัน มันจะเล่นละครให้เราดู

ไหว้พระ สวดมนต์ จะช่วยปรับความหยาบในจิต เพื่อให้ง่ายต่อการทำสมาธิ
แต่สมาธิ ไม่ได้ช่วยให้พวกขี้หายไป แต่มันสามารถข่ม สะกดพวกขี้ให้อยู่มันได้
เมือ่ออกจากสมาธิแล้ว พวกขี้ก็กำเริบหนักกว่าเดิม เพราะมันโดนกด ข่มเหงอยู่นาน

ระหว่างวันต้องอาศัยกำลังสติ ที่ต่อเนื่อง ตามดูอิริยาบทของตัวเอง ให้สติมันอยู่กับ
สิ่งที่อยู่ต่อหน้าคุณจริงๆ พอใจมันลอย จิตมันเคลื่อนที่ไปทำงาน คุณจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง

ทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ คุณจะซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัย อย่างหาที่สุดมิได้เลย

เป็นกำลังใจให้ครับ ย่างก้าวแรก ของแต่ละคน ย่อมหวั่นไหว แสนลำบาก
เท่ากันทุกคน อดทนสู้มันไว้ อย้าท้อถอย
แล้วเราจะได้สิ่งที่ มนุษย์ตนนึงเกิดมาแล้วควรจะได้ฯ

วิธีเริ่มง่ายๆ ตั้งวินัยไว้เลยว่า วันนี้ทุกย่างก้าวที่เดิน เราจะต้องมีสติรู้เท้าที่กระทบพื้น
แล้วทุกย่างเก้าของคุณจะเป็นการเดินจงกรม

สติ เป็นธรรมที่มีอุปการะมากจริงๆ
เมื่อสติคุณต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน การจะตั้งใจละเมิดในศีลนั้นไม่มี
ไม่ศีลไม่พลาด สติต่อเนื่อง สมาธิจะเกิด แม้เราไม่ได้นั่งสมาธิ ใจก็จะมีปิติ่อ่อนๆ
หล่อเลี้ยงตลอดเวลา

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมฯ

เจ้าของ:  ปริตา [ 23 ส.ค. 2010, 16:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

เคยเกิดอาการอย่างที่คุณบอกทุกอย่างเลยค่ะ แรกๆก็มีไม่มาก ควบคุมได้ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองเท่าไหร่ จะเดือนร้อนก็เป็นกับตัวเองคนเดียว คือยังไม่แสดงออกมาก พอปล่อยไปนานๆเข้า เกิดควบคุมไม่อยู่ จึงเกิดความเดือนร้อนทั้งกับตัวเองและคนใกล้ชิด และเป็นความเดือนร้อนที่ค่อนข้างจะสร้างความทุกข์ให้ตัวเองอย่างสาหัสทีเดียว ในปัจจุบันนี้อาการพวกนี้จึงเป็นอาการที่ค่อนข้างจะน่ารังเกียจ ไม่อยากให้มาอยู่ในใจของตัวเองเลย ในเวลาที่มีอาการทั้งหลาย ก็ใช้วิธีการสวดมนต์ ไหว้พระ แผ่เมตตาให้กับตัวเองและผู้อื่นอย่างมาก ตอนแรกๆ สวดมนต์ก็ฟุ้งซ่าน ปากสวด ตามองหนังสือสวดมนต์ สมองคิดไปไกลถึงไหนๆ บางครั้งก็น้ำตาไหล ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ก็อดทนใช้ความพยายามสวดไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ จิตใจก็คิดฟุ้งซ่านไปไกล ช่วงแรกดูจะแย่กว่าเดิม แต่ก็อาศัยความเพียร หมั่นสวดมต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาไปเรื่อยๆจนเริ่มนิ่งขึ้น ในทุกวันนี้ ก็ยังมีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ้าง แต่ก็มีสติกำกับ จึงไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงเพลินไปกับอารมณ์เหล่านั้นเหมือนเดิม
คุณรู้ตัวเอง เข้าใจสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่แล้ว คิดว่าการหมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอนั้น ก็จะช่วยคุณได้ในระดับหนึ่ง จึงจำเป็นต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆอย่างสม่ำเสมอ ต้องดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ...

เจ้าของ:  น้ำล้นแก้ว [ 23 ส.ค. 2010, 17:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เรียนถามท่านที่มีประสบการณ์ครับ

ขอบพระคุณความเห็นของทุกท่านอย่างสูงครับ

ไม่น่าเชื่อว่ากระทู้ของผมจะมีคนเข้ามาให้ข้อเสนอแนะเยอะขนาดนี้ ทุกตัวหนังสือที่ได้กวาดตาอ่านผ่าน มันทำให้ผมรู้สึกอะไรทราบมั๊ยครับ .... มันทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยว ผมไม่ได้เป็นคนเดียวหรือเป็นคนแปลกประหลาดที่มีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้น มันรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกครับ
ต้องขอบพระคุณทุกความเห็นจากใจจริงครับ _/_

ชีวิตคนเนี่ยแปลกมากเลยครับทุกท่าน ........

เมื่อครั้งที่ตั้งกระทู้ ผมเริ่มต้นจากเรื่องราวของความรักแบบชู้สาว การหึงหวง การขี้น้อยใจ และขี้อะไรสารพัดสารเพ ต้องระแวงแคลงใจ จับผิด กับภรรยาตัวเอง ทุกท่านเชื่อมั๊ยครับว่าผมต้องทนอยู่กับขี้พวกนี้มาเกือบ 1 ปี ทุกวันมีแต่ความทุกข์ ถึงขั้นว่าเวลาเห็นอะไรที่ภรรยาทำผิดหู ผิดตาไป จิตของผมดำเนินการปรุงแต่งเองไปเสร็จสรรพเหมือนดูนิยายเลยครับ โดยใจของผมทำหน้าที่เขียนบทเอง เล่นเอง แล้วก็กำกับเองอีกด้วย :b1:

จนวันนี้เองผมก็ได้เข้าใจธรรมะอย่างชัดแจ้ง นั่นคือ"สภาวะ"เหล่านี้มันไม่เที่ยง เชื่อมั๊ยครับว่าพวกขี้เหล่านี้มันหายไปเกือบหมด เมื่อผมทราบว่าคุณแม่ของผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน ความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันเปลี่ยนเป้าหมายโดยฉับพลัน จากคราวที่แล้วมันคอยเกาะที่การกระทำของภรรยา คราวนี้มันเปลี่ยนแปลงเป็นความรู้สึกสูญเสียอย่างมหาศาล เหมือนโลกทั้งโลกมันมืดดับไปตอนที่ได้ยินคุณหมอท่านบอก เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด พูดอะไรมันก็พาลจะน้ำหูน้ำตาไหลตลอด ด้วยความรู้สึกที่ห่วงคุณแม่ กลัวว่าท่านจะเจ็บ ท่านจะปวด กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่กับท่านอีกแล้ว อืมมมม ..... วันนี้เข้าใจแล้วจริงๆครับ ที่พุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่าชีวิตมันเป็นทุกข์

ไม่เป็นไรครับผมหวังว่า เมื่อทุกข์เกิดเอง มันก็ต้องดับเองได้ ใช่มั๊ยครับ ผมว่าผมจะยังคงยึดถือแนวทางการปฏิบัติแบบเดิมคือการสวดมนต์ ไหว้พระ พร้อมกับคอยให้กำลังใจคุณแม่ไปแบบนี้จนกว่าท่านจะไม่ไหวครับ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/