เตรียมตัวเตรียมใจก่อนใช้ชีวิตคู่
คู่รักแต่ล่ะคู่ใช้เวลาดูใจและบ่มความรักให้สุขงอมไม่เท่ากัน
บางคู่ไม่ถึงปี บางคู่เป็นปี และบางคู่หลายปี
แต่ไม่ว่าคุณจะใช้เวลา สักเท่าไหรก็ตาม
คุณผ่านการเตรียมตัว เตรียมใจกันบ้างหรือยัง
คุณคง สงสัยแล้วซิว่าแค่รักกันเข้าใจกันเรียนรู้นิสัยใจคอกันยังไม่พอหรือ
จะต้องมานั่งเตรียมตัวเตรียมใจในเรื่องอะไรกันอีก
เตรียมตัว เตรียมใจ ก่อนใช้ชีวิตคู่
คู่รักแต่ล่ะคู่ใช้เวลาดูใจและบ่มความรักให้สุขงอมไม่เท่ากัน
บางคู่ไม่ถึงปี บางคู่เป็นปี และบางคู่หลายปี
แต่ไม่ว่าคุณจะใช้เวลาสักเท่าไหรก็ตาม
คุณผ่านการเตรียมตัว เตรียมใจกันบ้างหรือยัง
คุณคงสงสัยแล้วซิว่าแค่ รักกันเข้าใจกันเรียนรู้นิสัยใจคอกันยังไม่พอหรือ
จะต้องมานั่งเตรียมตัว เตรียมใจในเรื่องอะไรกันอีก
ที่จริงการเตรียมตัวเตรียมใจเป็นเรื่องของการคิดแบบดักปัญหา
และปูแนวทางการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันระหว่างคนสองคนเรียกว่า
เตรียมตัวเตียมใจให้พร้อมสรรพก่อนจะรับรักเป็นคู่เคียง
เพราะคู่ที่มีการเตรียมพร้อมก่อนตกลงปลงใจแต่งงานจะปรับตัวเข้าหากันได้ง่าย
สลายความขัดแย้งได้เร็วและมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงชีวิตคุ่ให้ดีขึ่นเรื่อย ๆ
เรื่องที่ควร พูดตกลงก่อนปลงใจแต่งงาน
อยากให้คุณหวนกลับไปนึกดูว่า
ได้เคยพูดตกลงกันกับคนรักในเรื่องเหล่านี้บ้่างหรือเปล่า
เรื่องบ้าน หลังแต่งงานแล้วจะอยู่ร่วมกับครอบครัวเดิมหรือจะแยกครอบครัว จะซื้อที่อยู่ใหม่
เรื่องเงิน ใครจะเป็นคนถือเงิน จะเก็บไว้กี่ส่วนใครจะรับผิดชอบรายจ่ายอะไรบ้าง รายจ่ายที่จำเป็นในแต่ล่ะเดือนมีอะไรบ้าง
เรื่องลูก จะมีเมื่อไหร่ ถ้ามีแล้ววใครจะเป็นคนเลี้ยง หรือจะช่วยกันเลี้ยงลูกอย่างไร
เรื่องเวลา ตกลงกันไว้หรือเปล่าว่าแต่ล่ะคนควรมีเวลาให้แก่กันแค่ไหน มีเวลาให้ครอบครัวเดิมแต่ล่ะฝ่ายหรือไม่
เรื่องงานบ้าน จะแบ่งเบาภาระกันอย่างไร "คุณเป็นคนรีดผ้าน่ะ ฉันจะซักผ้าเอง"
กำหนดแผนชีวิตไว้คร่าว ๆหรือไม่ สักกี่ปีเราถึงจะมีรถ มีบ้านเป็นของตัวเอง เรื่องปัญหา"ลิ้นกับฟัน" ถ้าเกิดขึ้นต้องพูดกันก่อน พูดกันด้วยเหตุผล ห้ามใช้วิธีหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้าน
เรื่องที่ต่างคนต่างไม่ชอบคืออะไร ควรกำหนดข้อตกลงที่ต่างฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยง หรือเป็นกฎเหล้กประจำใจ
เรื่องเหล่านี้ บางคนอาจคิดว่าเป็นการไม่ไว้ใจกัน
แต่จริง ๆแล้วเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้หลายคู่เกิดปัญหาภายหลัง
เตรียมใจไว้บ้าง ในหนทางชีวิตคู่
คุณเคยเตรียมใจไว้บ้างไหมว่า
เมื่อแต่งงานแล้วความเป็นอิสระในการตามใจตัวเองจะลดลงครึ่งหนึ่ง จะมีอีกคนเข้ามาแบ่งปันเวลา แบ่งปันชีวิตร่วมกัน
พร้อมที่จะมีความรับผิดชอบต่อกัน พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆโดยไม่หวั่นไหว
เตรียมที่จะต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเช่น ผู้ชายที่เคยเที่ยวกับเพื่อนฝูงบ่อย ๆเมื่อครั้งยังโสดก็ต้องเพลาลงหลังแต่งงาน
ผู้หญิงที่เคยนอนตื่นสายก็ ต้องเปลี่ยนมาตื่นแต่เช้า เพื่อลุกขึ้นมา ดูแลอีฝ่ายหนึ่ง
เตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเขาซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มักเกิดขึ้น เช่น เอาอกเอาใจน้อยลง เพราะเมื่อครั้งเป็นคู่รักต่างก็อยากดูแลกัน
พออยู่ร่วมกันต่างก็รออีกฝ่ายมาเอาใจ
มองเห็นข้อเสียของแต่ล่่ะฝ่ายชัดเจนขึ้นมากขึ้นเพราะอยู่ไกลชิดกันทุกวันต่างก็ทำตัวตามสบาย เกรงอกเกรงใจกันน้อยลง
เอาแต่ใจไม่ระมัดระวังตัว และเป็นตัวของตัวเองมากว่าตอนเป็นคุ่รักกัน
ต่างคนต่างพูดอย่างอิสระและปล่อยอารมณ์มากขึ้นไม่ระมัดระวังเหมือนครั้งยังเป็นคู่รัก
ความหวานชื่นลดน้อยลง เพราะมีความรับผิดชอบเข้ามาแทนที่ความรู้สึกตื่นเต้นเป็นสุขเมื่ออยู่ใกล้กันก็จะกลายเป็นความชินและรู้สึกเฉย ๆ
เริ่มมีการพยายามครอบงำ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้น เธออาจจะไปไหนต้องบอกฉันก่อน
คนเรานั้นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองมักไม่ค่อยรู้สึก
แต่จะรู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ มักทำให้เกิดความผิดหวัง
ไม่พอใจ และน้อยอกน้อยใจ หากทำใจไม่ได้
ความรู้สึกดังกล่าวก็จะสะสมและกัดกร่อนใจทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้ามีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง
เรื่องที่จะกลายเป็นปัญหาก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
และไม่ทำให้เสียความรู้สึกมากมาย เพราะคาดเอาไว้ว่าจะเกิด
ที่มา...โรงพยาบาลจิตเวชเลยราชนครินทร์
