ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ชีวิตที่ขาดสายใย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=32136 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 27 พ.ค. 2010, 23:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | ชีวิตที่ขาดสายใย |
![]() ![]() คนยุคนี้… ไม่มีการเรียนรู้ระหว่างกัน ใครจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงใคร เหงา ขาดที่พึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านต่างๆ ในสังคมทั้งในระดับโลก ระดับชาติ ระดับเมือง ตลอดจนระดับชุมชน สิ่งหนึ่งที่ถูกกระทบมากที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม แม้แต่ในสังคมเล็กๆ เช่นครอบครัว ความสัมพันธ์ที่เคยมีอย่างแนบแน่นก็กลายมาเป็นความห่างเหินฉาบฉวยจนน่าใจหาย วิถีชีวิตที่รีบเร่งและเต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้สายใยที่เคยผูกโยงผู้คนในสังคมให้ใกล้ชิด เอื้ออาทรซึ่งกันและกันมลายหายไปสิ้น และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปอย่างผิวเผินฉาบฉวย โอกาสในการเรียนรู้จากกันและกันซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ของมนุษย์ก็ย่อมขาดหายไปด้วยอย่างน่าเสียดายยิ่ง เราเคยคิดกันอย่างจริงๆ จังๆ หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของมวลสมาชิกในสังคม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ แท้ที่จริงเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดพฤติกรรม หรือการแสดงออกของเราอย่างมากทีเดียว ลองพิจารณาดูเถิดว่าการที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ตัวที่กำหนดพฤติกรรมของเราอาจมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญตัวหนึ่งที่คอยกำกับพฤติกรรมเราอยู่เสมอ ก็คือ ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนในสังคมนั้นนั่นเอง หลายคนไม่กล้าทำผิดเพราะเกรงกลัวต่อบาป หลายคนไม่กล้าทำผิดเพราะกลัวได้รับการลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง พฤติกรรมเหล่านี้เข้าใจได้ง่าย แต่ถ้าคนไม่สนใจบาปบุญคุณโทษหรือไม่เกรงกลัวกฎหมาย ก็คงทำอะไรต่อมิอะไรได้ทั้งสิ้นดังที่เห็นกันอยู่เกลื่อนไปในสังคมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือเอาเปรียบผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ หรือแม้แต่การยอมเสียเนื้อเสียตัวของเด็กวัยรุ่นโดยไม่สอดรับกับบรรทัดฐานทาสงสังคม ซึ่งเด็กเหล่านี้ใช่ว่าจะด้อยการศึกษาหรือมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่ที่พวกเขาได้ประพฤติปฏิบัติไปในทางอันเสื่อมนั้น ก็เป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ของเขากับผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิด หรือ บุคคลซึ่งเป็นผู้ที่เขาควรเคารพนับถือ เช่น พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ในครอบครัวมีความฉาบฉวยหรือห่างเหินเป็นอันมาก ผมเชื่อว่า ถ้าคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราคงไม่กล้าแสดงออกพฤติกรรมเสื่อมเสีย เพราะเกรงจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่เราเคารพนับถือ คิดดูเถิดถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดี แนบแน่นกับพ่อแม่ เราจะกล้าปฏิบัติในสิ่งที่รู้ว่าจะทำให้พ่อแม่เสียใจหรือ เพราะจะกระทบต่อความสัมพันธ์อย่างมาก เราคงไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นต้องขาดสะบั้นลงใช่หรือไม่ ผมเชื่อว่า ความสัมพันธ์ที่ดีของผู้คนในสังคมเป็นเกราะกำบัง มิให้คนเราทำอะไรในทางชั่วร้ายได้อย่างดี แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมไทยเบาบาง และฉาบฉวยมากขึ้นทุกทีแล้ว ขนาดบ้านเรือนอยู่ใกล้กันก็ไม่รู้จักกัน ทำงานในองค์กรเดียวกันก็รู้จักกันน้อยมาก แทบจะไม่มีกิจกรรมที่มีกลไกของสังคมหรือชุมชนที่เอื้อให้สมาชิกของสังคม หรือชุมชนได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กันเหมือนสังคมหรือชุมชนในอดีต สมัยก่อนนั้น สมาชิกในครอบครัวเดียวกันมีกิจกรรมหลากหลายที่ทำร่วมกัน มีการเอื้อเฟื้อแบ่งปัน และเรียนรู้ร่วมกัน ในชุมชนก็มีกิจกรรมที่เอื้อให้สมาชิก ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งในเรื่องการทำมาหากิน เช่น การลงแขก การเอามื้อเอาวัน การทำบุญตามประเพณีต่างๆ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันตามตลาดของชุมชน ในสังคมที่สมาชิกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และกำหนดพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม แต่ยังป้องกันคนภายนอกเข้ามาเอารัดเอาเปรียบ แสวงหาประโยชน์จากชุมชนได้อีกด้วย แท้ที่จริงความสัมพันธ์ทางสังคมที่แนบแน่นถือได้ว่า เป็น “ทุนทางสังคม” ที่สำคัญมากของชุมชน เป็นสิ่งที่ชุมชนทั้งเล็กและใหญ่จักต้องพยายามรักษาเอาไว้ ในเมื่อความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้บอบบางและผิวเผินมากขึ้นทุกที จึงเป็นเหตุให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันทั้งในครอบครัว ในชุมชน และแม้แต่ในหน่วยงานไม่อาจเกิดขึ้นได้ผมคิดว่า ผู้ที่คุยโม้โอ้อวดเรื่องการจัดการความรู้สึกเป็นวิธีการของฝรั่งนั้น น่าจะต้องคิดกันใหม่เสียละกระมัง เพราะถ้าหากความสัมพันธ์ทางสังคม (ซึ่งมิใช่ความสัมพันธ์ในด้านอาชีพหรือหน้าที่การงาน) ของผู้คนใหม่หน่วยงานหรือองค์กรมีความฉาบฉวยเบาบาง การจัดการความรู้ที่ว่านั้นคงไม่มีทางเป็นจริงสักเท่าไรดอก เพราะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างแท้จริงย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ทว่าการที่จะสนับสนุนให้ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างสมาชิกขององค์กร ชุมชน หรือครอบครัวมีความแนบแน่น ท่ามกลางระบบคุณค่าที่เน้นความเร็วและเร่งรีบ เน้นการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย เน้นการบริโภคอย่างบ้าคลั่ง เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น เราอาจจะต้องทบทวนและพิจารณาเรื่องระบบคุณค่าในสังคม ที่ครอบงำเราอยู่อย่างจริงจัง และหาทางสลัดระบบคุณค่าดังกล่าวออกเสียให้มากเท่าที่จะมากได้ ผมคิดว่า ถ้าเรายังเชื่อความเร็วและความเร่งรีบเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และเห็นว่าการแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี หรือเห็นว่าการบริโภคอย่างเต็มที่ เป็นเป้าหมายของชีวิตการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมในชุมชนในหน่วยงาน และในครอบครัว ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ และแม้จะเกิดขึ้นได้บ้างแต่ก็ยากที่จะมั่นคงยั่งยืนนาน ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใคร่ขอเสนอให้ลองทบทวนดูว่า… …ที่เราต้องเร่งต้องรีบ ไม่ว่าในการทำงานหรือการเรียน หรือทำกิจการงานใดมีความจำเป็น หรือสำคัญจริงหรือ …ที่เราต้องอยู่ในลู่ของการแข่งขัน เราจำเป็นต้องมุ่งมั่นแข่งขันกันชนิดไม่เผาผีกันหรือ …การแข่งขันอย่างบ้าคลั่งให้ผลดีอะไรแก่ชีวิตเราบ้าง …การที่เราใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ และวิ่งเข้าสู่การแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น เป็นเพราะเราเสพติดกับการบริโภคอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใช่หรือไม่ ผมคิดว่า เราต้องทบทวนการใช้ชีวิตของเราให้ช้าลง ลดการแข่งขัน ลดการบริโภค เพื่อว่าเราจะได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชนเดียวกันในองค์กรเดียวกัน และในครอบครัวเดียวกันเพื่อจะได้เรียนรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะในสังคม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเฉียบพลันดังเช่นทุกวันนี้ ชีวิตของเราแต่ละคนแต่ละครอบครัว ต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายและปัญหาต่างๆ ตลอดเวลา เราจึงต้องมีการเรียนรู้อย่างเท่าทันอยู่ตลอดเวลา และการเรียนรู้ที่ดีวิธีหนึ่ง ก็คือการเรียนรู้จากกันและกันระหว่างคนในชุมชนเดียวกัน หรือองค์กรเดียวกัน หรือครอบครัวเดียวกัน จริงอยู่ การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมใช่ว่าจะง่ายดายนัก ดังนั้น เราจักต้องยอมรับว่า ในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมในระยะแรกๆ อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือมีปัญหาบ้าง โดยเฉพาะถ้าเรายังไม่สลัดทิ้งระบบคุณค่าบางอย่างที่เรายึดถืออยู่ ประการต่อมา เราต้องทำความเข้าใจว่าคนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน อันเป็นผลมาจากพื้นภูมิหลัง การเลี้ยงดู การศึกษาเรียนรู้ และความเชื่อที่ยึดถือ ต้องยอมรับว่าความแตกต่างหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา และขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่า ความแตกต่างหลากหลายนี่เอง ที่จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันมีความหมายอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมทุกวันนี้เราจึงได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่มคน ระหว่างองค์กรเกิดขึ้นเนืองๆ ซึ่งก็เป็นเพราะระบบคุณค่าต่างๆ ที่ทำให้ผู้คนไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งกันและกันนั่นเอง ชีวิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วนแต่สัมพันธ์กับวัตถุสิ่งของ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลดน้อยถอยลงทุกที คนจำนวนมากมีชีวิตอยู่เพียงมีเป้าหมายเพื่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทรัพย์สินให้มากขึ้น แต่ชีวิตไม่มีความหมายอย่างอื่นในฐานะของความเป็นมนุษย์เอาเลย คนยุคนี้… จึงไม่มีการเรียนรู้ระหว่างกันใครจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงใครเหงา ว้าเหว่ ขาดที่พึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเสนอว่า เราลองหยุดคิดไตร่ตรอง และหันมาสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อว่าชีวิตจะได้มีความหมายอย่างแท้จริง. ที่มา.. teen&family Vol.11 No.123 June 2006 ห้องสมุด E-LIB ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |