วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 02:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




24674873.gif
24674873.gif [ 83.44 KiB | เปิดดู 5508 ครั้ง ]
ที่ว่า

"ผู้หญิงไม่ร้าย ถ้าผู้ชายไม่เลว"

http://solno07.exteen.com/20100522/entry

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 พ.ค. 2010, 21:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงร้ายก็รัก ก็รักๆ แม้รักจะร้าย จะร้ายๆ สู้ทนด้านอาย ต้องก้มหน้าโศกาจาบัลย์


เนื่องจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพราะถูกบังคับอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พบว่าเมื่ออกจากวัดแล้วจิตใจนิ่ง สงบ และปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีปัญหากับคนรัก เนื่องจากเขาไม่เอาใจใส่ และเราเองก็รู้สึกน้อยใจเสียใจว่า
เขาไม่รัก ความเป็นคนใจเย็นของเรานั้นหายไปทันที ทั้งๆที่ตอนที่ถูกเพื่อนร่วมงานตำหนินั้นเราเกิดความโกรธแต่ก็ละความโกรธลงง่ายๆ แต่กับคนรักนนั้นมันวางไม่ได้เลยค่ะ
พอหลับตาจะทำสมาธิก็ทำไม่ไป ร้องไห้เหมือนเดิม เลยลุกขึ้นมาสวดมนต์ ตักบาตร ในขณะที่ทำนั้น
ใจสงบเล็กน้อย
เมื่อทำบุญเสร็จกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเขาได้ส่งข้อความมาหาบอกให้เลิกกัน เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าใจจะสลาย เลยปิดประตู อ่านหนังสือธรรมะ และนั่งสมาธิอยู่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พ่อแม่เป็นห่วงมาก แต่ดิฉันก้ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะรู้แน่ว่าต้องร้องไห้ฟูมฟาย

การทำสมาธินั้น ทำแบบดูท้องพองยุบเหมือนกับตอนได้ฝึกมา เมื่อทำอยู่ใจจะสงบ มองเห็นความรักเป็นอนิจจัง แต่เมื่อละจากสมาธิ มันกลายเป็นว่าเราไปข่มไว้ เลยร้องไห้และเครียดหนักเช่นเดิม

ตอนนี้อยากตัดสินใจลาออกจากงานแล้วไปปฏิบัติธรรมในวัดถาวร แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการหนีปัญหา
เลยอยากขอคำปรึกษา ว่าควรทำอย่างไรให้สมาธิอยู่กับเรานานๆ และปล่อยวางความรักความหลงนันออกไปได้จริงๆ
ทีนี้ หากฝ่ายชายกลับมาขอคืนดี เราจะหายหรือไม่ คิดว่าคงหายแต่ก็ได้เพียงพักเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้โกรธเคืองกันใหม่ เพราะเขาไม่ได้รักแค่เราคนเดียว
จึงอยากยุติความสัมพันธ์กับเขา พร้อมกับมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 89136.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 พ.ค. 2010, 14:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
อย่างนี้ต้องชวนไปอยู่บ้านสาวโสด
"รักบริสุทธิ์มอบแด่พุทธศาสนา" แจ่ม!

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถึงร้ายก็รัก ก็รักๆ แม้รักจะร้าย จะร้ายๆ สู้ทนด้านอาย ต้องก้มหน้าโศกาจาบัลย์


เนื่องจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพราะถูกบังคับอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พบว่าเมื่ออกจากวัดแล้วจิตใจนิ่ง สงบ และปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีปัญหากับคนรัก เนื่องจากเขาไม่เอาใจใส่ และเราเองก็รู้สึกน้อยใจเสียใจว่า
เขาไม่รัก ความเป็นคนใจเย็นของเรานั้นหายไปทันที ทั้งๆที่ตอนที่ถูกเพื่อนร่วมงานตำหนินั้นเราเกิดความโกรธแต่ก็ละความโกรธลงง่ายๆ แต่กับคนรักนนั้นมันวางไม่ได้เลยค่ะ
พอหลับตาจะทำสมาธิก็ทำไม่ไป ร้องไห้เหมือนเดิม เลยลุกขึ้นมาสวดมนต์ ตักบาตร ในขณะที่ทำนั้น
ใจสงบเล็กน้อย
เมื่อทำบุญเสร็จกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเขาได้ส่งข้อความมาหาบอกให้เลิกกัน เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าใจจะสลาย เลยปิดประตู อ่านหนังสือธรรมะ และนั่งสมาธิอยู่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พ่อแม่เป็นห่วงมาก แต่ดิฉันก้ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะรู้แน่ว่าต้องร้องไห้ฟูมฟาย

การทำสมาธินั้น ทำแบบดูท้องพองยุบเหมือนกับตอนได้ฝึกมา เมื่อทำอยู่ใจจะสงบ มองเห็นความรักเป็นอนิจจัง แต่เมื่อละจากสมาธิ มันกลายเป็นว่าเราไปข่มไว้ เลยร้องไห้และเครียดหนักเช่นเดิม

ตอนนี้อยากตัดสินใจลาออกจากงานแล้วไปปฏิบัติธรรมในวัดถาวร แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการหนีปัญหา
เลยอยากขอคำปรึกษา ว่าควรทำอย่างไรให้สมาธิอยู่กับเรานานๆ และปล่อยวางความรักความหลงนันออกไปได้จริงๆ
ทีนี้ หากฝ่ายชายกลับมาขอคืนดี เราจะหายหรือไม่ คิดว่าคงหายแต่ก็ได้เพียงพักเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้โกรธเคืองกันใหม่ เพราะเขาไม่ได้รักแค่เราคนเดียว
จึงอยากยุติความสัมพันธ์กับเขา พร้อมกับมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 89136.html


:b10: :b10:

จานป้อเป็นผู้ชายคนนั้นหรือคะ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นนี้เข้าท่าค่ะ รูปภาพ

อาการของคุณ ถ้าเปรียบตอนนี้ คุณกำลังป่วยหนักทางจิตใจ
ถ้าในทางโลก คุณป่วยทางกาย ร่างกายอ่อนแอ
ใคร ๆ ก็บอกว่า การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี
แต่คุณว่า คนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียูออกกำัลังกายได้ไหม
เขาต้องรักษาตัวให้หายป่วย หรือ พอทุเลาก่อน จึงจะออกกำลังกายได้จริงไหมครับ

เมื่อคุณป่วยทางจิตใจในขณะนี้ ซึ่งป่วยหนัก
เรื่องอกหักเป็นอาการหนักของหนุ่มสาว ผมเข้าใจดี
เมื่อคุณอกหัก อันดับแรก คุณต้องไม่นั่งสมาธิครับ
คุณต้องไม่สวดมนต์ด้วย คณต้องไม่อ่านหนังสือธรรมด้วย
แต่สิ่งที่คุณทำ ก็คือ คุณต้องทำงานทางโลกให้มาก
คุณอย่าไปลาออกจากงาน ถ้าคุณไม่มีงานทางโลกทำ
จิตใจคุณจะิยิ่งฟุ่งซ่านหนัก อาการคุณจะทรุดหนักลงไปอีก
ให้คุณสนใจงานทางโลกให้มาก ทำให้มาก เพื่อใ้ห้จิตใจ
ไปจับงานทางโลกให้มากๆ แล้วคุณจะค่อย ๆ ลืมอาการอกหักลงทีละนิด
ทีละน้อย จนพอทำใจได้แล้ว คือ ไม่คอยทุกข์กับมันแล้วเท่าใด
ตอนนั้น ก็เหมือนทุเลาจากอาการป่วยแล้ว คุณค่อยมาเจริญสติปัฏฐาน 4
ในหมวดที่คุณถนัด เพืื่อเพิ่มกำลัีงจิตใจแข็งแกร่งเพื่อสู้กับสิ่งใหม่ๆ ในชีิวิตต่อไป


วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ จะเริ่มต้นอย่างไรดี

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... 5&gblog=69

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองฉาว เอ้ย สาว แม่มด กับไบกอน ช่วยขบเคี้ยวขบคิดข้อธรรมหรือจะตั้งชื่อยังไงก็ได้ตามสบาย นี้หน่อย =>

เมื่อพูดในแง่สมมติ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดแง่สมมุติ

เมื่อพูดในแง่สภาวะหรือปรมัตถ์ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดในแง่สภาวะ เมื่อรู้เท่าทันความเป็นจริง และความหมาย

ในการพูดแบบนั้นๆ ไม่เข้าไปยึดติดถือมั่น ไม่เอามาปะปนกัน ก็เป็นอันใช้ได้


ข้อสำคัญก็คือจะต้องรู้เท่าทัน แยกสมมุติกับตัวสภาวะออกจากกันได้ ของอันเดียวกันนั่นแหละ

เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะ ก็พูดไปตามสภาวะ

เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตามสมมุติ อย่าไขว้เขว อย่าสับสนปะปนกัน และต้องมีความเข้าใจสภาวะ

เป็นความรู้เท่าทันรับรองยืนเป็นพื้นอยู่


ทั้งตัวสภาวะและสมมุติ เป็นสิ่งจำเป็น ตัวสภาวะ เป็นเรื่องของธรรมชาติ

ส่วนสมมุติเป็นเรื่องของประโยชน์สำหรับความเป็นอยู่ของมนุษย์

แต่ปัญหาเกิดขึ้น เพราะมนุษย์เอาสภาวะกับสมมุติมาสับสนกัน คือ เข้าไปยึดเอาตัวสภาวะจะให้เป็นตาม

สมมุติ จึงเกิดวุ่นวายขึ้น

ตัวสภาวะไม่วุ่น เพราะมันเป็นไปอย่างนั้นเองตามปกติธรรมดา ไม่เกี่ยวกับใครจะไปยึดหรือไม่

มนุษย์เป็นผู้วุ่นไปฝ่ายเดียว และเพราะมันไม่วุ่นด้วย มนุษย์จึงยิ่งวุ่นวายใหญ่ เพราะขัดความปรารถนา

ถูกบีบคั้นจึงเกิดเป็นปัญหาแก่ตัวมนุษย์เอง
:b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองฉาว เอ้ย สาว แม่มด กับไบกอน ช่วยขบเคี้ยวขบคิดข้อธรรมหรือจะตั้งชื่อยังไงก็ได้ตามสบาย นี้หน่อย =>

จ้า... ok

เมื่อพูดในแง่สมมติ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดแง่สมมุติ

ค่ะ...

เมื่อพูดในแง่สภาวะหรือปรมัตถ์ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดในแง่สภาวะ เมื่อรู้เท่าทันความเป็นจริง และความหมาย
ในการพูดแบบนั้นๆ ไม่เข้าไปยึดติดถือมั่น ไม่เอามาปะปนกัน ก็เป็นอันใช้ได้


ค่ะ...

ข้อสำคัญก็คือจะต้องรู้เท่าทัน แยกสมมุติกับตัวสภาวะออกจากกันได้ ของอันเดียวกันนั่นแหละ

เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะ ก็พูดไปตามสภาวะ

เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตามสมมุติ อย่าไขว้เขว อย่าสับสนปะปนกัน และต้องมีความเข้าใจสภาวะ

เป็นความรู้เท่าทันรับรองยืนเป็นพื้นอยู่

ทั้งตัวสภาวะและสมมุติ เป็นสิ่งจำเป็น ตัวสภาวะ เป็นเรื่องของธรรมชาติ

ส่วนสมมุติเป็นเรื่องของประโยชน์สำหรับความเป็นอยู่ของมนุษย์


ก็ใช่ค่ะ...

แต่ปัญหาเกิดขึ้น เพราะมนุษย์เอาสภาวะกับสมมุติมาสับสนกัน คือ เข้าไปยึดเอาตัวสภาวะจะให้เป็นตาม .... สมมุติ จึงเกิดวุ่นวายขึ้น

ก็ใช่ค่ะ...แต่มันวุ่นวายยังไงคะ

ตัวสภาวะไม่วุ่น เพราะมันเป็นไปอย่างนั้นเองตามปกติธรรมดา ไม่เกี่ยวกับใครจะไปยึดหรือไม่
มนุษย์เป็นผู้วุ่นไปฝ่ายเดียว และเพราะมันไม่วุ่นด้วย มนุษย์จึงยิ่งวุ่นวายใหญ่ เพราะขัดความปรารถนา ถูกบีบคั้นจึงเกิดเป็นปัญหาแก่ตัวมนุษย์เอง


ค่ะ....

ถกเรื่อง สมมติ กับ สภาวะ หรือเรื่อง case สาวเจ้าคะ
หมายถึงจานป้อจะบอกว่า เคสสาวเจ้า ปฏิบัติธรรมตามสมมติ จำตาม ทำตามสมมติ
แต่สภาวะที่เกิดนั้น เป็นสภาวะ ดังนั้นถึงแม้จะศึกษาธรรมมา แต่ไม่สามารถนำธรรม
ที่ศึกษามานั้น มาใช้กับสภาวะจริงที่เกิดได้ รึเปล่าคะ...


:b10: :b10:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 25 พ.ค. 2010, 23:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 02:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: สาวเจ้า ไม่เข้าใจธรรมชาติ
:b48: สาวเจ้า ไม่ลึกซึ้งในธรรมะ อีกตะหาก

:b48: แล้วสาวเจ้า ก็ยังไม่เจอะเจอ กัลยาณมิตร นะจ๊ะ นะจ๊ะ :b48:

...ความเป็นไปของสรรพสิ่ง (ตัวสาวเจ้า หนุ่มหน้ามล และ(สภาวะ)อื่นๆ อีกมากมาย) ล้วนอนิจจัง อนัตตายึดไม่ได้บังคับบัญชาไม่ได้...เมื่อไปยึดก็ทุกขังเท่านั้นแล...

...ตัวของตัวเองยังบังคับไม่ให้แก่ไม่ได้เลย แล้วจะไปบังคับใครให้เป็นดั่งใจได้ไฉน...

ให้สาวเจ้าหมั่นสังเกต เมื่อทุกข์เกิด...ทุกข์ตั้งอยู่ ...และเดี๋ยว ทุกข์ก็ดับไป...
หมั่นสังเกต ตามรู้ ตามดู สภาวะนั้นไป ด้วยปัญญา...
ไม่ว่าจะทุกข์ สุข เศร้า เหงา หนาว ร้อน ทุกสิ่ง เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ...ด้วยความเข้าใจ

เขียนไว้ข้างเตียง...นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ของเรา...เป็นกันทุกคน... :b51: :b53:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เขียนไว้ข้างเตียง...นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ของเรา...เป็นกันทุกคน


ขอบคุณนะครับ ทั้งสองสาวที่ช่วยแสดงความเห็นตามสติกำลังสามารถ :b8:

ยังมีอีกนิดให้ช่วยคิดครับ

แต่เปิดเพลงเก่าต้นฉบับขั้นรายการก่อน กรัชกายของแท้ต้องมีเพลง :b32:

เฝ้าไข้ใกล้เตียง- :b20:

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=4258

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




6wmpl.gif
6wmpl.gif [ 23.53 KiB | เปิดดู 5117 ครั้ง ]
ช่วยขบคิดข้อความนี้อีกที หมายถึงอะไร ยังไง =>


ของอันเดียวกันนั่นแหละ

เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะ ก็พูดไปตามสภาวะ

เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตามสมมุติ อย่าไขว้เขว อย่าสับสนปะปนกัน และต้องมีความเข้าใจสภาวะ

เป็นความรู้เท่าทันรับรองยืนเป็นพื้นอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 09:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในขณะเศร้าใจ ทุกข์ใจอย่างหนัก จะจัดการกับอารมณ์
ความรู้สึกนี้ได้อย่างไร เพราะการนั่งสมาธิ จิตกระเจิง
สวดมนต์ ก็ท่องบ่นไปตามเรื่องไม่ได้บังเกิดสมาธิหรอก
จิตฟุ้ง ร้อนรน กระวนกระวาย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ใครที่มีอาการในช่วงนี้จัดการอย่างไร
น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับสาวเจ้าคนนี้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ช่วยขบคิดข้อความนี้อีกที หมายถึงอะไร ยังไง =>


ของอันเดียวกันนั่นแหละ

เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะ ก็พูดไปตามสภาวะ

เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตามสมมุติ อย่าไขว้เขว อย่าสับสนปะปนกัน และต้องมีความเข้าใจสภาวะ

เป็นความรู้เท่าทันรับรองยืนเป็นพื้นอยู่


รูปภาพ


เอาปัญญาเท่าหางอึ่งตอบนะคะ

หมายถึงกระบวนการคิด พิจารณาและเข้าใจหลักธรรมหรือเปล่าคะ
โดยการโยนิโสมนสิการ และ ใช้ปัญญา ประกอบกัน

ผิดถูกอย่างไรรบกวนจารย์เฉลยด้วยนะคะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยคิดต่ออีกหน่อยนะครับ

ในความเข้าใจแม่มด กับ ไบก่อน มนุษย์ หรือคน ทั้งองคาพยบเป็นธรรมชาติไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ช่วยคิดต่ออีกหน่อยนะครับ

ในความเข้าใจแม่มด กับ ไบก่อน มนุษย์ หรือคน ทั้งองคาพยบเป็นธรรมชาติไหม :b1:


:b10:

ก็จิ่...จานป้อ...


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว




.. แค่คำง่ายๆคำหนึ่ง ทำไมมันดูยากจัง ..

เอา MV สวยๆ มาฝากค่ะ
เนื้อเพลงไม่เกี่ยวแต่ก็ตัดไม่ขาด(จริงๆแฮะ)

..................
ก็ต้องวกกลับไปดูความหมายของคำว่า ธรรม แหละค่ะจารย์
ทุกสิ่งอย่างคือ ธรรม
ธรรมมีอยู่ในธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ
มนุษย์ก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน ภายใต้กฎไตรลักษณ์
...
จุจุ..ข้อสอบหรือคะจารย์ (แอบอ่านแอบลอกเค้ามานะคะเนี่ย)

รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร