วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 08:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


น้ำเสียง

ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา
มนุษย์มี ‘อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิต’ ชั้นดีไว้ใช้กัน
แล้วคุณก็ใช้มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อุปกรณ์นั้นก็คือโทรศัพท์นี่เอง!
โทรศัพท์นั่นแหละครับอุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิตได้ชัดกว่าอะไร
เพราะมันส่งเสียงของผู้พูดที่ปลายสายมาเข้าหูคุณเพียวๆ
ไม่ได้ส่งใบหน้ามาด้วย นั่นบังคับให้คุณต้องใช้เพียงประสาทหู
ไม่ถูกประสาทตามาแย่งการรับรู้ไปเหมือนตอนคุยอยู่ต่อหน้า



ถ้าเพียงคุณเป็นคนช่างสังเกต ก็จะทราบเองว่าเสียงจากโทรศัพท์นั้น
ส่งออกมาจากอารมณ์หรือสภาวะทางใจของผู้พูดที่ปลายสายตรงๆ
ไม่ว่ากำลังลงหรือกำลังขึ้น แม้ขณะเขาไม่ได้เปล่งเสียงพูด
ก็มีความรู้สึกขึ้นๆลงๆที่เปล่งออกมาให้คุณสำเหนียกได้ด้วยหู


การฝึกฟัง ‘สัญญาณที่ส่งมาจากจิต’ นั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยครับ
ถ้าไม่สังเกตคุณก็จะนึกว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่อาจสัมผัสรู้
แต่ขอให้ลองเถอะ ครั้งสองครั้งจะทราบเองว่าไม่ต้องมีอิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องมีอภิญญา
คลื่นโทรศัพท์ก็ช่วยพาสัญญาณทางจิต
มาให้สัมผัสได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆแล้ว



เริ่มต้นฝึกก็ให้คุยไปตามปกติเท่าที่เคยคุย มานั่นแหละ
แค่อย่าเอาแต่คิดจะพูด หรือหวังว่าจะให้เขาตอบอย่างใจคุณ
ให้ฟังเสียงเขาด้วยความตั้งใจจะรู้เรื่องตลอด
แล้วสังเกตว่าเมื่อสิ้นเสียงของเขาแต่ละครั้ง
คุณรู้สึกว่าเขากำลังสบายหรืออึดอัด



ความสบายและความอึดอัดเป็นคลื่นทางจิตชนิดหนึ่ง
คุณสัมผัสได้มาตั้งแต่เกิด
แต่คุณถูกหลอกให้เชื่อเฉพาะสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า
เช่น ท่าที สีหน้า และประกายตา หากไม่เห็นตัว
คุณก็นึกว่าคงไม่มีทางรู้ได้ว่าใครกำลังรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์แค่ไหน


ความสุขที่มากับคลื่นจิต จะมีลักษณะให้สัมผัสได้
คือ เบิกบาน เปิดกว้าง สว่างใส ส่วนความทุกข์ที่มากับคลื่นจิต
จะมีลักษณะให้สัมผัสได้ คือ หดหู่ ปิดแคบ มืดหม่น


เมื่อสังเกตและเก็บเกี่ยวลักษณะทางนามธรรมต่างๆไว้ทีละครั้งทีละหน
ในที่สุดคุณจะพบว่าสภาพอารมณ์ของคนมีอยู่มากมายก่ายกอง
แต่ก็จำแนก ได้หลักๆแค่สองอย่างคือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เท่านี้เอง


คนที่กำลังตื่นเต้นปีติกับความรัก
ในอกในใจอาจเหมือนมีน้ำพุแห่งความหรรษาพวยพุ่ง
หรือเหมือนมีทะเลแห่งความปรีดาเอ่อล้น
หากสัมผัสความสุขของคนที่อยู่ปลายสายได้
คุณก็จะเปรียบเทียบได้ด้วยว่าความสุขของฝ่ายใดมากหรือน้อยกว่ากัน


แต่อารมณ์ปกติของคนเราทั่วไปนั้น
ไม่ค่อยจะได้เป็นสุขกันสักเท่าไหร่หรอกครับ เป็นทุกข์เสียมากกว่า
ฉะนั้น ในสนามฝึกจริงคุณน่าจะได้เห็นทุกข์มากกว่าสุข
ซึ่งก็สนุกอยู่ดีถ้าเห็นจริงๆ เริ่มจากอะไรง่ายๆก่อน
เช่น พอเขานึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ จังหวะที่เสียงชะงักค้างไป
คุณจะสัมผัสได้ถึงอาการสะดุด หรืออาการอึ้ง
ตรงนั้นคือตัวอย่างของความรู้สึกอึดอัด กดดัน หรือพยายามเค้น


เมื่อคุ้นกับสภาพของคลื่นจิตง่ายๆทำนองนั้น ให้ฝึกดูต่อไป
อย่างเช่นตอนคนเราโกรธหรือหงุดหงิด จะคล้ายน้ำเดือดปุด
โกรธมากเดือดแรง โกรธน้อยเดือดอ่อนๆ
แต่ถ้าเป็นความเคียดแค้นอาฆาตนี่ คุณจะสัมผัสไปอีกอย่าง
คือเหมือนคลื่นความกดดันขนาดใหญ่ มืดครึ้ม ทะมึน น่ากลัว เป็นต้น


คุณอาจพบว่าช่วงกำลังพูดนั้นคนเราอาจตั้งใจ ดัดเสียงหลอกได้
แต่พอหยุดพูด ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติตามสภาวะของใจจริงๆ
เช่น ถ้าเขาหรือเธออึดอัดไม่อยากพูดด้วย แต่ต้องการรักษาน้ำใจคุณ
ก็อาจพยายามทำเสียงปกติ ซึ่งก็จะมีผลให้จิตเป็นปกติไปด้วย
ต่อเมื่อหยุดพูด คุณจะสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น กดดัน ขุ่นมัว
หรือกระทั่งกระแสความคิดกระวนกระวายไม่สบอารมณ์ อยากวางสายเต็มแก่


การฝึกฟังเสียงจนเห็นเข้าไปถึงจิตจะมีความหมายมาก
คุณจะได้ผลรวม เห็นออกมาเป็นภาพใหญ่ภาพหนึ่ง
ว่าคุยกับเขาหรือเธอแล้วหนักไปทางสุขหรือทางทุกข์ มืดหรือสว่าง
กระจ่างเปิดเผยหรือคลุมเครือหมกเม็ด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
น้ำเสียงของคนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องออกประกายกังวานแบบดีใจล้นเหลือที่ได้คุยกัน
แต่อย่างน้อยต้องสะท้อนถึงความเต็มใจพูดกับคุณ
ทำให้ตัวตนของคุณเท่าเดิมหรือฟูขึ้น ไม่ใช่แฟบลงทุกทีๆ


นอกจากคุณจะรู้ว่าคนๆนี้เป็นคู่สนทนากับคุณ ได้หรือไม่
ยังอาจชัดเจนลึกซึ้งไปถึงขั้นที่ตอบตัวเองถูกเลยทีเดียวครับ
ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สายตา

สายตาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสาร แต่มักถูกละเลยเป็นประจำ
หญิงชายหลายคู่คบกันแทบไม่สบตากัน
ซึ่งนานไปจะเหมือนกับเอาก้อนหินสองก้อนมาตั้งอยู่ใกล้กัน
หาความรู้สึกในกันและกันแทบไม่เจอ


การสบตาแทบจะเป็นศาสตร์ได้ศาสตร์หนึ่ง
มีอะไรในนั้นมากกว่าการเอานัยน์ตาสองคู่มาเล็งแลกัน ขณะพูดคุยนั้น
คนที่พร้อมสื่อสารกับคุณ คือคนที่ยินดีสบตากับคุณ ไม่ใช่คนที่หลบตา


คนเราถ้ายินดีสื่อสารกัน จะประสานตากันได้อย่างสนิทใจ
การสบตาคุยกันในระยะยาว จะทำให้คุณทราบได้ว่ารู้สึกดีกับเขาหรือเธอแค่ไหน
ส่วนลึกของหัวใจเข้ากันได้เพียงใด



คู่ที่ใช่นั้น อย่างน้อยควรมองกันและกันได้เต็มตา
โดยไม่รู้สึกขัดแย้งหรือมีกระแสความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
แม้ในช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกัน
ก็ควรมีชั่วขณะหนึ่งที่มองกันเต็มตาแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคย ไม่เป็นอื่น
นั่นเพราะอำนาจบุญเก่าที่ทำร่วมกันด้วยดี หรือภาวะคู่อันปรองดองในอดีต
น่าจะช่วยตกแต่งกระแสตาให้ประสานกันสนิท เป็นมิตร
และปราศจากความรู้สึกสะดุด



แต่ถ้าคนเราไม่ยินดีสื่อสารกัน การสบตาก็เป็นตัวบอกได้ระดับหนึ่ง
สบกันทีไรมีจุดสะดุด อยากหลบตากัน
หรือบางคู่ที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ปางก่อน แค่สบตาก็ไม่สบอารมณ์ได้
หรือกระทั่งอยากหาเรื่องกันแบบอันธพาลไร้เหตุผลได้


ถ้าผู้ชายสู้ตาผู้หญิงไม่ได้ เหมือนแพ้อำนาจสายตากันอยู่
ทั้งที่เธอก็ไม่ตั้งท่าขู่แต่อย่างใด ก็ขอให้เร่งตระหนักว่า
โอกาสที่จะทำให้เธอเชื่อถือในเวลาต่อมานั้น ก็คงยากครับ


ส่วนผู้ชายที่ทำตัวน่าเกรงขาม
ชอบส่งสายตาสะกดให้ใครต่อใครอยู่ใต้อำนาจนั้น
ถ้าเจอคนที่ใช่จริงๆและเคยทำบุญมาก่อน
อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาก่อน ก็จะเชื่องลง
ไม่มีรังสีข่มขู่หรือผลักดันเหมือนตอนสบตากับคนอื่น


ผู้หญิงที่ไม่ชอบสบตากับผู้ชาย อาจเป็นเพราะขี้อาย
หรืออาจเป็นเพราะมีปมปัญหาทางเพศอันเป็นแผลทางใจ
ถ้าคุณทำให้เธอสบตาด้วยไม่ได้ก็แปลว่ายังพูด
หรือแสดงพฤติกรรมให้เธอไว้ใจไม่ได้
แล้วก็อย่าเพิ่งทึกทักนะครับว่าถ้าผู้หญิงกลัวตาผู้ชาย
หมายความว่าจะไม่แผลงฤทธิ์ในภายหลัง ผู้หญิงที่ขี้กลัวบางคน
บทจะเลือดขึ้นหน้าก็แปลงร่างจากแมวขี้อ้อนเป็นนางเสือดาวเอาได้ดื้อๆ


ส่วนผู้หญิงที่ชอบทำตาดุ บางทีอาจไม่ดุจริง
เธอแค่จะดูว่าคุณเอาเธออยู่ไหม
ส่วนลึกของผู้หญิงที่ชอบทำตาดุจะโหยหาใครบางคนที่มานำเธอได้
และเธอก็ใช้วิธีส่งกระแสตาขู่ฟ่อเป็นเครื่องมือค้นหา
หากคุณพิศวาสเธอจริงๆ ก็ต้องเตรียมตัวไว้ด้วยว่าจะหลุดความเป็นแมนไม่ได้
อ่อนแอให้เธอเห็นไม่ได้ หรืออาจจะกระทั่งเก่งน้อยกว่าเธอก็ไม่ได้ด้วย


ถ้าหากทั้งชายและหญิงมีกำลังสายตาเสมอกัน
ก็อาจสบตาแบบลองกำลังกัน
ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแค่หนสองหนแล้วเลิกราก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาได้
แต่หากสบกันแบบ ‘ประสานงา’ ทุกครั้งไม่เลิก
ก็อาจเป็นลางบอกเหตุได้ว่าอยู่กันไปจะไม่มีใครยอมใคร
ตลอดจนมีสิทธิ์ขยับขึ้นเป็นการทุ่มเถียงเอาแพ้เอาชนะ หรือเอาเป็นเอาตายทีเดียว


สรุปแล้วความสามารถในการคุย หรือแลกเปลี่ยนสื่อสารกันนั้น
บอกอะไรได้มากกว่าที่หลายคนคิด ขอเพียงคุณช่างสังเกต
จะยกเรื่องใดมาเป็นประเด็นสนทนา หรือจะคุยเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ
คุยไปเถอะ คุยมากๆจนกว่าจะรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายจริงๆ
ก็จะใช้เป็นเครื่องมือชี้ว่าใช่หรือไม่ใช่คนของคุณได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความสามารถในการทำเรื่องดีๆร่วมกัน

ที่จะเดินมาแล้วใช่เลยนั้นไม่มี มีแต่ทำอะไรร่วมกันก่อนแล้วค่อยใช่


รักแท้ไม่ได้ฝากไว้ที่กาย แค่เอากายมาผูกติดกันมันจุดได้
แต่ไฟราคะ ส่วนไฟแห่งรักต้องจุดขึ้นด้วยจิต


ขอให้จำไว้แม่นๆว่า รักแท้จะอยู่ คู่กับจิตใจที่สว่างสดใส
เต็มไปด้วยกำลังวังชาและความเคลื่อนไหวที่ร่าเริง



จิตที่สว่างสดใสนั้น เป็นภาวะทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ซึ่งเราเรียกกันมาช้านานว่า ‘กุศลจิต’
กุศลจิตเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เกิดได้ดับได้ไม่ต่างจากเปลวเทียน
เปลวเทียนมีเหตุให้เกิด กุศลจิตก็มีเหตุให้เกิดเช่นกัน
เปลวเทียนดับได้เมื่อหมดเหตุ กุศลจิตก็ดับได้เมื่อหมดเหตุเช่นกัน


ภาวะทางธรรมชาติที่ตรงข้ามกับกุศลจิตคือ ‘อกุศลจิต’
อกุศลจิตคือจิตที่มืดหม่น เกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับเพราะหมดเหตุเช่นกัน
รักแท้ไม่อาจยืนอยู่บนจิตที่มืดหม่น ไร้เรี่ยวแรง
และเต็มไปด้วยความหดหู่เฉื่อยชา



ที่เราพูดกันในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด
ก็มุ่งประเด็นที่ว่าทำอย่างไรจะสร้างเหตุให้เกิดจิตที่สว่างสดใสร่วมกัน
ระหว่างคุณและคนที่คุณรักนั่นเอง


คุณคงเคยได้ยินมานานว่าคู่แท้ที่มาพบและรักกันได้นั้น
ก็ด้วยอำนาจบุญเก่าที่เคยทำร่วมกันมา
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงยอมรับความจริงดังกล่าว
แต่ยังจะจาระไนให้เห็นด้วยว่าทำบุญแบบคู่รักเขาทำกันอย่างไร


ส่วนท้ายของบทนี้ เรามา ‘คัดคน’ กันด้วยความจริงที่ว่า
คนที่ใช่ต้องพร้อมทำเรื่องดีๆร่วมกับคุณ


การทำอะไรดีๆร่วมกันได้ตั้งแต่ต้น
จะมีความหมายมากกว่าให้เกิดความประทับใจในช่วงแรกคบ
คือจะจุดชนวนความสุกใสสว่างให้กับจิตของกันและกันอีกด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความบันเทิงร่วมกัน

เคยลองนั่งคิดดูดีๆไหมครับว่า ‘การอยู่ร่วมกัน’ คืออะไร?


ใจจริงน่ะ คนเราชอบความบันเทิงครับ
มาอยู่ด้วยกันก็หวังความบันเทิงนั่นแหละ
ไม่มีใครอยากอยู่กับคนแปลกหน้าเพราะปรารถนาภาระหนักหรอก


และความบันเทิงร่วมกันระหว่างชายหญิงที่ ธรรมชาติให้มาล่อใจก็คือเซ็กซ์!


นี่แปลว่าเหตุผลง่ายๆของการหาคนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมกัน
คือคุณจะได้มีเซ็กซ์กับเขาหรือเธอได้ทุกวันกระนั้นหรือ?


เอาล่ะ! มามองกันตามจริงให้เห็นเป็นภาพใหญ่กัน
เซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราต้องการหรอก ขนาดบางคู่แทบไม่มีเซ็กซ์กัน
พวกเขายังมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเจิดจรัสกันได้เลย


มนุษย์เราหาคู่เพื่อแก้เหงา และเพื่อทำชีวิตให้เป็นไปตามที่ธรรมชาติสั่งมา
คือ สร้างบ้าน ดูแลบ้าน สร้างลูก ดูแลลูก
ทำไปโดยไม่ต้องสงสัยว่าทำไปทำไม
เพราะไหนๆก็มีชีวิตแล้ว หลีกหนีไม่ได้อยู่แล้วจนกว่าจะตาย


มองอย่างนี้ก็ได้ข้อสรุปว่าคนเราอยู่ร่วมกันไม่ใช่เพื่อเอาตัวมาอยู่ใกล้กัน
แต่เพื่อ ‘ทำอะไรด้วยกัน’ ทว่า ในทางปฏิบัติแล้ว
บางคนประพฤติตนราวกับเชื่อว่าการอยู่ร่วมกันคือการเอาตัวมาอยู่ใกล้กันตามหน้าที่เฉยๆ


การอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริงคือการทำความ รู้จักตัวตนของกันและกัน
ตัวตนของคนเรามีหลายแง่มุม
และคุณจะไม่มีทางรู้จักแต่ละแง่มุมของคนรัก
ผ่านการบอกเล่าว่าเขาหรือเธอทำอะไรเป็นบ้าง
คุณต้องเห็นกับตา ร่วมสนุกด้วยกับตัว จึงจะลงเอยเป็นความ ‘รู้จักกันดี’ จริงๆ



เมื่อคนเรารู้จักกันดี ก็จะยอมรับได้ถูกว่าตรงไหนเข้ากันได้
ตรงไหนเข้ากันไม่ได้ และความรู้จักกันดีนั่นเอง
ทำให้ตกลงกันถูกว่าจะไม่ฝืนใจอยู่กับตัวตนด้านนี้
แต่เลือกไปอยู่กับอีกตัวตนที่เข้ากันได้ของคนรัก



ตัวตนที่เข้ากันได้คืออะไร? คือตัวตนแบบเดียวกัน
เช่น ถ้าคุณเป็นนักเทนนิสด้วยกัน ก็ย่อมไปสู่สนามเทนนิส
เพื่อมีความสุขสนุกสนานกับการหวดแร็กเก็ตร่วมกันได้
แล้วนั่นก็จะทำให้ใจคุณนึกถึงและอยากเจอกันอีกเรื่อยๆ


ตัวตนที่เข้ากันไม่ได้คืออะไร? คือตัวตนคนละแบบ หรือเป็นปฏิปักษ์กัน

เช่น ถ้าคุณผู้ชายชอบตกปลา แต่คุณผู้หญิงเกลียดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
อย่างนี้คงเป็นที่รำคาญของกันและกัน ไม่อาจร่วมกิจกรรมเทือกนี้ด้วยกัน
ซึ่งก็คงไม่ต้องเดานะครับ ถ้ามีใครเข้ามาในชีวิต
แล้วทำให้รู้สึกว่าตัวตนของคุณเป็นสิ่งน่ารำคาญ
คุณคงไม่อยากเจอเขาหรือเธอบ่อยนัก


เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ คุณก็มองหาคนที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้มาก
คือไม่ใช่ทำทุกอย่างได้เหมือนกันหมดนะครับ แต่ขอให้ทำได้มากหน่อย
การเลือกอยู่กับคนที่เข้าขากับคุณได้ในกิจกรรมหลากชนิด
เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่มีสีสันไม่ซ้ำซากจำเจ
ส่วนการเลือกอยู่กับคนที่ทำอะไรร่วมกับคุณได้ยาก
หรือกระทั่งชอบแต่กิจกรรมที่เป็นตรงข้ามกัน
ย่อมเป็นลางบอกเหตุของชีวิตคู่ที่จะค่อยๆเหินห่างกันออกไปวันละคืบวันละศอก


ย้ำว่าสำคัญและจำเป็นครับ อะไรก็ตามที่ทำได้ทั้งคู่
เช่น เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ไปวิ่งออกกำลัง ไปร้องคาราโอเกะ
ไปฟิตเนส ไปเรียนทำขนม ไปเข้าคอร์สโยคะ ฯลฯ
ขอเพียงทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นเป็นดีทั้งนั้น
เพราะถือว่าสามารถทำอะไรเป็นสุขร่วมกันได้แล้ว



อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนนั่นแหละ ร่างกายที่เคลื่อนไหว
และจิตใจที่แช่มชื่น เป็นสิ่งที่รักแท้ชอบ
โดยเฉพาะถ้าร่างกายและจิตใจดังกล่าวได้มาจากการทำกิจกรรมร่วมกัน


ถ้าไม่มีกิจกรรมใดที่ทำร่วมกันได้เลย ก็อย่าเลือกมาเป็นคู่เด็ดขาด
เพราะแปลว่าในส่วนลึกของพวกคุณไม่ได้ต้องการอยู่ร่วมกันแม้แต่น้อย
ถึงขนาดสร้างข้ออ้างว่าทำอะไรง่ายๆด้วยกันไม่ได้เลยสักเรื่องเดียว!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศักยภาพในการทำบุญร่วมกัน

กิจกรรมที่ดีที่สุดในโลกมนุษย์คือการทำบุญ
เพราะการทำบุญด้วยความเลื่อมใสบริสุทธิ์
คือการเพิ่มความสุขให้แก่จิตโดยตรง


จิตที่มีความสุขจากบุญ จะมีความรื่นเริง
เหมือนเข้าร่วมงานฉลองที่น่าเพลินใจยินดี
แต่ที่ดี กว่านั้นคือมีสติรู้ดีรู้ชั่ว เห็นอะไรๆตามจริงได้ถนัดชัดเจน


หมายความว่ายิ่งฐานของบุญหนาแน่นขึ้นเท่าไร
โอกาสที่ใจจะเป็นทุกข์
และโอกาสจะทำอะไรพลั้งพลาด ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น



ผลอันมหัศจรรย์ของบุญที่เห็นได้ทันตามีอยู่
เช่น หากทำบุญด้วยความมีปีติสุข
ต่อให้เป็นคนโง่ทึบก็จะรู้สึกเหมือนฉลาดขึ้นชั่วขณะ
หรือต่อให้กำลังเศร้าจัดแทบอยากฆ่าตัวตาย
ก็จะกลับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดจนอยากมีชีวิตต่อ
ราวมนต์สาปของสิ่งชั่วร้ายคลายลงพักหนึ่ง
กล่าวได้อีกอย่างว่าจิต ที่มีคุณภาพนั่นแหละ
คือผลอันเป็นปัจจุบันแห่งบุญ


ที่พิเศษสำหรับนักเลือกคู่ก็คือ บุญ เป็นเครื่องชี้ได้ว่าพอจะไปกันได้ไหม
ถ้าทำบุญด้วยกันแล้วเป็นสุขทั้งคู่ก็เรียก ‘ไปกันได้’
แต่ถ้าทำบุญด้วยกันแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์
หรือเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย
ก็ควรจะเข้าข่าย ‘ทางใครทางมัน’



ฉะนั้น อาศัยการทำบุญร่วมกันนี่แหละ เป็นหนึ่งในเครื่องมือเลือกคู่
คบใครอยู่ก็ให้ชักชวนไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ ที่ไหนอย่างไรก็ได้
อาจเป็นริมคลองใกล้บ้านเพื่อปล่อยนกปล่อยปลา
อาจเป็นสถานสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสเพื่อทำให้พวกเขามีเสื้อผ้าดีๆใช้สักชุด
หรืออาจเป็นวัดที่มีพระดีเพื่อนำของจำเป็นในการดำรงชีพไปถวายพวกท่าน


ถ้าทำครบวงจร ทั้งสงเคราะห์สัตว์ ทั้งให้ความอนุเคราะห์คนยากไร้
กับทั้งถวายทานแด่สงฆ์ อย่างนี้ไม่กี่ครั้งก็จะรู้ผลแล้วครับ
หากพวกคุณเป็นคู่บุญกันมา
บุญใหม่จะเป็นตัวอย่างให้เข้าใจว่าการจะอยู่กับใครสักคนอย่างมีความรัก
มีความสุข มีความเข้าใจ
ก็ต้องด้วยการร่วมกันทำอะไรดีๆทำนองนี้ และไม่ควรน้อยไปกว่านี้


ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการทำบุญเป็นสิ่งมีอาถรรพณ์
หากเคยร่วมบุญกันไว้มากกว่าร่วมบาป
บุญเก่าจะพยายามรักษาเส้นทางเดิมของตนไว้
โดยช่วยสนับสนุนให้รู้สึกดี
ตลอดจนขจัดปัดเป่าอุปสรรคทั้งมวลในวันทำบุญออกไป
เมื่อทำบุญได้สำเร็จตามความตั้งใจ
จึงบังเกิดความเบิกบานร่วมกันเต็มที่
เป็นกำลังใจให้รู้สึกว่าสามารถร่วมทำอะไรดีๆด้วยกันต่อได้อีก



แต่หากพวกคุณเป็นคู่เวรกันมาก่อน บาป เก่าจะตัดหน้า
มาเป็นมารขวางไม่ให้ได้ทำบุญกันอย่างราบรื่น
โดยอาจแทรกแซงด้วยสารพัดวิธีที่นึกไม่ถึง
และไม่ทันเตรียมตั้งตัวรับได้ถูก
เช่น อยู่ดีๆก็แกล้งดลใจให้หงุดหงิดง้องแง้งใส่กันจนรุ่มร้อนไปหมด
บั่นทอนความเชื่อมั่นว่าจะอยู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง
ไม่กี่ครั้งคุณจะนึกเข็ดขยาดไม่อยากทำบุญด้วยกันอีก
หรือหนักกว่านั้นบางคู่อาจนึกรังเกียจกันและกันไปเลย


ที่รังเกียจก็เพราะความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางทำบุญ
จะปรากฏเสมือนร่องรอยน่าเกลียดบนผ้าขาว
หรือรอยแผลเป็นบนหน้าผากสะอาด ย่อมน่ารังเกียจกว่าปกติ
เพราะถูกขับให้เห็นเด่นชัดเหลือเกิน
ตรงนี้ถ้าคิดในทางดีก็คือบุญ ใหม่ช่วยสงเคราะห์พวกคุณ
โดยการส่งสัญญาณเตือนให้รีบถอยเสียก่อนจะสายเกินกว่านี้


สรุปคือน่าสนับสนุนให้คู่ที่กำลังเริ่มๆดู ใจกัน ไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ
ยิ่งเริ่มทำกันได้เร็วขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้ดำรู้แดงเร็วขึ้นเท่านั้น
ย้ำว่าต้องหลายครั้งนะครับ ดูกันครั้งเดียวไม่พอ
คู่ที่ ‘ทำบุญขึ้น’ จะมีจิตสว่างสดใสไปด้วยกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ปูพื้นยืนของรักแท้ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นทุกทีครับ



ท้ายบท

หวังว่าบทนี้คงลบความคิดเดิมๆ ที่ว่าคู่แท้หมายถึงคนที่ตรงตามสเปค
เจอปุ๊บทุกอย่างลงตัวปั๊บไปหมด
ตรงข้ามคนที่คุณหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเอาให้ได้
แท้จริงอาจเข้ามาเพื่อเล่นเกมจองเวรกันต่อเท่านั้น


เมื่อคุณมีเสน่ห์และเจอคนที่ใช่ ก็แทบประกันได้ตายตัวว่าความรักอยู่ที่นั่นแล้ว
โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือพอความรักอยู่ในมือ
คุณจะรักษาไว้ไม่ให้หลุดหายไปได้อย่างไร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร