ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=30491
หน้า 1 จากทั้งหมด 5

เจ้าของ:  พงพัน [ 31 มี.ค. 2010, 17:39 ]
หัวข้อกระทู้:  มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

ผมว่านะ
คนในบอร์ดความรักเนี่ย
มีสภาวะต่างๆที่น่าพิจารณามากๆหรือในภาษาพระคือวิปัสสนา
โดยที่อาวุธ อุปกรณ์ก็มีกันอยู่แล้วคือกายกับใจ
สิ่งที่ต้องพิจารณาหรือเข้าไปค้นและห้ำหั่นก็คือกายกับใจนี่แหละ
น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากทีเดียวนะครับ

ขอบเขตในการพิจารณา ควรอยู่ในกายใจ(ขันธ์๕)ของเราเอง
อธิบายถึงขันธ์๕
1.รูป=ร่างกายของเรา ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
อวัยวะหรือส่วนที่เป็นของแข็งเป็นธาตุ ดิน
อวัยวะหรือส่วนที่เป็นของเหลว ชุ่มฉ่ำๆเป็นธาตุ น้ำ
ลมหายใจและช่องว่างใหญ่เล็กในร่างกายเป็นธาตุ ลม
อุณหภูมิ ความอบอุ่นในร่างกายเป็นธาตุ ไฟ

2.เวทนา=ความรู้สึกของกายและใจ

3.สัญญา=ความจำในทุกสิ่งอย่าง

4.สังขาร=ความคิดปรุงแต่งทั้งหลายแหล่

5.วิญญาณ=ผู้รับรู้คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

วัฒนธรรมนี้ เป็นการสร้างการมีสติอยู่ในกายใจ(ขันธ์๕)
พิจารณาขันธ์๕สู่ความเป็นไตรลักษณ์
คือเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้ เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวใช่ตน
ให้เห็นลักษณะอาการสภาวะของขันธ์๕ตามความเป็นจริง ในความเป็นไตรลักษณ์นี้
เพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นหนทางแห่งความหลุดพ้น

แล้วนำการพิจารณาสภาวะต่างๆในกายใจ(ขันธ์๕)ของเรา มาเล่าสู่กันฟัง
หลักการที่ดีคือไม่ควรพิจารณาออกนอกขันธ์๕ของเรา
เป็นการช่วยกันสอบอารมณ์ไปในตัวเพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นครับ
นอกเหนือจากการระบายเรื่องราวสู่กันฟังแล้วจะได้ฝึกปรือปัญญาไปในตัวด้วย
ดีไหมหว่า :b12:

หมายเหตุ:การทำสมาธิ ให้แยกกันปฏิบัติในแบบที่ถูกกับจริตของตัวเอง
การมีสมาธิดียิ่งทำให้การพิจารณาชัดมากขึ้น แต่มีสมาธิไม่มากไม่เป็นไร
เพราะธรรมชาติคนเรามีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณามากมาย

เจ้าของ:  Eikewsang [ 31 มี.ค. 2010, 19:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

...

ไฟล์แนป:
lotus-M0.jpg
lotus-M0.jpg [ 76.06 KiB | เปิดดู 6426 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ทักทาย [ 01 เม.ย. 2010, 03:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

อนุโมทนาค่ะ :b8:

เจ้าของ:  อนัตตาธรรม [ 01 เม.ย. 2010, 08:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

tongue
"วัฒนธรรมวิปัสสนา" ชื่อกระทู้นี้ดีจัง น่าจะมาช่วยกันขยายความให้เกิดประโยชน์มากยิ่งๆขึ้น อนุโมทนากับคุณพงพันมากๆครับ

วิปัสสนาภาวนา เป็นสาระสำคัญ แก่นสาร ของพระพุทธศาสนา และเป็นหน้าที่หลักของชาวพุทธเลยที่เดียว
เพราะอะไร
เพราะว่าวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8 นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และนำมาสั่งสอนแก่ชาวโลก เป็นเอกลักษณ์ เป็นหนึ่งเดียวอยู่ในเฉพาะพระพุทธศาสนา ไม่มีสอนในศาสนาอื่นๆ


ถ้าพิจารณาจากโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เราจะได้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปุถุชนคนชั่ว คนไม่รู้ ให้กลับกลายเป็นคนดี เหมือนกับคำสอนในทุกศาสนา เป็น 2 ข้อแรกของโอวาท คือ

1.สัพพปาปัสสะอกรณัง (ละชั่ว)

2.กุสลัสสูปสัมปทา (การทำกุศลให้ถึงพร้อม

ทุกศาสนาในโลกสอนถึงเท่านี้


แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและสอนต่อไปอีกข้อหนึ่งซึ่งไม่มีสอนในศาสนาอื่นคือโอวาทข้อที่ 3

3.สะจิตตะปริโยทะปนัง (การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ)

การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็ใช้ เครื่องมือคือ "วิปัสสนาภาวนา" นี้เองชำระจิต จิตจะขาวรอบเมื่อบรรลุถึง นิพพาน

ดังนั้นวัฒนธรรม หรือความดีงามที่ควรกระทำเป็นประเพณี เป็นวิถีชีวิตของชาวพุทธ ก็คือ การเจริญวิปัสสนาภาวนาให้ได้ในชีวิตประจำวัน ถ้าชาวพุทธคนใดเข้าใจประเด็นและหน้าที่ของชาวฟพุทธเช่นนี้แล้ว นำมาเจริญอยู่ในชีวิตประจำวัน เขาผู้นั้นก็จะได้ยกระดับชีวิตของตนเอง จากความเป็นชาวพุทธเทียม คือเป็นชาวพุทธตามสำเนาทะเบียนบ้าน หรือชาวพุทธประเพณี พิธีกรรม มาสู่ความเป็น "ชาวพุทธแท้" คือผู้มีวัฒนธรรมพุทธ เจริญมรรค 8 หรือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอยู่ในชีวิตประจำวัน

จะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาให้ได้ในชีวิตประจำวัน จะทำอย่างไร ก็ค่อยมาแยกศึกษาเจาะลึกกันลงไปเฉพาะเรื่องกันอีกทีนะครับ (ถ้ามีผู้สนใจอยากรู้)

ไฟล์แนป:
104 KฺB.jpg
104 KฺB.jpg [ 104.08 KiB | เปิดดู 6363 ครั้ง ]

เจ้าของ:  คณิต [ 01 เม.ย. 2010, 08:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

อานุโมทนา ครับ...เป็นงานที่ยิ่งใหญ่....
ผมขอ..อาสาช่วยครับ.............

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 01 เม.ย. 2010, 10:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

อนุโมทนาสาธุค่ะ

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

เจ้าของ:  พงพัน [ 02 เม.ย. 2010, 14:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

อนุโมทนากับทุกท่านที่เห็นด้วยและให้การสนับสนุนครับ :b12:
ความหวังเล็กๆก็คือวัฒนธรรมวิปัสสนาในกลุ่มชนเล็กๆนี้จะแผ่ขยายไปยังกลุ่มชนขนาดใหญ่ขึ้นได้ไม่มากก็คงน้อยแหละ ชัวร์

วัฒนธรรมนี้เป็นสิ่งที่ผมทำมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
อดีตมีการพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกทุกข์ของใจอย่างหนักหน่วง
เวลาผ่านไปก็ยังรู้สึกว่าการปล่อยวางของตัวเองยังไม่ค่อยกระเตื้อง
แต่การยอมรับอารมณ์ทุกข์ของใจมีมากขึ้น
จนมาได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์
ท่านแนะนำให้พิจารณาส่วนประกอบอื่นในขันธ์๕ที่นอกจากเวทนา(อารมณ์)
เมื่อมาพิจารณาขันธ์ทุกตัว ทำให้จิตใจเห็นความเป็นธรรมชาติในกายใจตัวเองได้ครอบคลุม
เข้าใจและยอมรับในธรรมชาติได้มากขึ้นเยอะ การปล่อยวางดีขึ้นครับ

ผมขอประเดิมละกันนะครับ
การพิจารณาตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะนั้นๆ
เมื่อวานซืนเกิดเวทนาซึมๆหมองๆ การทำงานของสัญญาและสังขารทำให้คิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล แต่ก็ไม่ได้ซึมทั้งวัน สังเกตเห็นถึงอารมณ์ซึมที่เกิดดับเกิดดับ แต่ส่วนใหญ่ของอารมณ์ก็จะซึมๆ

เมื่อวานนี้ซึมน้อยลง สังเกตเห็นเวทนาที่กระปรี้กระเปร่าสดชื่น สังขารที่ปรุงแต่งเป็นความคิดถึงก็ยังปรุงเท่าเดิมแต่เวทนาเศร้าซึมมีน้อย พิจารณาความสดชื่นที่เกิดขึ้นมาก็เพิ่มๆลดๆไม่คงที่ บางช่วงเวลาก็เข้าสู่โหมดสภาวะอารมณ์เฉยๆๆๆๆ

วันนี้สัญญาทำงานและสังขารปรุงแต่งต่อให้นึกถึงเว็บธรรมจักร จึงมีการผลักดันให้รูป(ร่างกาย)เปิดเว็บขึ้นมา ขณะอ่านวิญญาณตาก็ทำงาน สัญญาเก่าทำงาน อีกทั้งมีการเพิ่มสัญญาใหม่ๆจากการอ่าน สังขารก็ปรุงแต่งคิดวิเคราะห์และพิมพ์ข้อความลงไป มีเวทนาอิ่มใจที่เห็นคนส่วนนึงอนุโมทนาบุญในการสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนา สังขารปรุงแต่งว่าถ้าวัฒนธรรมนี้เป็นวัฒนธรรมระดับโลกก็คงจะดีไม่น้อย

ขณะการพิจารณา สังขารก็ระลึกว่าผู้ที่พิจารณาก็ไม่มีความเป็นเรา เป็นเพียงสภาวะของขันธ์ที่เข้าไปพิจารณาขันธ์ ซึ่งสิ่งที่ถูกพิจารณาไม่เที่ยงแท้จีรังและผู้ที่เข้าไปพิจารณาก็ไม่เที่ยงเช่นกัน เวลาที่สติหายผู้พิจารณาก็ดับไปแล้ว เกิดสภาวะใหม่ๆของขันธ์ทำงานไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง
พิจารณากายในความมีแต่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นที่ตั้งของขันธ์ทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่หยิบยกเป็นเราได้เลย มีแต่ธาตุๆๆ ไม่น่ายึดมั่นว่าเป็นตัวเราเลย สภาวะของใจต่างๆที่เกิดขึ้นก็เกิดได้เพราะมีกายนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นได้เพราะมีธาตุ๔ เป็นที่ตั้ง ไม่มีอะไรเป็นเรา ไม่มีอะไรยึดไว้ได้ ไม่มีอะไรน่ายึดถือว่าเป็นตัวเราของเราเอาเสียเลย

แล้วคุณล่ะ
วันนี้การวิปัสสนาของคุณเป็นอย่างไร :b12:

เจ้าของ:  นนนน [ 02 เม.ย. 2010, 15:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

ในบางครั้งก็พิจารณาได้ เห็น
แต่บางครั้งก็ต้องขอคำแนะนำจากผู้รู้นะค่ะ
ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

เจ้าของ:  นนนน [ 02 เม.ย. 2010, 15:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

ลองดูนะค่ะ
เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแย่ มองหน้าสามี
สัญญาก็เริ่มทำงาน นี่สามีเราแต่เขาไม่ใช่สามีเราคนเดียว
สังขารก็ร่วมปรุงแต่ง จิตใจเศร้าหมอง (เวทนา)
ไม่นานก็มีน้ำตา ก็เริ่มพิจารณาตัวเอง
รับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง
"เรากำลังเศร้า เสียใจ" มองดูอยู่พักใหญ่
ความรู้สึกนี้ก็หายไปเฉย ๆ (อาจเพราะต้องลุกมาทำอย่างอื่น)
อย่างนี้เรียก เกิดขึ้น ดับไปไหมค่ะ

เจ้าของ:  คิดดี ทำดี พูดดี [ 02 เม.ย. 2010, 16:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

สวัสดีค่ะคุณ พงพัน อนุโมทนาด้วยนะค่ะ :b8:

เจ้าของ:  พงพัน [ 06 เม.ย. 2010, 23:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

นนนน เขียน:
ลองดูนะค่ะ
เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแย่ มองหน้าสามี
สัญญาก็เริ่มทำงาน นี่สามีเราแต่เขาไม่ใช่สามีเราคนเดียว
สังขารก็ร่วมปรุงแต่ง จิตใจเศร้าหมอง (เวทนา)
ไม่นานก็มีน้ำตา ก็เริ่มพิจารณาตัวเอง
รับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง
"เรากำลังเศร้า เสียใจ" มองดูอยู่พักใหญ่
ความรู้สึกนี้ก็หายไปเฉย ๆ (อาจเพราะต้องลุกมาทำอย่างอื่น)
อย่างนี้เรียก เกิดขึ้น ดับไปไหมค่ะ


อนุโมทนาสาธุกับคุณอ้อมากๆเลยครับ
ที่จริงขันธ์ทุกตัว อาการของมันก็เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว
เพียงแต่เราจะเข้าไปเห็นหรือไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์นั้นๆ
ถ้าเห็นอาการใดก็แล้วแต่ของขันธ์ในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนถือว่าโอเคครับ

แล้วความที่มันไม่เที่ยงนั้น น่ายึดมั่นถือมั่นไว้หรือ เราจะยึดไว้หรือ
ถามตัวเองอย่างนี้เพื่อสร้างเหตุให้จิตเค้าวาง จะวางไม่วางก็ช่าง สร้างเหตุไว้ก่อน
เมื่อผลเกิดว่าจิตวางได้มากขึ้น ดีขึ้นเราจะเห็นเอง ถึงตอนนั้นก็ช่างมันอยู่ดีเพราะมันเป็นไตรลักษณ์ด้วยเช่นกัน
หลายๆครั้งอย่าลืมพิจารณาตัวผู้พิจารณาด้วยว่าเป็นเราหรือไม่
ผู้ที่เข้าไปพิจารณาขันธ์๕แต่ละตัวนั้นเป็นใคร มีได้ก็เพราะมีกายไม่ใช่หรือ
แล้วกายนั้นก็เป็นเพียงธาตุ๔มาประชุมกันชั่วคราว แล้วสิ่งที่เกิดจากกายนี้จะเป็นเราแล้วน่ายึดมั่นได้อย่างไร
การพิจารณากายอยู่บ่อยๆก็ดีเหมือนกันครับเพราะกายนี้เป็นที่ตั้งของนามขันธ์ทั้ง๔
เมื่อที่ตั้งนี้เป็นเพียงธาตุ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เราด้วย
แล้วอาการของนามที่เกิดขึ้นได้เพราะมีกายนี้ จะเป็นเราได้อย่างไร

พิจารณาทุกๆขันธ์ของเราให้เห็นถึงสภาวะและอาการของมันสู่ไตรลักษณ์ ความหลงในกายใจนี้จะค่อยๆหนีไปเองครับ

อนุโมทนาบุญกับการวิปัสสนาของทุกๆท่านครับ :b8:

เจ้าของ:  พงพัน [ 06 เม.ย. 2010, 23:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

วันนี้เรามาวิปัสสนาโดยการพิจารณารูปหรือกายของเรานี้กันครับ


เราปฏิบัติเพื่อถอดถอนความยึดมั่นในร่างกายของเรา หรือที่เรียกว่ารูปนี่แหละ
รูปเรานี้ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุ ไฟ
คือเราอาศัยธาตุทั้ง ๔ประชุมรวมกันขึ้นเป็นรูปร่างหน้าตา เป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี แล้วแต่กรรมตกแต่งกันไป
เราอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตาย
แล้วดิน น้ำ ลม ไฟ ของกายเรานี้มันก็ไม่มี มาแต่เดิม
เราแค่อาศัยธาตุทั้ง ๔ มาอยู่ชั่วขณะเท่านั้น แล้วก็ต้องดับไป
คนเราเวลาจะตายนี่ ธาตุลมดับก่อน ต่อมาธาตุไฟจึงดับ
คนตายใหม่ๆตัวยังอุ่นอยู่ พอไปๆธาตุไฟดับตัวจึงเย็น
ต่อมาธาตุน้ำก็ระเหยออกไป ตัวก็ลีบก็แห้ง เหลือแต่ธาตุดินล้วนๆ
สุดท้ายก็สลายกลายเป็นดินตามธรรมชาติ
นี่แหละคือหลักของความจริง

แต่เราไปหลงธาตุกัน ไปหลงดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าเป็นของเรา
จริงๆแล้วมันเป็นแค่ของอาศัย
สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากจากร่างกายนี้ไป

พิจารณาถึงความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายนี้
แล้วจะถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกายได้มากขึ้นครับ

วันนี้คุณวิปัสสนาแล้วหรือยัง :b12:

เจ้าของ:  พงพัน [ 07 เม.ย. 2010, 18:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

วันนี้มาพิจารณานามทั้ง๔ที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีกายเป็นที่ตั้งนะครับ

เมื่อมีรูปอันเกิดจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกันขึ้นมาเป็นเรา
เวทนาจึงเกิดตามมา เวทนาก็คือความสุข ความทุกข์ ความนึ่งเฉย
แล้วก็มีสัญญาตามมาสัญญาคือความจำ จำรูป รส กลิ่น เสียง จำเรื่องราวต่างๆ นี่เรียกว่าสัญญา
สังขารคือความคิดปรุงแต่ง คิดดี คิดชั่ว คิดเรื่องราวต่างๆนี่เราอาศัยสังขารเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับสัญญา
ส่วนวิญญาณคือความรับรู้รับทราบ วิญญาณนี่รู้ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ทำงานร่วมกันกับตัวสัญญาและสังขาร
เพราะฉะนั้น หากว่าเราไม่มีกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่มีขึ้นมา

เราเกิดมาแล้วเราไม่เคยไปแยกสภาวะของเขา
แยกดิน น้ำ ลม ไฟ ออกเป็นกอง
แยกเวทนา แยกสัญญา แยกสังขาร แยกวิญญาณ
เราจึงไปหลงว่าเป็นก้อน เป็นตัวเป็นตน คิดว่าเราเป็นผู้รู้ คิดว่าเราเป็นผู้เข้าใจ
เราจึงต้องพา “การรู้ ” นี่ ไปเวียนว่ายตายเกิด
ก็ในเมื่อกายนี้ไม่ใช่ของเรา ตามความเป็นจริงโดยความเป็นธาตุ
แล้วตัวผู้รู้ ตัวผู้เข้าใจ ที่เราอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าไปรู้นี่จะเป็นของเราได้อย่างไร

ตัวรู้นี่เป็นสมมติเกิดมาพร้อมกับกาย เป็นของชั่วคราว
เราไปหลงตัวรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำลายความยึดมั่นในกายเสียได้ เราก็มาทำลายตัวผู้รู้อีกที
โดยการพิจารณาว่ามันเป็นไตรลักษณ์หรือไม่ เป็นเราหรือไม่


เจ้าของ:  พงพัน [ 08 เม.ย. 2010, 14:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

วันนี้มาพิจารณากายในความเป็นธาตุ๔ กันครับ

สุขที่แท้จริงก็อยู่ในกายของเรานี่เอง จะพ้นทุกข์ก็พ้นที่กายของเรานี่เอง
กายของเราคือบ้าน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นอยู่นอกบ้าน
เราดึงเอาความพอใจ ไม่พอใจ มาไว้ในบ้านทั้งๆที่เป็นของภายนอก
พิจารณาให้ถ่องแท้ กายของเราประกอบด้วยธาตุ ๔ นั้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
๑. ดิน คือ ร่างกายของเรา อาหารที่เราและสัตว์กินเข้าไป พืช ผักผลไม้
ที่ออกมาจากลำต้นนั้น เค้าก็กินอาหารแร่ธาตุจากดิน
เมื่อต้นไม้ตายแล้วก็แปรสภาพเป็นหินเป็นดินเช่นเดิม
แล้วมีอะไรที่เป็นของเราดินจึงเป็นแค่ธาตุอาศัยเท่านั้น
๒. น้ำ ที่เราดื่มกินเข้าไป ก็น้ำมาจากธรรมชาตินั้นเอง กินเข้าแล้วถ่ายออก
หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่อย่างนี้ น้ำจึงเป็นธาตุอาศัยเหมือนกันกับดิน
๓. ลม อากาศที่สูดเข้ามา หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย
สูญสลาย เกิดดับอยู่อย่างนั้น
๔. ไฟ เวลามีลมเข้า-ลมออก การเผาผลาญอาหารในร่างกาย
อากาศไปฟอกในปอด ส่งเลือดไปสู่หัวใจและร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นนั่นก็คือธาตุไฟ

แล้วเราอยู่ตรงไหน
เป็นเราก็จริง แต่เป็นโดยสมมติเท่านั้น เป็นโดยชั่วคราว
เราเป็นขี้ข้าของกายนี้อยู่ตลอด เปลี่ยนอริยาบถก็เพื่อแก้ความทุกข์
จริงๆเราไม่เคยมีความสุขเลย เราแค่พยายามแก้ความทุกข์เท่านั้น
เราแค่ยึด ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าเป็นเราเท่านั้น
สุข-ทุกข์ มันคือตัวเดียวกัน ละสุขได้ ความทุกข์ทั้งหลายจะดับตาม

เจ้าของ:  นนนน [ 08 เม.ย. 2010, 14:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มาสร้างวัฒนธรรมวิปัสสนากันดีมั้ย

อนุโมทนา กับการบรรยายให้เห็นภาพ
การวิปัสสนาจากกายและขันธ์
ไม่เที่ยง สาธุ สาธุ

หน้า 1 จากทั้งหมด 5 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/