ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความรักในอุดมคติ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=29778 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 17 |
เจ้าของ: | พงพัน [ 26 ก.พ. 2010, 16:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความรักในอุดมคติ |
ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาสำหรับพูดคุยเรื่อง ความรักในอุดมคติโดยเฉพาะครับ และนำเสนอเรื่องราวความรักในอุดมคติของตัวเอง(อาจออกแนวชู้สาวเล็กน้อย) บางท่านอาจจะได้ข้อคิดบ้างไม่มากก็น้อย ใครมีอุดมคติเรื่องความรักกันอย่างไรก็นำมาพูดคุยกันบ้างนะครับ พอดีเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่างคุณทักทาย ก่อนนี้คิดว่าคงต้องมีคนแบบนี้อยู่บ้าง (คนที่คิดที่จะรักโดยไม่หวังผล เบาบางจากความทุกข์ ความร้อนรุ่มในจิตใจ) แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอได้สนทนา พอมาเจอจึงรู้สึกสะกิดใจ ปิ๊งไอเดียว่า แนวทางความรักแบบนี้ก็เป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นได้นี่นา แต่ต้องใช้วิจารณญาณในการสนทนานะครับ เพราะแต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกัน บุญกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกัน ย่อมจะทำให้ชีวิตหรือเรื่องราวความรักไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน นิยามความรักหรือความรักในอุดมคติของผมนั้น ต้องเป็นรักที่ใกล้เคียงพรหมวิหาร ๔ ที่สุด จึงจะถือว่านั่นคือ "ความรัก" เมื่อตอนที่กิเลสหนา บังตา บังใจ ก็คิดไปว่า ความรู้สึก อยากได้ใคร่มีจากอีกฝ่ายหนึ่ง ความเจ็บปวดที่เกิดจากความสัมพันธ์หรือผูกพันกับใครคนหนึ่ง เป็นผลจากความรักที่เรามีต่อเขา ยิ่งรักยิ่งเจ็บ ยิ่งห่วงยิ่งทุกข์ทรมาณ ![]() เราทำสิ่งดีๆในชีวิตมาตลอด ทำไมถึงต้องมาได้รับผลกรรมเช่นนี้ ![]() ![]() ![]() ยิ่งถามว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาณยิ่งทวีความรุนแรงเป็นทวีคูณ ![]() คิดว่าความรู้สึกเหล่านี้มันคงจะใกล้เคียงคำว่านรกมากที่สุดแล้ว ![]() แต่ก็ไม่ยอมออกมาจากชีวิตเขา ทนอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นเพียงเพื่อจะมีเขาอยู่ในชีวิต ![]() สิ่งที่เราคิดว่าความรักแบบนี้เจ็บปวดอย่างยิ่ง ไม่ควรแนะนำใครให้เจริญรอยตามเรา อันที่จริงแล้ว เราสามารถเห็นความเบิกบานของความรักเช่นนี้ได้ ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ระทมอย่างหนักกับการไม่ยอมจากคนเพียงคนเดียวไป ที่พูดอย่างนี้ได้อย่างเต็มปาก ก็เพราะตัวเองเห็นและสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ ความอ่อนโยนของรูปแบบความรักเช่นนี้ หลังจากที่พิจารณาความทุกข์ทรมาณในความรักมานาน การที่ได้พิจารณาตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงรู้สัจธรรมความรักที่เราปารถนาที่จะรู้เป็นอย่างมากในตอนแรก และได้รู้สัจธรรมของธรรมชาติทั้งปวงที่ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ จนเรื่องความรักของเราไม่ใกล้เคียงเศษเสี้ยวผงธุลีของผลพลอยได้ที่เราได้รับนี้เสียอีก ถึงตอนนี้ ความรักในรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ ที่เราคิดว่าทนทุกข์กับมันมาตลอด กลับกลายเป็นรูปแบบความรักที่เราสามารถเบิกบานใจได้ อิ่มเอมใจได้ ![]() รู้สึกดีอย่างอธิบายออกมาเป็นคำพูดแทบไม่ได้ ![]() ![]() มันไม่ใช่ความสุข แต่มันเป็นความรัก ความผูกพัน และสิ่งดีๆที่มอบให้เสมอ โดยปราศจากตัวเราของเรา ![]() จะเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอุดมคติความรักของเราที่ตั้งไว้แล้วหรือเปล่านะ ![]() คำแนะนำสำหรับความรักไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็แล้วแต่ครับ การวิ่งหนีความทุกข์เพื่อจะหาความสุขใหม่ๆของชีวิตไม่ใช่หนทางที่พ้นทุกข์ได้อย่างแน่ แต่ยังจะเป็นการเริ่มต้นความทุกข์ตัวใหม่ๆทั้งสิ้น การดำเนินการเจริญสติและวิปัสสนาตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ต่างหาก จึงจะสามารถไปสู่ความพ้นทุกข์ เห็นนิโรธตามหลักอริยสัจ๔ ได้อย่างแท้จริง การไขว้คว้าหาความสุขจากความรักหรือสิ่งใดๆ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดหรือจุดหมายปลายทางของชีวิต แต่เป็นการที่จะสามารถพ้นทุกข์ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ต่างหาก สุดท้ายมาจบด้วยธรรมะได้ยังไงก็ไม่ทราบ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 27 ก.พ. 2010, 05:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก "รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... ![]() จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย ![]() คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า? ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก "รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ ![]() เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก ![]() แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน ![]() ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์ มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?.. เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร.... ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... ![]() อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน? พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที ![]() ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่ ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น.. และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา... เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข......... ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... ![]() นี่คือความรักของทักทายค่ะ |
เจ้าของ: | พงพัน [ 27 ก.พ. 2010, 16:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก "รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... ![]() อ้อ ต่างจากผมครับ ที่ตั้งเป้าหมายไว้ ระหว่างทาง ถอดใจบ่อยมาก คิดว่าทำไม่ได้แน่ๆแล้ว มันยากเกินกำลังของปุถุชนคนนึงจะทนไหว มันเป็นความรู้สึกของตัวตนอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้ว ผลกรรมยึดเหนี่ยวและเหตุการณ์พามาเหมือนกัน มารู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว เราทำได้นี่นา" ![]() taktay เขียน: จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย ![]() ถ้ามาจุดที่ถูกทางแล้ว เป็นพลังอย่างมากครับ แต่กว่าจะมาถึงก็บั่นทอนพลังไปเยอะเหมือนกัน ![]() taktay เขียน: คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า? ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น รักที่ทุกข์ คือรักที่ปนไปด้วยกิเลส ตัณหา รักที่ไม่ทำให้ทุกข์คือรักที่ปราศจากกิเลส ตัณหา ![]() taktay เขียน: คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก "รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ ![]() ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้ ![]() taktay เขียน: เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก ![]() ภาษาพระก็คงจะเป็น ภวตัณหา และ วิภวตัณหา การจะทำลายตัณหานั้นให้สิ้นก็ต้องอาศัยวิปัสสนาอีกนั่นแหละ taktay เขียน: แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน ![]() ตัวเราของเราทั้งนั้น ![]() taktay เขียน: ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์ มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?.. เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร.... ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... ![]() สุดยอดเลยครับ เยี่ยมจริงๆ ![]() แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ยึดไว้ไม่ได้เช่นกัน ทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น taktay เขียน: อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน? พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที ![]() แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากตรงนั้นแหละครับ แต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้ ![]() taktay เขียน: ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่ ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น.. และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา... เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข......... ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... ![]() ก็อย่างว่าแหละครับว่าแต่ละคนสร้างปัจจัยมาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นคนที่ฝ่าฟันความทุกข์ทนในความรักจนได้พบกับความรู้สึกที่อิ่มเอมเช่นนี้อย่างคุณทักทาย คงจะมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว แต่ในปัจจุบันเท่าที่เห็นนี่ก็ พอกิเลสไม่สมดุลกันก็เลิกกันไปทั้งนั้น หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้ แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ ก็ไม่ทราบว่าจะต้องสร้างบารมีมาขนาดไหน จึงจะสามารถใช้ความทุกข์เป็นบันไดให้เกิดปัญญาอย่างคุณทักทายได้ แต่ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ถึงจะทราบหรือไม่ทราบอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นมาแล้ว ผู้ที่รักตัวเองอย่างแท้จริง อย่างถูกทางจริงๆ ก็ควรที่จะนำพาตนเองเข้ามาสู่เส้นทางธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าได้นำทางไว้แล้ว แล้วจะรู้ว่าสิ่งประเสริฐที่สุดในสรรพสิ่งทั้งปวง ก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง วกเข้าธรรมะอีกแล้ว ![]() |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 28 ก.พ. 2010, 07:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อ้างคำพูด: ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้ อนุโมทนาค่ะคุณพงพัน ที่แนะนำให้เพื่อนๆหนึทุกข์ ด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่วิเศษที่สุด ให้ผลระยะยาวด้วยค่ะ ![]() เริ่มเข้าปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราวประมาณปี 37 ราวกับจะรู้ว่า...ในอนาคตอันไม่ไกลนี้...จะเป็นยารักษา ที่จะต้องได้ใช้แน่นอน.. หลังจากนั้นก็กระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทิ้ง...ยิ่งมีทุกข์มากก็ยิ่งเข้าหาธรรมะ...ถึงจะไม่มี สติพอที่จะปฏิบัติกรรมฐาน...ก็จะฟังเทศน์บ้าง หาหนังสือ เกี่ยวกับธรรมะมาอ่าน หรือสวดมนต์บ้าง ทำบุญถวาย สังฆทานบ้าง ตามแต่โอกาส ![]() แล้วก็เริ่มรู้จักว่าตอนนี้เราทุกข์นะ...เราทุกข์เพราะอะไร?.... อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนี้?.....เราควรจะ ทำอย่างไร?...ให้ทุกข์ที่เราเป็นอยุ่นี้มันทุเลาเบาบางลง ก็พอจะแยกออกได้...พอมีปัญหา..จะค่อยๆแยกได้ เป็นส่วนๆ...แบบอัตโนมัติเลย...จะทุกข์ก็ไม่กลัว ถึงไม่ทำอะไร?...เดี๋ยวมันก็จากเราไปเอง...ถ้าสุข ก็ไม่ดีใจมาก...เพราะเดี๋ยวมันก็ไปอีกเหมือนกัน.... ![]() ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้ ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... ![]() อ้างคำพูด: แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ยึดไว้ไม่ได้เช่นกันทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก ![]() อ้างคำพูด: แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากตรงนั้นแหละครับแต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้ ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว ![]() ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด ![]() อ้างคำพูด: หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้ แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย ![]() กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้.. และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม... ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต... พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ ![]() สาธุ...เจริญในธรรม ![]() |
เจ้าของ: | อู๋เฮง [ 28 ก.พ. 2010, 08:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
![]() |
เจ้าของ: | พงพัน [ 02 มี.ค. 2010, 15:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้ ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... ![]() ที่ว่าคงไม่ไปถึงไหนคงไม่ใช่หรอกครับ สภาวะที่คุณทักทายมีอยู่ สัมผัสอยู่นั้นไม่ใช่สภาวะที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆกับคนทุกคน ถ้าไม่ได้ฝึกวิปัสสนามาบ้าง จะไม่มีทางคิดหรือรู้สึกเช่นนี้ได้ ไม่ไกลแล้วล่ะครับคุณทักทาย ถ้าคุณทักทายปารถนาการหลุดพ้นจากการเกิดอีก ถ้าให้ผมแนะนำต่อไป ก็ควรพิจารณาขันธ์๕ของเราให้ละเอียด น้อมสู่ไตรลักษณ์ และถามตัวเองว่าควรจะยึดมั่นถือมั่นอีกหรือ ขันธ์๕นี้เป็นของใคร เมื่อมันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดดับ ไม่มีตัวเราของเรา แล้วเรายึดอะไร และผู้ที่ถามว่าเรายึดอะไร ก็เกิดดับเช่นกัน ควรยึดไว้หรือไม่ สถานที่ปฏิบัติ โอกาสและเวลาในการปฏิบัติ อยู่กับเราตลอดเวลาครับ สถานที่ที่เหมาะที่สุด ที่ดีที่สุดก็คือกายและใจของเรานี่แหละครับ ทุกข์ก็ทุกข์ที่กายและใจ จะพ้นทุกข์ได้ก็ที่กายและใจเรานี่แหละครับ ไม่ใช่ที่ไหนเลย taktay เขียน: คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก ![]() ถูกแล้วล่ะครับที่ปล่อยไปตามธรรมชาติ ลองศึกษาขันธ์๕ ของเราให้ละเอียดอีกนิด แล้วถามตัวเองว่า ใครเป็นผู้ดู ใครเป็นผู้รู้(มันคือวิญญาณขันธ์ ในขันธ์๕) ผู้ดูผู้รู้นี้มันก็ไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ ควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรือไม่ taktay เขียน: ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว ![]() ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด ![]() เหตุการณ์เหมือนกันแต่ทุกข์มากน้อยต่างกัน มันเป็นความแรงของผลกรรมแต่ละคนที่ทำกรรมมาหนักเบาไม่เท่ากันครับ จึงไม่สามารถจะตัดสินให้กันได้เลยว่าควรทุกข์มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำเหมือนกันได้คือพิจารณาความเป็นธรรมชาติของทุกข์และไม่ทุกข์ไปกับทุกข์ ฝาแฝดของเรามันไม่เที่ยง ตัวเรามันก็ไม่เที่ยง เพราะที่จริงแล้วมันก็ไม่มีเรา ตัวเราหรือฝาแฝดของเราจึงเป็นสภาวะเหมือนๆกัน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน taktay เขียน: พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย ![]() กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้.. และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม... ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต... พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ ![]() สาธุ...เจริญในธรรม ![]() การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้ ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง จากการพิจารณาตามที่ผมบอก ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 03 มี.ค. 2010, 10:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
พงพัน เขียน: การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้ ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง จากการพิจารณาตามที่ผมบอก ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ อนุโมทนา สาธุ กับคำแนะนำค่ะ จะพยายามพิจารณาตามนี้..ให้ได้นะค่ะ บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็ เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่? ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อน หากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ..... ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ ![]() เจริญในธรรม ![]() |
เจ้าของ: | kanalove [ 03 มี.ค. 2010, 12:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ความรักนั้น... สุดท้าย ท้ายที่สุด ก็เหลือเพียงแค่ตัวเรา.... ความรัก สามารถเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด และก็สามารถ ที่จะโบยบินจากไปโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน ดังนั้นสุดท้ายคนที่เหลืออยุ่ของความรัก ก็คือตัวเรา นั้นเอง ต่อให้เรารักเขามากแค่ไหน หากถึงเวลาต้องจากกัน ไม่ว่าใครก็คงรั้งเอาไว้ไม่ได้ มีพบ มีพราก มีลาจากกันในบั้นปลาย คงเหลือได้เพียงแค่ความทรงจำดีๆที่เก็บไว้ พอตายจากกันก็หายไป... เริ่มภพชาติใหม่กับคนอื่น.... สุดท้ายแล้วคงไม่พ้น ที่เราจะต้อง "รักตัวเอง" |
เจ้าของ: | พงพัน [ 06 มี.ค. 2010, 21:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ขออภัยนะครับที่ตอบรับช้า อ่านดูแล้ว ขออนุญาตแนะนำคุณทักทายเท่าความรู้ที่ผมมีนะครับ taktay เขียน: บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็ เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่? ผมจะย้ำเสมอว่า การพิจารณา อย่าหนีไปจากขันธ์๕ จะรู้ก็ควรรู้อยู่ในขันธ์๕ของเรา จะเข้าใจก็ควรเข้าใจอยู่ในขันธ์๕ของเรา การก้าวใหม่ก็ควรเริ่มที่ขันธ์๕ของเรา และที่ติดอยู่ก็ติดในขันธ์๕ของเรานี่แหละครับ เข้าใจก็ไม่เที่ยง ไม่เข้าใจก็ไม่เที่ยง รู้ก็ไม่เที่ยง ไม่รู้ก็ไม่เที่ยง สว่างก็ไม่เที่ยง มืดก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างล้วนเป็นความไม่เที่ยง (คุณทักทายพิจารณามานานพอสมควรถ้าพูดแบบนี้อาจจะพอเข้าใจในไตรลักษณ์มากขึ้น) การจะหลุดออกจากความไม่เที่ยงนี้ ก็ต้องพิจารณาในขันธ์๕ของเราดูว่า ใครเป็นผู้เข้าใจ ใครเป็นผู้ไม่เข้าใจ ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ไม่รู้ ใครเป็นผู้สว่าง ใครเป็นผู้มืด ลองถามตัวเองและหาดูว่ามันเป็นใคร และใครที่เราหาอยู่นี้มันเที่ยงหรือไม่ แล้วผู้ที่เข้าไปหามันเที่ยงหรือไม่ ไม่ต้องเร่งนะครับ ค่อยๆพิจารณาไปก็ได้ แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ taktay เขียน: ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อนหากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ..... ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ ![]() เจริญในธรรม ![]() อนุโมทนาบุญด้วยครับ ![]() |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 07 มี.ค. 2010, 00:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อ้างคำพูด: แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว... จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | พงพัน [ 07 มี.ค. 2010, 23:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: อ้างคำพูด: แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว... จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ ![]() สาธุ สาธุ สาธุ ![]() |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 07 มี.ค. 2010, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ขอให้ทุกคนโชคดีในความรัก ![]() มีลูกตามคิด ชีวิตมีสูข จาก ไบรวู๊ด มากาเร้ต ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา นตฺถิ กามา ปรํ ทุกฺขํ เย กาเม ปฏิเสวนฺติ นิรยนฺเต อุปปชฺชเร. กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก ทุกข์อันยิ่งกว่ากามไม่มี ผู้ใดส้องเสพกาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก. (โพธิสตฺต) ขุ. ชา. เอกาทสก. ๒๗/๓๑๕. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส เอตฺถายํ สชฺชเต ปชา ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺจ ตํ สินานมโนทกํ. หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ ประชาชนนี้ข้องอยู่ในหญิงนี้ ตบะและพรหมจรรย์เป็นเครื่องอาบ ไม่ใช่น้ำ. (พุทฺธ) สํ. ส. ๑๕/๕๒. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปาโย หิ ปาปโก. การไม่เห็นสิ่งที่รักเป็นทุกข์ และการเห็นสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ เหตุนั้น จึงไม่ควรทำอะไรให้เป็นที่รัก เพราะความพรากจากสิ่งที่รัก เป็นการทราม. (พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๔๓. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 17 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |