ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

คู่รัก คู่บารมี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=27487
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:22 ]
หัวข้อกระทู้:  คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ


พระนางพิมพาและพระโพธิสัตว์นั้น ทรงเกิดมาเป็นคู่รักและเป็นคู่ครองกันมานับอเนกอนันต์ชาติ ผ่านความสุขและทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มาด้วยกันมากมายนับชาติไม่ถ้วน มีพบมีพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อใดที่ได้เกิดมาร่วมกัน ก็ส่งเสริมกันในการสร้างสมบุญบารมีโดยไม่ย่อท้อด้วยจิตที่เสมอกัน มีความผูกพัน ไม่โกรธไม่เคือง ไม่มีแม้เพียงสายตาที่ทอดดูกันด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองได้เป็นคู่ครองกันมาจนถึงชาติอันเป็นที่สุด ซึ่งพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และพระนางพิมพาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นับว่าทั้งสองพระองค์เป็น คู่บารมี กันอย่างแท้จริง

เหตุชักนำให้หญิงชายมีใจรักกัน..

ก่อนที่หญิงชายจะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน เป็นคู่บุญบารมีกันได้นั้น ต้องผ่านความรู้สึกและความผูกพันด้วยความรักกันมาก่อน
แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเล่า ..

บางคนบางคู่ เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็หลงรักกัน
บางคนบางคู่ รู้จักศึกษานิสัยใจคอกันพอสมควร จึงเกิดความรัก
บางคนบางคู่ ได้เกื้อหนุนจุนเจือกัน นานไปก็เกิดเป็นความรัก
บางคนบางคู่ สนิทสนมกลมเกลียวเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กแต่น้อย แล้วจึงค่อยแปรเปลี่ยน เป็นความรักเมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
บางคนบางคู่ ได้สมหวังในความรัก ขณะที่บางคู่กลับต้องเลิกรา
บางคน ได้แต่หลงรักเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เคยมีใจรักตอบ
บางคน เขามาชอบ พยายามทอดสะพานให้เรา แต่กลับไม่สนใจ..
ขณะที่บางคน ทั้งชีวิตกลับเงียบเหงา ไม่เคยมีลมรักพัดผ่านมาให้ชื่นใจเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว
ดูแล้วความรักของหญิงชายนี้ช่างวุ่นวายนัก จนน่าสงสัยว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้หญิงชายมารักกัน หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้หญิงชายนั้นไม่รักกัน
มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าเรื่องความรักของหญิงชาย ปรากฎในสาเกตชาดกที่ ๗ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส"

พระพุทธองค์จึงทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ ดังนี้
"ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ น้ำและเปือกตม ฉะนั้น"


ในพระอรรถกถาพระไตรปิฎกขยายความว่า ความรักของหญิงชายนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุสองประการ คือ
๑. การได้เคยอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน เคยเป็นมารดาบิดา ธิดาบุตร พี่น้องชาย พี่น้องหญิง สามีภรรยา หรือเคยเป็นมิตรสหายกัน เคยอยู่ร่วมเคียงกันมา ความรักความผูกพันนั้นย่อมไม่ละ คงติดตามไปแม้ในภพอื่น
๒. ความเกื้อกูลช่วยเหลือกันในชาติปัจจุบัน
ความรักย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุสองประการนี้

สารพัดคู่

หญิงชายที่รักกัน และมีความสัมพันธ์กัน เรียกว่าเป็นคู่กัน ลักษณะการเป็นคู่ของหญิงชายนั้นมีได้หลายแบบ คือ
:b48: คู่รัก ได้แก่คู่หญิงชายที่มีใจรักสมัครสมาน ปฏิบัติต่อกันในฐานะคู่รัก แต่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน
:b48: คู่ครอง คือ หญิงชายที่ได้ตกลงอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันในชาติภพปัจจุบัน
เนื้อคู่ คือ หญิงชายที่เคยเป็นคู่ครองกันมาในอดีตชาติ แต่ในชาติภพปัจจุบันอาจเป็นหรือไม่ได้เป็นคู่ครองกันก็ได้
:b48: คู่แท้ คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กัน เคยอยู่ร่วมกันในอดีตมามากกว่าคนอื่นๆ หญิงชายแต่ละคนอาจมีคู่แท้ได้หลายคน และเช่นเดียวกับเนื้อคู่ คือ คู่แท้อาจจะไม่ได้เป็นคู่ครองกันในชาติปัจจุบันก็ได้ หากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มาเกิดร่วมกัน หรือทั้งสองฝ่ายมีวิบากจากถูกอกุศลกรรมมาตัดรอน
:b48: คู่เวรคู่กรรม คือ หญิงชายที่ได้เป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเหตุที่ทำให้ต้องมาครองคู่กันนั้นเกิดจากเคยทำอกุศลกรรมร่วมกันไว้ในอดีต จึงต้องมารับวิบากกรรมร่วมกัน หรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อนในอดีต จึงต้องมาอยู่ร่วมกันเพื่อแก้แค้นกันตามแรงพยาบาทนั้น คู่ประเภทนี้มักจะมีเหตุให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดอกขัดใจกัน อยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์และเดือดร้อน หาความสุขไม่ได้
:b48: คู่บารมี คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กัน เคยอยู่เป็นคู่ครองกันมากมากกว่าคู่อื่น และมีความตั้งใจที่จะเกื้อหนุนเป็นคู่ครองกันไป จนกว่าคู่ของตนจะได้สำเร็จในธรรมที่ปรารถนา ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ดังเช่นคู่ของพระโพธิสัตว์กับพระนางพิมพา

การปฏิตนเพื่อให้เป็นคู่ครองที่มีความสุข

หญิงและชายที่รักกัน คงปรารถนาที่จะให้คนรักของตนเป็นเนื้อคู่ที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน และคงอยากให้ความรักของตนมีแต่ความสุขตลอดไป แต่ความปรารถนาเช่นนี้ใช่ว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในทุกคู่รัก เพราะบางคู่อาจมีการพลัดพราก ความรักจืดจาง จากหวานกลายเป็นขม บางคู่แม้จะยังรักกัน แต่การทำมาหากินกลับฝืดเคือง ชีวิตมีแต่อุปสรรค เหล่านี้ล้วนแต่เป็นทุกข์ที่เกิดเพราะความรัก เป็นวิบากที่เกิดจากอกุศลกรรมเก่าทั้งสิ้น
หากหญิงและชายปรารถนาที่จะมีความรักและชีวิตที่ครอบครัวที่เป็นสุข จะต้องเป็นผู้ไม่สร้างอกุศลกรรม ดังนี้
๑. มีความมั่นคงในคู่ครองของตน ไม่เจ้าชู้หลายใจ ไม่ทำให้คู่ของตนผิดหวังชอกช้ำใจ โดยเฉพาะต้องมีสติมั่นคงเมื่อได้มีโอกาสได้พบกับเนื้อคู่คนอื่นๆ ที่อาจผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งการได้เคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อนอาจทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
๒. ไม่เป็นเหตุให้คู่ครองเขาต้องแตกแยกด้วยความอิจฉา ริษยา
๓. ไม่ล่วงศีลข้อ ๓
๔. ไม่ปรามาสพระอรหันต์ ดังหลักฐานปรากฎในพระไตรปิฎกว่าคนที่ปรามาสพระอรหันต์หญิงมักได้รับเศษกรรมในเรื่องของคู่ครอง

สัญญานคู่แท้

เนื่องจากคู่แท้ คือ คนที่เป็นเนื้อคู่กันมานานแสนนาน ความรักความผูกพันข้ามภพชาติจึงมีมากเหนือคู่แบบอื่น และอาจมีอธิษฐานร่วมกันมาแล้วในอดีตชาติ จึงพอจะสังเกตได้ว่าใครเป็นคู่แท้คู่บารมี
ลักษณะอาการที่แสดงเมื่อคู่บารมีมาพบกัน เช่น
เมื่อแรกพบก็รู้สึกคุ้นเคย อาจจำกันได้ อาจจะไม่รู้สึกว่ารักตั้งแต่แรกพบ แต่มีรู้สึกว่าผูกพันกันมากกว่า
ไม่ว่าทำสิ่งใดก็มักคล้อยตามกัน มีความคิดลงรอยกันมากกว่าปกติ
แม้อยู่ห่างไกลกัน ต่างจังหวัด ต่างบ้านต่างเมือง ก็มีเหตุชักนำให้ได้มาพบกันแบบแปลกๆ ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยเหตุบังเอิญ หรือแม้แต่มีผู้ใหญ่จัดสรรให้ได้พบกันก็มี
หากมีกรรมพลัดพรากเป็นเหตุให้ทั้งคู่ยังไม่ได้พบกัน อีกฝ่ายจะมีความรู้สึกเหมือนรอคอยใครสักคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แม้มีหญิงชายมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ไม่ได้มีจิตคิดผูกพันกับใครอย่างจริงจัง อาจมีบ้างที่มีรักมีสัมพันธ์กับใครไปก่อน แต่มักมีเหตุให้เลิกราหย่าร้างกันไปด้วยจิตใจที่รอคอยใครสักคนที่เป็นคู่แท้ของตน
และหากได้พบกับคู่แท้ของตนแล้ว แต่มีวิบากจากอกุศลกรรมอันเป็นกรรมพลัดพรากมาตัดรอน เป็นเหตุให้ต้องจากกันในภายหลัง แม้จะจากกันไปนานแสนนานนับสิบๆ ปี ก็ไม่อาจลืมกันได้

การตั้งความปรารถนาจะพบกันในชาติภพต่อไป

หญิงชายแต่ละคนนั้นต่างผ่านทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน ต่างผ่านการครองคู่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมาย เป็นแสนเป็นล้านคน บางคนเป็นคู่กันแล้วก็มีความสุข อยากพบเจอและได้อยู่เป็นคู่กันอีกในชาติภพต่อไป แต่บางคนก็เบื่อหน่ายไม่ถูกใจคู่ของตน ไม่ปรารถนาจะกลับมาพบเจอกันอีก



เหตุที่จะทำให้คู่หญิงชายมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในชาติภพต่อไปนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุปัจจัยไว้ในสมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ดังนี้


"ดูกร คฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ



ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก"



ดังนั้น เมื่อหญิงชายปรารถนาจะได้พบกัน เป็นคู่ครองกันอีกในชาติภพต่อๆ ไป หญิงชายทั้งสองนั้นต้องปฏิบัติตามพุทธพจน์ และมีการตั้งจิตปรารถนา ดังนี้



๑. รักษาศีลให้เสมอกัน
บุคคลที่มีศีลเสมอกันย่อมอยู่ร่วมกันได้ในปัจจุบัน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็สามารถไปเสวยกรรมดีร่วมกัน แต่หากฝ่ายหนึ่งทรงศีล แต่อีกฝ่ายทุศีล ฝ่ายหนึ่งย่อมไปสู่สุคติภูมิ ส่วนอีกฝ่ายต้องไปสู่อบายภูมิ โอกาสที่จะได้กลับมาพบกันนั้นยากยิ่งนัก



๒. ให้ทานและยินดีในการบริจาคเสมอกัน
หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ทานและบริจาค แต่อีกฝ่ายไม่ชอบใจ ก็จะเกิดความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกัน นำไปสู่ความบาดหมาง และเอาใจออกห่างกันในที่สุด



๓. ทำปัญญาให้เสมอกัน
การทำปัญญาให้เสมอกัน มีการปฏิบัติสมาธิภาวนา จะทำให้ทั้งสองมีความเข้าใจในโลกธรรมเสมอกัน มีความเข้าใจในสุขและทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน และยอมรับกันได้



๔. ตั้งจิตอธิษฐาน
อธิษฐานนั้นมีผล ทั้งอธิษฐานที่เป็นกุศลและอกุศล การอธิษฐานเป็นเหมือนการตั้งหางเสือเรือ ทำให้เรือมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่กำหนดไว้ ในการครองคู่ก็เช่นกัน อธิษฐานจะเป็นตัวชักนำให้หญิงชายได้กลับมาพบกัน และได้ครองคู่กันได้ในที่สุด ดังเช่น อธิษฐานของสุมิตตาพราหมณี ซึ่งอธิษฐานเป็นคู่บารมีให้พระโพธิสัตว์ จากนั้นมาอีกหลายชาติ ทั้งสองก็ต้องใช้เวลาปรับศีล ทาน และปัญญา ให้มาเสมอกัน และได้เป็นคู่บารมีกันสมคำอธิษฐานนั้น


การปรารถนาเป็นคู่บารมี


หญิงชายที่ปรารถนาเป็นเนื้อคู่กันตลอดไปนั้น สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงร่วมกันปฏิบัติตนให้มี ศีล ทาน และปัญญา ให้เสมอกัน และมีอธิษฐานร่วมกันเป็นหลักชัย

แต่การเป็นคู่บารมีนั้นหมายถึงฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาเอกอุในการบำเพ็ญพุทธการกธรรมเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาสร้างสมบารมียาวนานอย่างเร็วสุดถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป และอย่างช้าต้องเนินนานถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป ซึ่งเป็นกาลเวลาที่ยาวนานมาก
แต่การสร้างสมบารมีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น ใช้เวลาประมาณ ๑ แสนกัป ก็มีบุญบารมีมากพอที่จะบรรลุธรรม และหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์นี้ไปได้ การผูกพันเป็นคู่บารมีจึงเป็นการผูกมัดตนเองไม่ให้มีโอกาสได้บรรลุธรรม แม้จะได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเป็นแสนเป็นล้านองค์
นอกจากนี้ การเป็นคู่บารมียังต้องพบกับความทุกข์ยากนานับประการ ดังเช่นที่พระนางพิมพาได้ประสบตลอดเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป
ดังนั้นการจะอธิษฐานติดตามเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์สักองค์หนึ่ง จึงควรไตร่ตรองให้ดีว่าไม่ใช่อธิษฐานด้วยเหตุเพราะความรักและตัณหา แต่ต้องประกอบไปด้วยความรักและความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระโพธิสัตว์องค์นั้น นอกจากนี้ยังต้องมีน้ำใจสงสารและอยากช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นกองทุกข์ และมีกำลังใจเข้มแข็งเท่าเทียมกับพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งเช่นกัน

ที่มา นางแก้วคู่บารมี
เรียบเรียง โดย อังคาร


เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

ความรักของนางแก้ว คู่บารมีแห่งพระโพธิสัตว์


เรื่องราวของพระนางพิมพาที่อธิษฐานเป็นคู่บารมีของพระโพธิสัตว์มาตั้งแต่ ๔ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป ความเสียสละของพระนางนั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจน จะสุขหรือทุกข์ พระนางก็ไม่เคยทอดทิ้งพระโพธิสัตว์ไปไหน แม้พระโพธิสัตว์จะบริจาคทรัพย์สมบัติเป็นทานจนไม่มีส่วนเหลือ พระนางก็ยินดีในทานนั้น แม้บุตรและธิดารวมทั้งตัวพระนางเองจะถูกบริจาคเป็นทาน พระนางก็ไม่เคยโกรธ จิตใจของพระนางพิมพานั้นยิ่งใหญ่จริงๆ

สุมิตตาพราหมณี เริ่มตั้งจิตอธิษฐาน

ในอดีตกาลล่วงมาได้ ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป พระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นนางสุมิตตาพราหมณี อาศัยอยู่ในนครอันรุ่งเรืองนามว่า อมรวดีนครในครั้งนั้น เป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระทีปังกร อันเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ในมหากัปนั้น เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้เผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่รัมมกนคร

ครั้งหนึ่ง ชาวนครอมรวดีก็ได้อัญเชิญเสด็จพระทีปังกรให้มารับมหาทานในนคร ในวันที่พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จพุทธดำเนินมาพร้อมกับพระสาวกขีณาสพจำนวน ๔ แสนรูปนั้น มหาชนผู้มีศรัทธาจำนวนมากก็พากันมารอรับเสด็จ และได้ช่วยกันถากถางทาง และปรับพื้นที่ขรุขระมีน้ำขังให้ราบเรียบ เพื่อให้พระทีปังกรเสด็จดำเนินได้โดยง่าย

นางสุมิตตาพราหมณีผู้มีศรัทธา ก็ได้มารอรับเสด็จพระทีปังกรด้วย โดยนางได้เก็บดอกบัวมา ๘ ดอก เพื่อนำมาถวายเป็นพุทธบูชา

ระหว่างที่ชาวเมืองกำลังรอรับเสด็จ โดยมีส่วนเมืองอีกกลุ่มหนึ่งช่วยกันปรับทางกันอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขย นามว่าสุเมธดาบส ได้เหาะผ่านมาแลเห็นมหาชนกำลังปรับถนนกันอยู่ก็ลงมาถาม เมื่อรู้ว่าพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังจะเสด็จดำเนินมาก็มีศรัทธา ขอร่วมในการปรับถนนด้วย ชาวเมืองเห็นว่าท่านสุเมธดาบสเป็นผู้มีฤทธิ์ จึงได้แบ่งงานบริเวณที่เป็นหลุมเป็นแอ่ง และมีน้ำท่วมขังมาก ให้ท่านดาบส

สุเมธดาบสนั้นกำลังมีใจปิติที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า คิดว่าหากตนใช้ฤทธิ์ปรับถนน แม้จะเสร็จเร็ว แต่ก็ไม่ชื่นใจ ไม่สมกับที่ตนมีศรัทธา จึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเช่นสามัญชนทั่วไป

การกระทำของสุเมธดาบสนี้สร้างความศรัทธาให้แก่นางสุมิตตาพราหมณีที่เฝ้ามองอยู่

สุเมธดาบสยังปรับพื้นที่ไม่เสร็จดี พระทีปังกรพร้อมพระสาวกทั้ง ๔ แสนรูปก็เสด็จดำเนินมา สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์ เพราะยังมีบ่อที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิดทับแอ่งน้ำนั้น ตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกเดินไปบนแผ่นหลังของตนพระทีปังกรพุทธเจ้า เสด็จมายืนอยู่ที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงตรวจสอบดูด้วยพระสัพพัญญุตาญาน ก็รู้ว่าสุเมธดาบสผู้นี้เป็นหน่อเนื้อพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมีเต็ม สมควรได้รับลัทธยาเทศน์ได้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงตรัสพยากรณ์ว่า

“ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคตม ในอัตภาพนั้นของเขา นครนามว่า กบิลพัสดุ์ จักเป็นที่อยู่อาศัย พระมารดาทรงพระนามว่ามายา พระบิดาทรงพระนามว่าสุทโธทนะ พระอุปติสสะเป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พระอานนท์เป็นพุทธอุปฐาก พระเขมาเถรีเป็นอัครสาวิกา พระอุบลวรรณาเถรีเป็นอัครสาวิกาที่สอง เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์”

ชาวเมืองและเทพเทวดาทั้งหลายในที่นั้น เมื่อได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว ต่างก็กล่าวสาธุการ สนั่นดังไปทั่วทั้งไตรภูมิ

ขณะนั้นเอง นางสุมิตตา ผู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ก็เกิดปิติศรัทธาไปกับสุเมธดาบส นางจึงได้แบ่งดอกบัว ๕ กำ ให้สุเมธดาบสใช้บูชาพระพุทธเจ้า ส่วนดอกบัวอีก ๓ กำ นางนำไปถวายพระพุทธเจ้าแทบพระบาทของพุทธองค์ แล้วกล่าววาจาว่า

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ


"ข้าพระบาทได้แลเห็นท่านดาบสเหาะลงมาจากนภากาศ ข้าพระบาทมีความศรัทธาในท่านดาบส เห็นท่านดาบสสร้างทางและทอดกายเป็นสะพาน ข้าพระบาทมีปีติและศรัทธายิ่งขึ้น และเมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ท่านดาบสว่า จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ข้าพระบาทศรัทธาปีติยินดียิ่งนัก มีใจรัก และปรารถนาจะเป็นคู่สุข คู่ทุกข์ คู่ยาก ช่วยท่านดาบสสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์"

พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงทรงตรวจสอบนางสุมิตตาพราหมณีด้วยพระญาณ แล้วจึงตรัสวาจาพยากรณ์ว่า

“ดูกรฤาษีผู้ใหญ่ อุบาสิกาผู้นี้ จักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรมเสมอกัน ทำกุศลร่วมกัน เป็นที่รักของบุญกรรม เพื่อประโยชน์แก่ท่าน น่าดู น่าชม น่ารักยิ่ง น่าชอบใจ มีวาจาอ่อนหวาน จักเป็นธรรมทายาทผู้มีฤทธิ์ของท่าน ความปรารถนาของอุบาสิกานี้จะสำเร็จตามปรารถนา ในอัตภาพอันเป็นที่สุดจะได้เป็นพระชายานามว่า พิมพา"

เหล่ามนุษย์และเทพยดาต่างสาธุการดังก้อง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำดอกไม้ ๘ กำมือบูชาสุเมธดาบส ทรงกระทำประทักษินแล้วดำเนินหลีกไป เหล่าพระขีณาสพทั้งสี่แสนก็บูชาพระดาบสด้วยของหอมและพวงดอกไม้ แล้วดำเนินหลีกไป

เมื่อพระภิกษุสงฆ์เดินไปหมดแล้ว สุเมธดาบสซึ่งบัดนี้ได้เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนแล้ว ก็ลุกขึ้นนั่งบนกองดอกไม้ พิจารณาตนเองด้วยอภิญญา ทบทวนบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่ได้บำเพ็ญเพียรมา เมื่อพิจารณาครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็บังเกิดแผ่นดินสั่นหวั่นไหว แล้วเหล่าเทพเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุก็ประชุมกันสักการะด้วยทิพย์สุคนธมาลัย แล้วกล่าวอำนวยพรแล้วสุเมธดาบสก็เหาะกลับไปป่าหิมพานต์ เจริญอภิญญาสมาบัติมิให้เสื่อม เมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปอุบัติในพรหมโลก

ในชาตินี้จึงเป็นชาติสำคัญของพระโพธิสัตว์ และพระนางพิมพาผู้ซึ่งเป็นคู่บารมี เนื่องจากเป็นชาติที่พระโพธิสัตว์ได้รับลัทยาเทศจากพระพุทธเจ้า และพระนางพิมพาก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน นับจากชาตินี้เป็นต้นไป ทั้งสองจึงได้เกิดมาสร้างสมบุญบารมีต่างๆ ร่วมกันตามที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ นับเป็นบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ที่บุคคลทั่วไปทำได้อย่างยากยิ่งนัก

บุพจริยาพระนางพิมพา

พระนางพิมพา หรือพระนางยโสธรา หรือพระนางกัจจานา ทรงเป็นพระนามของพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่จะเสด็จออกบรรพชาและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในการบำเพ็ญพุทธการกธรรมที่แสนยากและยาวนานของพระโพธิสัตว์นั้น พระนางพิมพาเป็นบุคลที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากพระนางติดตามเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์มาถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คุณความดีและความเสียสละของพระนางพิมพานั้นยิ่งใหญ่เกินพรรณา ดังคำที่พระนางได้กราบบังคมทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อเข้านิพพาน ดังนี้

“...ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า เมื่อหม่อมฉันท่องเที่ยวไปในสงสาร หากมีความพลั้งพลาดในพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานโทษแก่หม่อมฉันเถิด

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันชื่อ ยโสธรา เป็นปชาบดีของพระองค์

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันเมื่ออยู่ในพระราชวังของพระองค์ เป็นประธานเป็นใหญ่กว่าหญิงทั้งปวง สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ และอาจารสมบัติ ดำรงอยู่ในความเจริญทุกสมัย นารีทั้งมวลย่อมเคารพหม่อมฉันเหมือนพวกมนุษย์เคารพเทวดา

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

ข้าแต่พระมหามุนี อธิการเป็นอันมากของหม่อมฉันย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อมฉันเถิด

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อประโยชน์แก่พระองค์

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันงดเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ได้

ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย

ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย

ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันบริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัป ประชุมชน จักทำการพ้นจากภัย ก็ยอมสละชีวิตของหม่อมฉันให้

ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันย่อมไม่เคยหวงเครื่องประดับและผ้านานาชนิดซึ่งอยู่ที่ตัว และภัณฑะคือตัวหญิง เพื่อประโยชน์แก่พระองค์

ข้าแต่พระมหามุนี ทรัพย์ ข้าวเปลือก ปัจจัย เครื่องบริจาค บ้าน นิคม ไร่นา บุตร ธิดา ช้าง ม้า โค ทาสี ภรรยา มากมายนับไม่ถ้วน พระองค์ทรงบริจาคแล้วเพื่อประโยชน์แก่ พระองค์ พระองค์ตรัสบอกหม่อมฉันว่า เราย่อมให้ทานพวกยาจก เมื่อเราให้ทานอันอุดม เราย่อมไม่เห็นหม่อมฉันเสียใจ

ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันยอมรับทุกข์มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วนในสงสารเป็นอเนกเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีหม่อมฉันได้รับสุขย่อมอนุโมทนา และในคราวที่ได้รับทุกข์ก็ไม่เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้วในที่ทุกแห่งเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
...
หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัย ถึงความเป็นผู้มีกายเงื้อมลงแล้ว ขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่ มีชีวิตน้อย จักละพระองค์ไป มีที่พึ่งของตนได้ทำแล้ว มีมรณะใกล้เข้ามาในวัยหลัง

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันจักถึงความดับในคืนวันนี้ มิได้มีชาติ ชรา พยาธิ และมรณะ จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตายและไม่มีภัยส่วนตอนต่อไปนี้เป็นชาติที่แปลกกว่าชาติอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์จะเป็นฝ่ายละพระนางพิมพาไปออกบวช (ละนะครับ ไม่ใช่ทิ้ง) แต่ชาตินี้กลับตรงกันข้ามกัน เพราะพระนางพิมพาหาอุบายไปออกบวชก่อน

ภริยาช่างหม้อ หนีสามีออกบวช

ในอดีตกาล พระนางพิมพาเกิดมาเป็นภริยาของพระโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างหม้ออยู่ในกรุงพาราณสี ทั้งสองมีบุตร ๑ คน และธิดา ๑ คน

วันหนึ่งมีพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ พระองค์เสด็จมาจากเงื้อมเขานันทมูลในป่าหิมพานต์มารับภัตตาหารในนคร นายช่างหม้อจึงนิมนต์ไปถวายภัตตาหารที่เรือนของตน


รูปภาพ

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ


นายช่างหม้อได้ทูลถามเหตุแห่งการออกบวช พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ได้แสดงเหตุให้ฟัง

พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ เคยเป็นพระราชานามว่า กรกัณฑะ ในทันตปุรนคร วันหนึ่งเสด็จประพาสราชอุทยาน ได้เสวยผลมะม่วงทิพย์ที่หน้าอุทยาน ขากลับเห็นมะม่วงทิพย์ต้นนั้นถูกอำมาตย์และข้าราชบริพารแย่งชิงกันเก็บผลจนกิ่งหักทำลายลง ส่วนต้นอื่นที่ไม่มีผลยังสมบูรณ์ดี พระองค์จึงเห็นโทษของการครองเรือนว่าเหมือนมะม่วงที่มีผล ส่วนการบรรพชาเป็นเช่นต้นมะม่วงที่ไม่มีผล ผู้มีทรัพย์นั่นแหละมีภัย เมื่อเห็นแจ้งทุกข์ภัยตลอดแล้วพระองค์ก็สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและเสด็จออกบรรพชา

พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ เคยเป็นพระราชานามว่า นัคคชิ ในตักกศิลานคร วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นหญิงนั่งบดของหอมอยู่ นางสวมกำไลข้อมือข้างละอัน กำไลหยกเหล่านั้นไม่กระทบกันจึงไม่เกิดเสียง แต่เมื่อนางถอดกำไลหยกมาสวมข้อมือข้างเดียวกัน กำไลนั้นก็กระทบกันและเกิดเสียงดังขึ้น พระองค์จึงเห็นโทษของการอยู่ร่วมกันว่าต้องมีการกระทบกัน ทะเลาะกัน จึงทรงพิจารณาไตรลักษณ์ แล้วสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและเสด็จออกบรรพชา

พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ เคยเป็นพระราชานามว่า นิมิราช ในมิถิลานคร วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งคาบชิ้นเนื้อในอากาศ มีเหยี่ยวตัวอื่นบินไล่จิกตีเพื่อแย่งชิ้นเนื้อ เมื่อเหยี่ยวนั้นทนไม่ไหวก็ปล่อยชิ้นเนื้อนั้น พอเหยี่ยวตัวอื่นมาคาบชิ้นเนื้อนั้นไปแทน เหยี่ยวตัวใหม่ก็จะถูกเหยี่ยวตัวอื่นจิกตีเหมือนเหยี่ยวตัวแรก พระองค์จึงเห็นว่าเหยี่ยวตัวใดคาบชิ้นเนื้ออยู่นั่นแหละเป็นทุกข์ แต่ถ้าปล่อยเมื่อไรก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น ตัวพระองค์เองมีสนมหมื่นหกพันนาง มีสภาพดังเช่นเหยี่ยวคาบเนื้อ จึงทรงพิจารณาไตรลักษณ์ แล้วสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและเสด็จออกบรรพชา

พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ เคยเป็นพระราชานามว่า ทุมมุขะ ในกปิลนคร วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นวัวตัวผู้เดินตามวัวตัวเมียด้วยกิเลส ครั้งนั้น มีโคถึกตัวใหญ่ เกิดหึงหวงวัวสาว จึงไล่ขวิดวัวหนุ่มที่ติดตามมาจนไส้ทะลักตายไปหลายตัว พระองค์ทรงเห็นอำนาจของกิเลส จึงกำหนดไตรลักษณ์ และสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในที่นั้นและเสด็จออกบรรพชา

ภริยานายช่างหม้อนั่งฟังธรรมจากพระปัจเจกพุทธเจ้า มีปิติว่าโชคดีที่ได้ฟังธรรม จิตใจของนางน้อมนำไปทางบรรพชา จึงบอกสามีว่านางปรารถนาจะออกบวช ปรารถนาจะพ้นไปจากมือชาย และท่องไปลำพังผู้เดียว

นายช่างหม้อฟังแล้วก็นิ่งเงียบอยู่ ภริยานายช่างหม้อรู้ว่าสามีคงไม่ยอมให้ตนออกบวชแน่เพราะบุตรธิดานั้นยังเล็ก จึงออกอุบายแก่นายช่างหม้อให้ดูแลลูกไว้ ส่วนตนเองจะไปตักน้ำ


เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ


ภริยาช่างหม้อถือหม้อน้ำทำทีเหมือนเดินไปท่าน้ำแล้วหนีไป แล้วออกบวชเป็นปริพพาชิกาในสำนักของดาบสใกล้นคร

ฝ่ายนายช่างหม้อรู้ว่าภริยาของตนหนีไปบวชแล้ว ก็อยู่เลี้ยงดูบุตรธิดาจนเติบโตแล้วออกบวชบ้าง

วันหนึ่ง นางปริพพาชิกาภริยาเก่าได้มาพบกับปริพาชกอดีตนายช่างหม้อกำลังภิกขาจารอยู่ในนครพาราณสี จึงเข้ามาไหว้แล้วถามว่ามีใครเลี้ยงดูบุตรธิดา

ปริพาชกอดีตนายช่างหม้อตอบว่าบุตรธิดานั้นโตแล้ว อย่าได้เป็นห่วงอีกเลย พวกเราจงบวชต่อไปเถิด

หลังจากนั้นทั้งสองก็ต่างไปตามทางเส้นทางธรรมของตน ไม่ได้กลับมาพบกันอีก

ประชุมชาดก

ภริยานายช่างหม้อ มาเกิดเป็น พระนางพิมพา
นายช่างหม้อ มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
บุตร มาเกิดเป็น พระราหุล
ธิดา มาเกิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี

ข้อมูล : กุมภการชาดก

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 01:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

เกริ่นนำเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์และนางแก้ว

พระโพธิสัตว์คือผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่าในการสั่งสมบารมีให้เพียงพอ

เพื่อที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึงในชาติสุดท้ายของท่าน

เพื่อที่จะได้สั่งสอนผู้คนในยุคของท่านที่พอสอนให้เข้าถึงธรรมได้มีความพร้อม

เพื่อสอนให้ถึงความหลุดพ้นและเข้าสู่พระนิพพาน

อันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและเข้าสู่บรมสุข


:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 02:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

นางแก้วคือคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ที่มีการเกื้อกูลกันช่วยเหลือกันในบางชาติ
และสนับสนุนในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในบางชาติให้สำเร็จผล
(เช่นชาติที่เป็นพระเวสสันดรของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่
ถวายภรรยาเป็นทานเป็นการสร้างมหาบารมีวิสัยพุทธภูมิ)


:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

โดยนางแก้วนั้นชาติที่เด่นๆที่สุดนอกจากชาติที่มาสร้าง
มหาบารมีพิเศษร่วมกับพระโพธิสัตว์คู่บารมีแล้ว
ชาติที่สำคัญๆที่ขาดนางแก้วไม่ได้คือชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ(พระบรมกษัตริย์ซึ่งเกิดขึ้นในบางยุคเพื่อ
ปกครองโลกทั้งใบให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข)และพระเจ้าจักรพรรดิจะมีของวิเศษอยู่ 7 ประการ
ซึ่งหนึงในนั้นคือนางแก้ว(อัครมเหสีนั้นเอง)ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระเจ้าจักรพรรดิในการสร้างพระบารมี
(สำหรับพระโพธิสัตว์แล้วชาติที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดินับว่าเป็นการสร้างบารมีได้
ยิ่งใหญ่และมากที่สุดชาติหนึงกำลังจักรพรรดิจึงมากและน้อมนำมา
เป็นบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยจึงมีพระพุทธเจ้าปาง
ทรงเครื่องจักรพรรดินั้นเองซึ่งมีกำลังสูงมากครอบจักรวาล)

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 02:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

จากเกร็ดความรู้ข้างต้นเราจึงได้รับรู้ความสำคัญของนางแก้วบางประการ

นอกนั้นแล้วยังมีอีกหลายๆชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ในสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีนางแก้วเข้ามาเกี่ยวข้อง

โดยได้คัดสรรบางเรื่องมาให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้

เพื่อเป็นการสรรเสริญบารมีของนางแก้วทั้งหลายตั้งแต่อดีต

จนถึงปัจจุบันและอนาคต ถวายเป็น พุทธบูชา


:b44: :b44: :b44:

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 02:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

นางปริพพาชิกากับโพธิดาบส
ผู้ไม่ข้องในเมถุนธรรม


ในอดีตกาล พระนางพิมพาจุติจากพรหมโลก มาเกิดเป็นกุมารีที่งดงามในตระกูลมั่งคั่งในแคว้นกาสี ส่วนพระโพธิสัตว์ก็จุติจากพรหมโลกมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ผู้มั่งคั่งชาวกาสีเช่นเดียวกัน และบิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า โพธิกุมาร

ครั้นเจริญวัยขึ้น โพธิกุมาร ก็ได้ไปเรียนที่เมืองตักกศิลา เมื่อโพธิกุมารสำเร็จการศึกษาแล้ว บิดามารดาจึงจัดการนำกุมารีนั้นมาให้เป็นภรรยา

เนื่องจากจุติมาจากพรหมโลกทั้งคู่ ทั้งสองจึงไม่มีใจในการครองเรือนเลย แม้จะอยู่ร่วมห้องกัน แต่ทั้งสองก็ไม่เคยแลดูกันด้วยอำนาจแห่งราคะ ทั้งสองเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ขึ้นชื่อว่าเมถุนธรรมต่างไม่เคยประสบแม้ในฝัน

ต่อมาเมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมแล้ว โพธิกุมารจึงบอกกุมารีภริยาว่าเธอจงรับทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้ไว้เถิด เราจักออกบวชในถิ่นหิมพานต์เพื่อทำที่พึ่งแก่ตน

นางกุมารีภริยาจึงถามว่า การบรรพชานั้นทำได้แต่บุรุษเท่านั้นหรือ
โพธิกุมารตอบว่าแม้สตรีก็บรรพชาได้
นางกุมารีภริยาจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันก็จะไม่ขอรับเขฬะที่ท่านถ่มทิ้งไว้ ฉันจะออกบวชด้วย

ตกลงกันดังนั้นแล้ว ทั้งสองก็เอาทรัพย์มาบริจาคทานเป็นการใหญ่ แล้วออกบวชไปสร้างอาศรม เลี้ยงชีวิตด้วยผลาผลอยู่ในป่า

กาลเวลาผ่านไป ๑๐ ปี ญานสมาบัติก็ยังไม่ได้บังเกิดแก่ดาบสและปริพพาชิกาทั้งสองเลย ทั้งสองจึงเที่ยวจาริกไปตามชนบทเรื่อยไป จนกระทั่งมาถึงนครพาราณสีจึงได้ไปพักอาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน

วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จออกประพาสราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นดาบสและนางปริพพาชิกา นางปริพพาชิกานั้นแม้อยู่ในเพศนักบวชก็ยังดูงามเลิศมีเสน่ห์เป็นที่ต้องตา ทำให้พระเจ้าพาราณสีมีพระทัยปฏิพัทธ์ด้วยอำนาจกิเลส

พระเจ้าพาราณสีจึงเข้าไปถามพระดาบสว่า นางปริพพาชิกาผู้นี้เป็นอะไรกับท่าน โพธิดาบสตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้า

พระเจ้าพาราณสีจึงทรงลองหยั่งเชิงดูว่าว่าถ้าพระองค์นำนางไป พระดาบสจะทำอย่างไร จึงตรัสถามว่า ดูก่อนท่านดาบส ถ้ามีบุคคลมาพาเอานางปริพพาชิกาผู้นี้ไปด้วยกำลัง ท่านจะทำอย่างไร

โพธิดาบสตอบว่า หากว่าใครฉุดรั้งนางไป ความโกรธย่อมพึงมีแก่ข้าพเจ้า แต่ความโกรธนั้นครั้นเกิดขึ้นแล้วจักเสื่อมไป แต่หากความโกรธของข้าพเจ้าไม่เสื่อมไป ข้าพเจ้าก็จะข่มห้ามความโกรธนั้นเสียด้วยเมตตาภาวนาโดยพลัน

พระราชาได้ฟังพระดาบสแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษพานางปริพพาชิกาไปยังพระราชนิเวศน์ นางก็ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา ฝ่ายพระดาบสได้ยินเสียงคร่ำคราญของนางก็รู้สึกโกรธ แต่ข่มใจไว้ไม่ได้แลดูนางอีก


เมื่อราชบุรุษนำนางปริพพาชิกาไปสู่พระราชนิเวศน์แล้ว พระเจ้าพาราณสีก็เสด็จตามไป เกลี้ยกล่อมนางด้วยลาภยศ แต่นางได้พรรณนาโทษของยศและคุณของบรรพชาให้พระราชาฟัง

เมื่อพระราชาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้นางยินดีได้ พระองค์จึงรับสั่งให้ขังนางไว้ในห้อง

พระราชาเสด็จกลับไปหาพระดาบส เห็นพระดาบสนั่งเย็บจีวรอยู่ แม้พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้แล้วก็ไม่รู้ตัวจึงไม่ได้กล่าวเชื้อเชิญพระราชา พระราชาจึงเข้าใจว่าพระดาบสโกรธ ไม่ยอมเจรจาด้วย ตรัสว่า

วันก่อนท่านอวดอ้างไว้อย่างไร ทำไมวันนี้ท่านจึงทำทีเป็นนิ่งเหมือนโกรธอยู่
โพธิดาบสได้ฟังจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ความโกรธเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้าแล้วยังไม่เสื่อมคลายไปจริง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ยับยั้งความโกรธนั้นไว้แล้ว
แล้วพระราชาก็ได้โต้ตอบปัญหาธรรมกับโพธิดาบสจนเกิดความเลื่อมใส จึงรับสั่งให้พานางปริพพาชิกามาคืนและขอขมาโทษท่านทั้งสอง

โพธิดาบสและนางปริพพาชิกา จึงได้อาศัยอยู่ในราชอุทยานนั้นเอง ต่อมาเมื่อนางปริพพาชิกามรณภาพ โพธิดาบสจึงออกจากราชอุทยานไปสู่ป่าหิมพานต์

ประชุมชาดก
พระเจ้าพาราณสี มาเกิดเป็น พระอานนท์
โพธิดาบส มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
นางปริพพาชิกา มาเกิดเป็น พระนางพิมพา


(ที่มา : จุลลโพธิชาดก)



เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 03:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

จอมนางแห่งพาราณสี
ใช้ผมหงอกลวงพระสวามี


ในอดีตกาล พระนางพิมพาได้เกิดมาเป็นยอดสตรี ทรงเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางทรงมีพระโอรสองค์หนึ่งนามว่า พรหมทัตราชกุมาร
พรหมทัตราชกุมารมีพระสหายสนิทนามว่า สุสีมกุมาร บุตรชายของราชปุโรหิตผู้ซึ่งเกิดวันเดียวกัน

เมื่อพรหมทัตกุมารและสุสีมกุมารเจริญวัยขึ้น ต่างก็ได้ไปเล่าเรียนศิลปะศาสตร์ที่เมืองตักกสิลาด้วยกัน สำเร็จแล้วก็กลับมารับราชการในกรุงพาราณสี

เมื่อพระเจ้าพาราณสีสิ้นพระชนม์ พระราชบุตรก็ขึ้นครองเมืองเป็นพระเจ้าพรหมทัต และตั้งให้สุสีมะเป็นราชปุโรหิต

วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตทรงเสด็จประทักษิณพระนคร โดยให้สุสีมะปุโรหิตนั่งบนหลังช้างไปด้วย

ฝ่ายพระราชชนนีประทับดูพระเจ้าพรหมทัตอยู่ที่ช่องพระแกล เมื่อทอดพระเนตรเห็นสุสีมะปุโรหิตก็ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงงดพระกระยาหาร ตรอมพระทัยว่าเราจะตายถ้าไม่ได้ปุโรหิตนี้

พระเจ้าพรหมทัตทรงสดับว่าพระราชมารดาประชวรจึงเสด็จไปเยี่ยม แต่เมื่อตรัสถามอาการพระราชมารดาก็ไม่ทรงตอบเพราะความละอาย พระเจ้าพรหมทัตจึงให้มเหสีของพระองค์ไปถามอาการ

มเหสีพระเจ้าพรหมทัตไปเอาใจซักถามอาการพระราชมารดา ในที่สุดพระราชมารดาก็เปิดเผยเรื่องที่ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์สุสิมะปุโรหิตให้ฟัง

เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์ก็มาเฝ้าพระราชมารดา กราบทูลว่าไม่ต้องกังวลพระทัย พระองค์จะตั้งสุสิมะปุโรหิตให้ครองเมือง และตั้งพระราชมารดาให้เป็นพระมเหสี
แล้วพระเจ้าพรหมทัตก็เกลี้ยกล่อมให้สุสิมะปุโรหิตเป็นพระราชา ส่วนพระองค์ทรงเป็นอุปราช และให้พระราชมารดาเป็นมเหสี



สุสิมะปุโรหิตจึงได้อภิเษกสมรสกับพระราชชนนี และขึ้นครองกรุงพาราณสีเป็นสุสีมะราชา
เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานวันเข้า สุสีมะราชาก็ทรงเบื่อทรงหน่ายการครองเรือน ทรงละกามทั้งหลาย ทรงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ไม่ทรงอาลัยไยดีด้วยอำนาจกิเลส ประทับยืน ประทับนั่ง และเสด็จบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว

ฝ่ายพระมเหสีก็ทรงดำริว่า พระราชาไม่ร่วมอภิรมย์กับเรา ประทับยืน ประทับนั่ง และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว คงเป็นเพราะพระราชายังหนุ่มอยู่ แต่เรานั้นมีผมหงอกแล้ว หากพระราชามีพระเกศาหงอกเช่นเดียวกับเรา พระราชาคงอภิรมย์กับเราเหมือนเดิม

วันหนึ่ง พระมเหสีจึงทรงทำทีเป็นหาเหาบนพระเศียรของพระราชา แกล้งถอนพระเกศาพระราชาออกมาเส้นหนึ่งทิ้งไป แล้วถอนเกศาหงอกเส้นหนึ่งของพระนางเองให้พระราชาทอดพระเนตร เพ็ดทูลว่าพระเกศาของพระองค์หงอกแล้ว

สุสิมะราชาทอดพระเนตรเห็นผมหงอกก็ตกใจ รำพึงว่าชราและมรณะมาถึงพระองค์แล้ว ถึงกาลที่พระองค์จะต้องออกบรรพชา

ฝ่ายพระมเหสีก็ทรงตกพระทัย ทรงตั้งใจจะลวงพระราชาเพื่อมัดพระทัยพระองค์ไว้ แต่กลายเป็นว่าสุสิมะราชากลับอยากเสด็จออกผนวช พระนางจึงทูลความจริงให้ทรงทราบว่าผมหงอกนั้นเป็นของพระนางเอง ขอพระองค์อย่าได้ออกบวชเลย

สุสีมะราชาจึงตรัสแสดงโทษของของรูปสมบัติ และแสดงคุณของการบรรพชาให้พระมเหสีฟัง จากนั้นก็ทรงมอบราชสมบัติคืนให้แก่พระเจ้าพรหมทัต ทรงทอดทิ้งราชสมบัติแล้วออกบวชเป็นดาบส ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจึงได้ไปอุบัติในพรหมโลก


พระเจ้าพรหมทัต มาเกิดเป็น พระอานนท์
สุสีมะราชา มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
พระมเหสี มาเกิดเป็น พระนางพิมพา
(ที่มา : สุสีมชาดก)

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 03:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

นางสีดา
ชายาพระราม


ในอดีตกาล มีพระราชากรุงพาราณสี ทรงพระนามว่าพระเจ้าทศรถ พระองค์ทรงมีพระมเหสี และพระสนมบริวารแวดล้อม ๑๖,๐๐๐ นาง

พระเจ้าทศรถ ทรงมีพระโอรสและพระธิดากับพระมเหสีรวม ๓ พระองค์ คือ รามกุมาร ลักษณ์กุมาร และสีดากุมารี

ต่อมาพระมเหสีของพระเจ้าทศรถสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งพระเทวีอื่นขึ้นเป็นมเหสีแทน และมีพระโอรสกับมเหสีใหม่ นามว่า ภรตกุมาร

ในวันที่พระมเหสีใหม่ทรงประสูติพระโอรสนั้น พระเจ้าทศรถทรงตรัสให้พรพระมเหสี แต่พระนางทรงเฉยไว้ ยังไม่ขอรับพรนั้น จนกระทั่งภรตกุมารอายุได้ ๘ พรรษา พระนางจึงกราบทูลพระสวามีว่าจะขอพรที่พระองค์เคยตรัสว่าจะให้ โดยขอราชสมบัติให้แก่ภรตกุมาร

พระเจ้าทศรถไม่ทรงยินยอม เพราะราชสมบัตินี้ควรเป็นของรามกุมาร ราชโอรสองค์โต แต่พระมเหสีก็ยังทูลขออยู่เรื่อยๆ จนพระเจ้าทศรถทรงเกรงว่าพระมเหสีจะทำร้ายโอรสของพระองค์ พระองค์จึงทรงรับสั่งถามโหราจารย์ว่าพระองค์จะมีพระชนม์ชีพอีกกี่ปี โหราจารย์กราบทูลว่า ๑๒ ปี

พระเจ้าทศรถจึงรับสั่งให้พระโอรสมาเข้าเฝ้า และสั่งให้รามกุมารและลักษณ์กุมารไปอยู่ป่า และให้กลับมารับราชสมบัติเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว คือ อีก ๑๒ ปีข้างหน้า

รามกุมารและลักษณ์กุมาร จึงกราบทูลลาพระราชบิดาเสด็จสู่ป่า ส่วนสีดากุมารีเห็นพระเชษฐาเสด็จไปสู่ป่าจึงถวายบังคมลาพระราชบิดา และร้องไห้ตามพระเชษฐาทั้งสองไป

ทั้งสามไปสร้างอาศรมอยู่ในป่า พระรามนั้นทรงประทับอยู่ที่อาศรม ส่วนพระลักษณ์และนางสีดาทำหน้าที่หาผลไม้มาบำรุงพระราม

ผ่านไป ๙ ปี พระเจ้าทศรถก็เสด็จสวรรคต เมื่อปลงพระศพพระราชาแล้ว พระมเหสีจะตั้งให้พระภรตขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เสนาอำมาตย์ไม่ยินยอม พระภรตจึงชักชวนอำมาตย์แต่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ไปอัญเชิญเสด็จพระรามให้เสด็จกลับมาครองเมือง

พระรามไม่ทรงรับราชสมบัติ เนื่องจากพระเจ้าทศรถทรงรับสั่งให้กลับเมื่อครบ ๑๒ ปี แต่เวลานี้ยังไม่กำหนด ระหว่างที่ยังไม่มีผู้ครองเมือง พระรามจึงมอบรองเท้าหญ้าของพระองค์ให้อำมาตย์กลับมา ซึ่งอำมาตย์ก็นำรองเท้าหญ้านั้นมาวางบนบัลลังก์ให้เป็นกษัตริย์ครองเมืองอยู่ ๓ ปี

ระหว่าง ๓ ปีนี้ เมื่ออำมาตย์ตัดสินคดีความใด หากไม่ถูกต้อง รองเท้าหญ้าก็จะแสดงอาการกระทบกัน อำมาตย์ก็จะต้องตัดสินคดีใหม่ ถ้ารองเท้านิ่งเงียบอยู่ แสดงว่าตัดสินชอบแล้ว

ครบ ๓ ปี พระรามก็เสด็จกลับมาครองกรุงพาราณสี ทรงแต่งตั้งนางสีดาเป็นอัครมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมอยู่หมื่นหกพันปี


ประชุมชาดก
พระเจ้าทศรถ มาเกิดเป็น พระเจ้าสุทโธทนะ
พระราชมารดา มาเกิดเป็น พระนางสิริมหามายา
พระราม มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
นางสีดา มาเกิดเป็น พระนางพิมพา
พระลักษณ์ มาเกิดเป็น พระสารีบุตร
พระภรต มาเกิดเป็น พระอานนท์
(ที่มา : ทสรถชาดก)

เจ้าของ:  Bwitch [ 05 ธ.ค. 2009, 03:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

รูปภาพ

ราชธิดาพระเจ้าโกศล
กุศลกรรมของนางทาสี

ในอดีตกาลพระนางพิมพาได้มาเกิดเป็นราชธิดาผู้เลอโฉมปานเทพธิดาของพระเจ้าปัสเสน แคว้นโกศลเมื่อเจริญวัยขึ้นพระนางก็ได้อภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี

พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงอภิเษกสมรสพร้อมกับการราชาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติกรุงพาราณสีสืบต่อจากพระราชบิดาที่สวรรคต

ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นประทับนั่งบนราชบัลกังก์พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพาร ดูพราหมณ์และคหบดีดูเหล่าสนมนางฟ้อนนางรำ ๑๖,๐๐๐ นาง ทรงทอดพระเนตรดูปราสาทราชมณเฑียรและราชทรัพย์ทั้งมวล แล้วพระองค์ก็ทรงระลึกขึ้นได้ว่าอำนาจและราชสมบัติเหล่านี้ของพระองค์นั้น เกิดขึ้นเพราะการให้ทานขนมกุมมาสเพียง ๔ก้อนในชาติก่อน

พระองค์ทรงปิติในผลของทานจึงได้ขับเป็นลำนำเพลงท่ามกลางชุมนุมชนนั้น พวกนางฟ้อนนางรำได้ยินพระราชาขับลำนำก็เข้าใจว่าเป็นเพลงโปรดพระราชาจึงจดจำนำไปร้องกันต่อไป

ฝ่ายพระมเหสีได้ยินคำร่ำลือเรื่องเพลงโปรดของพระราชาก็ใคร่รู้แต่ไม่กล้าทูลถาม
วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตตรัสให้พรแก่พระมเหสีตอบแทนที่พระนางทำคุณความดีอย่างหนึ่ง พระมเหสีกราบทูลว่าพรอันใดพระนางก็ไม่ประสงค์พระนางต้องการเพียงฟังลำนำเพลงของพระองค์เท่านั้น

พระราชาขอให้รับพรอื่น พระมเหสีก็ไม่ยอมพระราชาจึงตรัสว่าพระองค์จะให้พรนั้น แต่จะไม่บอกแก่พระมเหสีองค์เดียวในที่ลับแล้วพระองค์ก็ให้ตีกลองป่าวร้องไปทั่วพระนคร

เมื่ออำมาตย์ข้าราชบริพารและมหาชนมาพร้อมเพรียงกันพระราชาก็เสด็จประทับบนรัตนบัลลังก์ ทรงขับร้องเป็นลำนำ

“…
เรายาจกยากไร้ไม่มีทรัพย์
ขนมอับกุมมาสเป็นอาหาร
เราศรัทธาละสิ้นถวายทาน
พระปัจเจก ๔ ท่านจากนันทมูล
แล้วตั้งจิตอธิษฐานต้องการผล
ความยากจนเกิดชาติไหนขอให้สูญ
ด้วยผลทานความดีทวีคูณ
ครองไอยศูรย์สมบัติราชธานี
....”

พระเจ้าพรหมทัตทรงแสดงธรรม โดยตรัสเล่าบุรพกรรมของพระองค์ให้มหาชนฟังว่า
ชาติก่อนของพระองค์นั้นทรงเกิดเป็นคนรับใช้ที่ยากจนของเศรษฐีคนหนึ่ง
อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสีนี้เอง
วันหนึ่ง เขาได้ถือขนมกุมมาสราคาถูก ๔ ก้อนจากตลาดเพื่อนำมาเป็นอาหารเช้า
ระหว่างทางได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์มาบิณฑบาต เขาจึงได้ถวายขนมกุมมาสทั้ง ๔ ก้อน
นั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า อธิษฐานว่า ด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาส ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้พบ
กับความยากจนอีกเลย และขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณด้วยเถิด

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์รับขนมกุมมาสแล้วก็นั่งลงฉัน ณ ที่นั้น ฉันเสร็จแล้วได้ให้อนุโมทนา
แล้วเหาะกลับสู่เงื้อมเขานันทมูล
เมื่อถวายทานนี้แล้ว ชายยากจนก็เฝ้าระลึกถึงทานนี้อยู่เสมอ เมื่อสี้นชีวตจึงได้มาเกิเป็นพระราชโอรส
ของพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อพระมเหสีฟังลำนำเพลงของพระราชาแล้ว จึงกราบทูลว่า

“อันทศพิธราชธรรมของพระราชานั้นประกอบด้วย ทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน
ความเพียร ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน และความเที่ยงธรรม บัดนี้ พระองค์
ทรงรำลึกรู้ถึงอานิสงส์ของผลทานแล้ว กาลต่อไป ก่อนที่พระองค์จะเสวย ก็ควรจะนำของเสวยนั้น
แบ่งเป็นทานเสียก่อน”

พระเจ้าพรหมทัตฟังคำพระมเหสีแล้ว จึงดำรัสถามบ้างว่า

“ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เราบอกกุศลกรรมในภพก่อนแก่เธอแล้ว บัดนี้เราพิจารณาดูเธอในท่ามกลาง
หญิงเหล่านี้ เราไม่เห็นหญิงใดแม้แต่คนเดียวที่งามปานเทพอัปสรเช่นเธอ ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณ
การเยื้องกราย กิริยา และเสน่หาของหญิง เราอยากรู้ว่าเธอทำกุศลกรรมใดไว้ จึงได้รับสมบัตินี้”

พระมเหสีนั้นก็เป็นผู้ระลึกถึงอดีตชาติได้ จึงได้กราบทูลพระราชาว่า

“ชาติก่อนนั้นหม่อมฉันเกิดเป็นนางทาสี เป็นผู้สำรวมกายและใจ รักษาศีล ละเว้นบาปทั้งปวง
วันหนึ่งหม่อมฉันได้รับอาหารส่วนของหม่อมฉัน จึงได้เดินออกมาหาที่รับประทาน
หม่อมฉันได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงได้นำอาหารนั้นใส่บาตร ด้วยผลแห่งทานที่ถวายแก่
ผู้ทรงศีลบริบูรณ์ หม่อมฉันจึงได้เกิดมาเป็นราชธิดาพระเจ้าโกศล”

ครั้นพระราชาและพระมเหสีได้เล่าบุรพกรรมของตนแล้ว ทั้งสององค์ก็ช่วยกันทำบุญให้ทาน
ทรงให้สร้างศาลาทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ที่กลางพระนคร แห่ง ที่ประตูพระราชวัง
๑ แห่ง ทรงรักษาศีล และรักษาอุโบสถตลอดพระชนม์ชีพของทั้งสองพระองค์

ที่มา กุมมาสปิณฑชาดก

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 05 ธ.ค. 2009, 05:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  krathin [ 19 มี.ค. 2010, 15:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คู่รัก คู่บารมี

อนุโมทนาสาธุค่ะ
คู่แท้ หรือเนื้อคู่ ถ้าปัจจุบันชาติได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับผู้อื่นแล้ว
ก็คงต้องพลัดพรากกันต่อไป

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/