ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=27448 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Bwitch [ 03 ธ.ค. 2009, 19:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด | ||
ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด ![]() ![]() ดังที่พระพุทธพจน์ที่ว่า “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี” ที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสอนให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อเรารักตัวของเราเองยิ่งกว่าใครๆ คนอื่นเขาก็รักตัวของเขายิ่งกว่าใครๆ เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ต้องได้รับทุกข์ฉันนั้น พระพุทธองค์ตรัสเรื่องเกี่ยวกับความรักไว้ว่า “ความโศกเกิดแต่ความรัก ภัยคือความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก ความกลัวจักมีแต่ที่ไหน” ก็ความรักอันเป็นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัวนี้ เป็นความรักที่เนื่องด้วยโลภะตัณหาอันเป็นบาปอกุศล เป็นความรักที่เกิดจากความต้องการผูกพันรักใคร่ แต่ยังมีความรักอีกชนิดหนึ่งซึ่งปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้รับความสุขโดยประการเดียว รักโดยไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะมี~อโทสะ~ ความไม่โกรธเป็นมูลราก จึงเป็นบุญกุศลความรักชนิดนี้คือ เมตตา ความรัก ๒ อย่างนี้ มีเหตุเกิดต่างกัน ผลที่ได้รับจึงต่างกัน ความรักชื่อว่าเมตตา เป็นประเสริฐ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ถ้าทุกคนมีเมตตาต่อกัน โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข เพราะไม่มีใครเบียดเบียนประทุษร้ายใครๆ ให้เดือดร้อน พระพุทธเจ้านั้นมากไปด้วยพระเมตตา ทรงรักทุกคนแม้แต่ศัตรู เหมือนกับทรงรักพระราหุลราชโอรส พระองค์ทรงปรารถนาให้ชาวโลกได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงทรงสอนให้มีศัลห้าเป็นประการแรกนั่น คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะเพียงการมีศีลห้าเพียงอย่างเดียว ชาวโลกก็จะมีแต่ความสุขหาประมาณมิได้ เพราะการไม่ฆ่าสัตว์นั้น ไม่ทำให้สัตว์ต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือเรา เป็นการเอื้อเอ็นดูต่อสัตว์ เป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์ รองลงมาจากรักชีวิต ทุกคนรักทรัพย์สินสิ่งของของตน การไม่หยิบฉวยลักขโมยทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น คนที่มีบุตรภรรยาสามี ก็รักบุตรภรยาสามีของตน การไม่ล่วงละเมิดในบุตรภรรยาสามีของผู้อื่น เป็นการให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น การไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น การงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติดมึนเมาทั้งปวง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ แก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตรภรรยาสามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มึนเมาย่อมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สามารถจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าบุตร ภรรยา สามีของตน ในที่สุดแม้แต่การฆ่าตนเองก็มิได้เว้น เพราะฉะนั้น การมีศีลห้าจึงเป็นการรักษาตนเองและรักษาผู้อื่นให้พ้นจากภัยเวร ผู้มีศีลห้าจึงต้องมีเมตตาประจำใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นเขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น ทุกคนในโลกนี้ก็จะอยู่เป็นสุข แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็อยู่เป็นสุขในโลกอื่น สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน พระคาถาธรรมบท ปิยวรรค ว่า บุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลที่ทำบุญไว้ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น เหมือนพวกญาติเห็นญาติที่รักที่จากไปต่างถิ่นแล้วกลับมา ย่อมต้อนรับด้วยความยินดี ฉะนั้น คือย่อมต้อนรับด้วยเครื่องบรรณาการอันเป็นทิพย์ คืออายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์และความเป็นใหญ่ทิพย์ ตลอดจนรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะอันเป็นทิพย์ ชาวโลกทุกวันนี้ต่างอ้างว่ามีศาสนาประจำใจตน แต่ยังมากไปด้วยความโลภ อยากได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สินที่มิใช่ของตนโดยไม่ชอบธรรม แม้เมื่อไม่ได้หรือได้ไม่พอก็ทำลายล้างกัน ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย พิกลพิการ ขอให้ตนได้ในสิ่งที่ตนอยากได้เท่านั้น ความริษยา อาฆาต พยาบาท ก็เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงไม่แพ้ความโลภ การไม่ชอบหน้ากันเพียงคนสองคน ก็สามารถทำลายล้างคนเป็นแสนๆ ล้านๆ ได้ โลกทั้งโลกที่ต้องวุ่นวายเดือดร้อน ลุกเป็นไฟอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความโลภและความริษยาอาฆาตของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน รวมทั้งผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติผิดธรรม ทอดทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แม้ผู้เป็นพ่อแม่ก็ทอดทิ้งลูกได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อให้พ้นความอับอายขายหน้าเท่านั้น ภัยอันตรายร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเกิด ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนนับแสนนับล้านต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จะโทษใครเล่าถ้าไม่โทษการกระทำอันไร้เมตตาปราณีของพวกเราเองซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ขอมอบ พระพุทธภาษิต เป็นเครื่องเตือนใจเราทั้งหลายว่า เมื่อโลกสันนิวาสอันไฟ (คือราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น) ลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะมัวร่าเริงบันเทิงอะไร เธอทั้งหลายอันความมืดคืออวิชชาปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป(คือญาณปัญญา) เพื่อขจัดความมืดคืออวิชชานั้นเสียเล่า ________________________________________ ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ราชสูตร http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... 856&Z=2880 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท ปิยวรรค http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... =830&Z=861 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ข้อ [๖๖๘] ถึง [๖๗๑] http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... 281&Z=6413 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑ http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... =662&Z=691 อรรถกถา กุมภชาดก http://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=272292 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) คำว่า พรหมวิหาร 4 http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=พรหมวิหาร_4
|
เจ้าของ: | bbb [ 11 ธ.ค. 2009, 10:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด |
มีการสันนิษฐานว่า "รัก" มาจากคำว่า "ราคะ" เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกขาน จึงบั่นทอนให้สั้นลง อนุโมทนาครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 16 ก.ย. 2012, 00:05 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด | ||
![]() "ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง" ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |