วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
การลด ละ สละ หรือวาง เราไม่ได้เป็นผู้ไปทำมันหรอกครับ
ตั้งใจจะไปวาง มันไม่วางหรอก
เพียงแต่เราสร้างเหตุจากการพิจารณาสภาวะตามความเป็นจริงว่ามันไม่น่ายึดมั่นถือมัน
ให้จิตเห็น จิตยอมรับเมื่อไรมันก็จะวางเอง
เพียงแต่หมั่นสร้างเหตุอยู่เรื่อยๆ
ผลคือการปล่อยวาง การละ การสละ ก็ย่อมเกิดได้แน่ครับ
เมื่อใด ก็เมื่อนั้นครับ

อนุโมทนาบุญกับคุณมัทด้วยนะครับ สาธุ :b8:


อาการจิตเห็น :b12: เป็นยังไง...คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
พงพัน เขียน:
การลด ละ สละ หรือวาง เราไม่ได้เป็นผู้ไปทำมันหรอกครับ
ตั้งใจจะไปวาง มันไม่วางหรอก
เพียงแต่เราสร้างเหตุจากการพิจารณาสภาวะตามความเป็นจริงว่ามันไม่น่ายึดมั่นถือมัน
ให้จิตเห็น จิตยอมรับเมื่อไรมันก็จะวางเอง
เพียงแต่หมั่นสร้างเหตุอยู่เรื่อยๆ
ผลคือการปล่อยวาง การละ การสละ ก็ย่อมเกิดได้แน่ครับ
เมื่อใด ก็เมื่อนั้นครับ

อนุโมทนาบุญกับคุณมัทด้วยนะครับ สาธุ :b8:


อาการจิตเห็น :b12: เป็นยังไง...คะ


จิตไม่มีอาการหรอกครับ มีแต่อาการที่เกิดขึ้นได้เพราะมีจิต คืออาการทุกอย่างของขันธ์๕
"อาการจิตเห็น"จึงไม่มี คำว่า"จิตเห็นหรือจิตวาง"เป็นแต่เพียงสมมติขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเท่านั้นครับ
มันเป็นสภาวะที่ลดอวิชชา หรือคลายอุปาทาน เมื่อไปเห็นความเป็นจริงของกายใจ
อาศัยขันธ์เพื่อไปพิจารณาเห็นความเป็นจริง เพื่อคลายอุปาทานที่ยึดระหว่างขันธ์กับจิตครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 3838 ครั้ง ]
พงพัน เขียน:
เอรากอน เขียน:
พงพัน เขียน:
การลด ละ สละ หรือวาง เราไม่ได้เป็นผู้ไปทำมันหรอกครับ
ตั้งใจจะไปวาง มันไม่วางหรอก
เพียงแต่เราสร้างเหตุจากการพิจารณาสภาวะตามความเป็นจริงว่ามันไม่น่ายึดมั่นถือมัน
ให้จิตเห็น จิตยอมรับเมื่อไรมันก็จะวางเอง
เพียงแต่หมั่นสร้างเหตุอยู่เรื่อยๆ
ผลคือการปล่อยวาง การละ การสละ ก็ย่อมเกิดได้แน่ครับ
เมื่อใด ก็เมื่อนั้นครับ

อนุโมทนาบุญกับคุณมัทด้วยนะครับ สาธุ :b8:


อาการจิตเห็น :b12: เป็นยังไง...คะ


จิตไม่มีอาการหรอกครับ มีแต่อาการที่เกิดขึ้นได้เพราะมีจิต คืออาการทุกอย่างของขันธ์๕
"อาการจิตเห็น"จึงไม่มี คำว่า"จิตเห็นหรือจิตวาง"เป็นแต่เพียงสมมติขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเท่านั้นครับ
มันเป็นสภาวะที่ลดอวิชชา หรือคลายอุปาทาน เมื่อไปเห็นความเป็นจริงของกายใจ
อาศัยขันธ์เพื่อไปพิจารณาเห็นความเป็นจริง เพื่อคลายอุปาทานที่ยึดระหว่างขันธ์กับจิตครับ


ถ้าอยากเห็นจิตล้วนๆ โดยไม่มีอาการของจิตจากขันธ์ ๕ ผสมอยู่ในจิต
ต้องทำสมถะกรรมฐาน จนแยกรูปแยกนามได้
แล้วจะเห็นตัวจิตล้วนๆ (ตัวรู้) จิตล้วนๆ ตัวนี้แหละเป็นตัวเห็นอาการต่างๆ ของขันธ์ ๕ (เห็นกาย เห็นจิต เห็นธรรม)
:b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2010, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้เรามาพิจารณาถึงการยึดไม่ได้ ผลักไสไม่ได้ในสภาวะที่เกิด ของรูปนาม-ขันธ์๕
ทุกอย่างล้วนเป็นสภาวะของธรรมชาติที่เกิดขึ้น เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียวครับ
ที่ทำได้คือเราต้องสร้างเหตุเพื่อให้เกิดผลคือการปล่อยวาง โดยวิปัสสนาให้เข้าไปเห็นความเป็นจริงครับ


เราไปยึดอะไรกัน มีอะไรตั้งอยู่ได้ มีอะไรคงอยู่ได้
นักปฏิบัติทั้งหลายให้พิจารณารูป-นามและขันธ์ ๕
เมื่อเราละความยึดมั่นในกายได้
ละความยึดมั่นในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและธรรมมารมณ์ได้
ละความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ได้
ละความยึดมั่นในสภาวะธรรมทั้งหลายทั้งปวงได้
แล้วจะมีอะไรให้ละอีกโลกนี้ ไม่มีแล้ว

เราเพียงอาศัยสมมติอยู่ชั่วคราวเท่านั้นสุดท้ายก็ดับหมด
ร่างกายมันก็มีจริง เป็นสุขจริงเป็นทุกข์จริง แต่เป็นของสมมติ
อย่าคิดว่าสุขไม่มี ทุกข์ไม่มี มันก็มีจริง
เพียงแต่มัน ไม่เที่ยง เท่านั้นเอง จึงว่ามันไม่ใช่ตัวตน
เวลาตายไปสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เหลือแล้ว
สุขกับทุกข์ก็ไม่เหลือแล้ว
มีใครค้านได้บ้างว่าสุขนี้และทุกข์นี้มันเที่ยงแท้และแน่นอน
ละสุขตัวเดียวแล้วทุกข์จะดับหมด
ยอมรับความจริงว่าโลกนี้มีแต่กองแห่งทุกข์
ไม่วิ่งหนีความทุกข์และวิ่งแสวงหาความสุขที่ยังมาไม่ถึง

เราปฏิบัติกันมาก็เห็นแล้วว่า รูปและนามนั้นเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นตัวสมุทัยนั้นแหละคือตัวปัญหา
ไม่ต้องไปละที่ไหนหรอก
ละความยึดมั่นในความพอใจและไม่พอใจในรูป-นาม ขันธ์ ๕ ได้
ขันธ์๕ เป็นสุขก็อย่าไปพอใจกับมัน ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ก็อย่าไม่พอใจกับมัน
เพราะไม่ว่าสุขหรือทุกข์เดี๋ยวมันก็ดับ
เค้าสุขของเค้าเอง เค้าทุกข์ของเค้าเองเป็นธรรมชาติ
แล้วเราจะไปยึดไว้ทำไม


นักปฏิบัติทั้งหลาย เราปฏิบัติต้องเข้าไปค้นกายให้หนัก
ให้เห็นกายโดยความเป็นทุกข์ ให้เกิดความเบื่อหน่ายในกาย
ให้เห็นกายโดยความเป็นธาตุ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในกาย
เมื่อละรูป รส กลิ่น เสียง กามคุณทั้งหลายทั้งปวงได้
โดยอาศัยหลักแห่งความพอใจและไม่พอใจ
ไม่ทุกข์ไม่สุขเพราะรูป รส กลิ่น เสียง กามคุณ จิตรวมอยู่เป็นกลางได้
ความเศร้าหมองและผ่องแผ้วของจิตก็ไม่เที่ยง
ก็วางก็ละความยึดมั่นในจิตเสีย

แม้พิจารณาสภาวะธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล นั้นก็ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลายจึงยึดถือไว้ไม่ได้
เราก็ไม่มีในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ นี้ก็หาความเป็นเราไม่เจอเลย
ไม่มีเราอยู่ในธรรม เราปฏิบัติมาทั้งหมด ไม่มี ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา อยู่เลย
ทุกอย่างเป็นสมมติ เป็นก้อนธาตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นสภาวะธาตุ สภาวะธรรม ทั้งหมดไม่มีอะไรให้ยึด
ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรให้ยึดเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2010, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ คุณพงพัน และกัลยาณมิตร ธรรม ทุกท่าน
หากชีวิตตั้งมั่นในวิปัสสนา จะสามารถดับทุกข์ได้
สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นนนน เขียน:
สาธุ สาธุ คุณพงพัน และกัลยาณมิตร ธรรม ทุกท่าน
หากชีวิตตั้งมั่นในวิปัสสนา จะสามารถดับทุกข์ได้
สาธุ สาธุ


สาธุเช่นกันครับ
ควรตั้งมั่นในวิปัสสนา
จนรู้แจ้งจากการวิปัสสนาว่า
ผู้วิปัสสนาก็ไม่มี
การวิปัสสนาก็ไม่มี
ผู้จะดับทุกข์ก็ไม่มี
ทุกข์ที่ให้ดับก็ไม่มี
ไม่มีคือไม่มีเราในสภาวะใดเลย
หาเราไม่เจอเลย
ที่มีอยู่ มันมีโดยสมมติ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
มีในความไม่ใช่เรา
แล้วเรายึดอะไร
ทุกอย่างล้วนเป็นสภาวะธาตุสภาวะธรรม
ซึ่งธรรมทั้งหลายนั้นก็ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันนี้ขณะปฏิบัติ ใจก็คิดไปเรื่อยๆ
ถึงเรื่องปัญหาต่างๆ ที่วนเข้าเวียนออก ไม่เว้นแต่ละวัน
ชิวิตที่ไม่แน่นอนเลย ไม่สามารถจะบอกใครได้เลยว่า
วันนี้อยู่ที่นี่ พรุ่งนี้จะไปที่ไหน? อาทิตย์หน้า เดือนหน้า
จะเป็นอย่างไร? เขาก็มาปรากฎให้เห็นชัดๆ ถึงการ
"เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป" รุ้แต่ไม่เข้าใจ รุ้ว่าไม่มีอะไร
ที่แน่นอนสักอย่าง....รู้ว่าสรรพสิ่งย่อมแปรปรวนเป็นธรรมดา
รู้ว่า ไม่มีอะไรที่คงทน แม้กระทั่งชีวิตของเรา แต่เป็นการรู้
แบบไม่แจ่มแจ้ง....เหมือนมีอะไรสักอย่างที่กั้นอยู่ ทำให้
ไม่เข้าถึงซึ่งความจริง ถูกกั้นด้วยผ้าม่านบางๆ แค่เปิดผ้าม่านออก
ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด...แต่ก็เปิดไม่ได้.... :b10:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
วันนี้ขณะปฏิบัติ ใจก็คิดไปเรื่อยๆ
ถึงเรื่องปัญหาต่างๆ ที่วนเข้าเวียนออก ไม่เว้นแต่ละวัน
ชิวิตที่ไม่แน่นอนเลย ไม่สามารถจะบอกใครได้เลยว่า
วันนี้อยู่ที่นี่ พรุ่งนี้จะไปที่ไหน? อาทิตย์หน้า เดือนหน้า
จะเป็นอย่างไร? เขาก็มาปรากฎให้เห็นชัดๆ ถึงการ
"เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป" รุ้แต่ไม่เข้าใจ รุ้ว่าไม่มีอะไร
ที่แน่นอนสักอย่าง....รู้ว่าสรรพสิ่งย่อมแปรปรวนเป็นธรรมดา
รู้ว่า ไม่มีอะไรที่คงทน แม้กระทั่งชีวิตของเรา แต่เป็นการรู้
แบบไม่แจ่มแจ้ง....เหมือนมีอะไรสักอย่างที่กั้นอยู่ ทำให้
ไม่เข้าถึงซึ่งความจริง ถูกกั้นด้วยผ้าม่านบางๆ แค่เปิดผ้าม่านออก
ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด...แต่ก็เปิดไม่ได้.... :b10:


ลองพิจารณาตอนนี้นะครับ ในปัจจุบันขณะนี้ เดี๋ยวนี้
ให้เห็นตัวจริงๆของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ดูรูปกายนี้เป็นดินน้ำลมไฟ ล้วนแล้วแต่มาจากธรรมชาติเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่เที่ยงแล้ว
ดูเวทนาความรู้สึก ซึ่งไม่เที่ยงแล้ว
ดูสัญญาความจำ ไม่เที่ยงแล้ว
ดูสังขารความคิดปรุงแต่ง ก็ไม่เที่ยงแล้ว
และตัววิญญาณที่เป็นผู้ดู ผู้รู้อยู่ ผู้ที่กำลังอ่าน กำลังพิจารณาอยู่นี้ ผู้ที่เข้าใจขณะนี้
ดูว่ามันเที่ยงหรือเปล่า
มันเป็นเราหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่แล้ว มีเราตรงไหน มีอะไรที่เที่ยงอีกหรือยึดได้อีก
ขันธ์ทั้ง๕นี้ มีตรงไหนที่เป็นเราอยู่อีกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งนี้ เรามาพิจารณาหาความเป็นเราในรูปนาม-ขันธ์๕นี้กันครับ
ว่ามีเราอยู่ในขันธ์๕นี้หรือเปล่า

รูปอันนี้ประกอบขึ้นมาจากธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
แล้วเราอยู่ตรงไหนในความเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ
แม้เราจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรา
แต่จิตมันยังไม่ยอมรับ
เราจึงต้องเข้าไปถาม เข้าไปค้น เข้าไปพิจารณา
เมื่อยกดิน ยกน้ำ ยกลม ยกไฟ ขึ้นมาพิจารณาหาเราไม่เจอแล้ว
ก็ให้พิจารณาต่อไปว่า
ความสุขความทุกข์การปล่อยวางนิ่งเฉย คือตัวเวทนาทั้งหลายนั่น
มันเป็นของเรารึปล่าว
แล้วจึงถามหาต่อไปอีกว่า เมื่อมันไม่ใช่ของเรา แล้ว
สัญญา สังขาร วิญญาณ จะเป็นของเราได้อย่างไร
จึงต้องอาศัยการเข้าไปค้น
เข้าไปพิจารณาอยู่บ่อยๆ จนจิตยอมรับจะปล่อยวางเอง

ที่เราปฏิบัติกันมาส่วนมากไม่ได้เอาตรงนี้เป็นหลัก
จะเอาแต่ “ตัวรู้” กันอย่างเดียว
จะเอาแต่สติรู้กายทั่วพร้อม
เราจึงไม่รู้ถึงความเป็นจริงของภายในร่างกาย
เราปฏิบัติไม่ได้จะเอาแต่สติ เอาแต่ตัวรู้
แต่เราปฏิบัติเพื่อให้มันหาย “หลง”
คนเรามันก็หลงแค่กาย เห็นว่าเป็นเรา เป็นเขา

เราไม่ได้เป็นผู้ปล่อย
แต่จิตเท่านั้นที่เป็นผู้ปล่อย
เราเพียงแต่อาศัยอุบายพิจารณาเพื่อวางฐานให้จิตเค้าเห็นความจริง
เพื่อที่จิตเค้าจะยอมรับความจริงเอง
เมื่อจิตเห็น จิตเค้าก็ละเอง ปล่อยวางเอง
ถึงแม้เราจะรู้โดยสัญญาแล้วว่าไม่มีเราอยู่โดยแท้จริง
เป็นเพียงดิน น้ำ ลม ไฟ โดยแท้จริง
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สัญญา ความจำได้หมายรู้เท่านั้น
เรารู้จักแต่ชื่อแต่ยังไม่เห็นตัวจริงของเขา
เพราะการที่เราจะละ เราไม่ได้ละที่ชื่อ
เราละที่ตัวจริงของเขา ในหน้าตา ลักษณะอาการของเขา
เขาไม่เที่ยงยังไง เขาเป็นทุกข์ยังไง เขาไม่ใช่ตัวตนยังไง
เราต้องเห็นด้วยความเป็นไตรลักษณ์อย่างนี้
เราต้องเอาไตรลักษณ์ไปตั้ง
ไม่งั้นเราจะเห็นด้วยความยึดมั่นถือมั่น เราจะปล่อยวางไม่ได้
เราจะปล่อยวางได้ต่อเมื่อเห็นเป็นไตรลักษณ์
หมดความยึดมั่นถือมั่นในกอง ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ 5 ทั้งปวงแล้ว

เราอยู่กับสิ่งที่มันไม่เที่ยง
คืออยู่กับของที่จะต้องดับ
แต่เราไปหลงว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นของเรา แต่สุดท้ายมันก็ดับไป
สิ่งต่างๆในโลกเกิดมาด้วยความไม่มีอยู่แต่เดิม
สุดท้ายก็กลับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิม
เราก็ไปหลงไปยึดความไม่มีนั่น
ไปยึดสภาพความแปรปรวนที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดาเหล่านั้น
ด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ในไตรลักษณ์
จึงเกิดความหลงอันเป็นเหตุที่จะต้องเข้าไปค้นหา ความเป็น “เรา”
ว่าจริงๆแล้วมีเราอยู่โดยแท้จริงหรือไม่


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 24 เม.ย. 2010, 17:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ...

กิเลสไม่เคยทำให้เราสมหวัง..

ความสมหวัง..ที่ได้จากกิเลส..ไม่เคยมี

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พยายามพิจารณาตามที่ท่านแนะนำ
แต่ก็ยังเข้าไม่ค่อยถึง.....วันนี้ขณะปฏิบัติ....คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
ส่วนมากก็จะเป็นอดีตที่ผ่านมา....นานมาแล้วก็มี ไม่ค่อยนานมาก
ก็มี หรือแม้กระทั่งเมื่อวาน เมื่อกี้นี้ก็มี...แล้วก็คิดว่า....จิตของคนเรา
เหมือนฟองน้ำเลย....สามารถซับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาได้แบบ
แทบทุกอย่าง....บันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี...พอได้ปัจจัย
ที่เหมาะสม ก็จะโผล่ออกมา เรื่องบางเรื่องนานมากและไม่เคยนึกถึง
และไม่เคยรู้เลยว่ามันอยู่ในใจมาตลอด...ก็ยังโผล่ออกมาเมื่อสบ
โอกาส.....นี่ละมั้งคือตัว"สัญญา".... :b14:

วันนี้ได้แค่นี้ค่ะท่านพงพัน....พยายามจะพิจารณา ขันธ์ห้าตามคำแนะนำ
แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน? อย่างไร?....คงต้องพยายามกันต่อไป :b4:

อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สาธุ...

กิเลสไม่เคยทำให้เราสมหวัง..

ความสมหวัง..ที่ได้จากกิเลส..ไม่เคยมี

:b12:


สาธุครับคุณกบ ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ :b1:
โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่คู่กับกายใจเป็นธรรมชาติครับ
เราไปให้ความหมายไปให้สมมติกับธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นๆเอง
แล้วเกิดเป็นความหวัง เป็นสมหวัง ไม่สมหวังตามมา
ความสมหวังก็เกิดจากสมมติ ไม่สมหวังก็เกิดจากสมมติ
เราทุกข์เราสุขก็เพราะไปให้ความสำคัญกับสมมตินี้
เพราะฉนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไร เราก็สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าให้มันเป็นไป
แค่ทำตามหน้าที่ที่พึงทำให้ดีที่สุดก็พอ ไม่คาดหวังมากนัก
ไม่ไปให้ความหมายมากมาย เป็นผู้ดูผู้รู้ไป ใจมันก็จะคลายความยึดมั่นไปได้บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
พยายามพิจารณาตามที่ท่านแนะนำ
แต่ก็ยังเข้าไม่ค่อยถึง.....วันนี้ขณะปฏิบัติ....คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
ส่วนมากก็จะเป็นอดีตที่ผ่านมา....นานมาแล้วก็มี ไม่ค่อยนานมาก
ก็มี หรือแม้กระทั่งเมื่อวาน เมื่อกี้นี้ก็มี...แล้วก็คิดว่า....จิตของคนเรา
เหมือนฟองน้ำเลย....สามารถซับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาได้แบบ
แทบทุกอย่าง....บันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี...พอได้ปัจจัย
ที่เหมาะสม ก็จะโผล่ออกมา เรื่องบางเรื่องนานมากและไม่เคยนึกถึง
และไม่เคยรู้เลยว่ามันอยู่ในใจมาตลอด...ก็ยังโผล่ออกมาเมื่อสบ
โอกาส.....นี่ละมั้งคือตัว"สัญญา".... :b14:


อนุโมทนาบุญด้วยครับ
ที่คิดขึ้นมาทั้งหมดเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง
สังขารทำงานได้ก็เพราะมีสัญญาที่เป็นตัวจำสิ่งต่างๆไว้ทั้งหมด
ควรพิจารณาในความเป็นไตรลักษณ์ของทั้งสัญญาและสังขาร
ว่าสัญญาความจำนี้เป็นทุกข์หรือไม่ เที่ยงหรือไม่ ใช่ตัวใช่ตนหรือไม่ ถ้าร่างกายเราดับไป สัญญานี้จะยังคงอยู่หรือไม่
และสังขารความคิดปรุงแต่งนี้เป็นทุกข์หรือไม่ เที่ยงหรือไม่ ใช่ตัวใช่ตนหรือไม่
พิจารณาให้เห็นตัวจริงของมัน อาการจริงๆของมันไม่ว่าจะในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงหรือไม่ใช่ตัวตน
เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้ว มันมีเราอยู่ตรงไหนในสัญญาและสังขาร ที่เกิดดับเกิดดับนั้น


taktay เขียน:
วันนี้ได้แค่นี้ค่ะท่านพงพัน....พยายามจะพิจารณา ขันธ์ห้าตามคำแนะนำ
แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน? อย่างไร?....คงต้องพยายามกันต่อไป :b4:


แนะนำให้เริ่มจากการพิจารณารูปหรือร่างกายเรานี้ครับ ในความเป็นธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เพราะนามธรรมทุกอย่างในขันธ์ คือ เวทนา(ความรู้สึก) สัญญา(ความจำ) สังขาร(ความคิด) วิญญาณ(ตัวรู้) ก็เกิดขึ้นได้เพราะมีรูปนี้เป็นที่ตั้ง
ถ้าทำลายความยึดมั่นในกายนี้เสียได้ ยอมรับในความไม่ใช่เราในกายนี้เสียได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เกิดจากรูปอันเป็นที่ตั้งนี้ก็จะไม่มีความหมายเช่นกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้มาพิจารณาความหลงในทุกอย่างอันเนื่องมาจากสภาวะธาตุ คือธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสมมติทั้งหมด
ความเข้าใจก็เป็นของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมด
ที่มันรู้ได้ก็เพราะดิน น้ำ ลม ไฟ
ที่มันหลงได้ก็เพราะ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ที่มันยึดมั่นถือมั่นไว้ได้ก็เพราะ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ความสุข ความทุกข์ ความว่างเปล่าก็เพราะ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ก็เพราะตัวเรานี่แหละ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เกิดมาอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ
เมื่อก่อนมันก็ไม่มีเรามา ก่อนเกิดมาก็ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ นี้
พอมีขึ้นมามันก็เกิด ความรู้ ความเข้าใจ ความจำ ความสุข ความทุกข์ การปล่อยวาง การวางเฉย ต่างๆ นานา ขึ้นมา

เด็กๆ เราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
พอโตขึ้นมา เราก็รู้นั่น รู้นี่ จำได้ คิดได้
พอแก่ตัวไปความรู้ความจำก็เสื่อมไปเป็นลำดับ
แม้เป็นหนุ่มเป็นสาว ความรู้ ความจำนี่ก็ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็จำไม่ได้ เดี๋ยวคิดได้ เดี๋ยวคิดไม่ได้
เกิด-ดับ สลับกันอยู่ทุกวัน ทุกเวลา
หลับไปก็ไม่รู้ ตื่นมาถึงรู้ได้
เพราะขันธ์ 5 มันสมบูรณ์ มันยังไม่เสื่อมเราถึงรู้ได้
แก่ตัวไปมันเสื่อมลง ตัวรับรู้ต่างๆ ก็เสื่อมลงตามลำดับ
ถ้าเราเป็นอัมพาต ตัวรู้ทางกายนี่ก็เสื่อม
ถ้าสัญญาความจำมันเสื่อม ตัวรู้นี่ก็เสื่อม
เพราะฉะนั้นถ้าดิน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่มันยังไม่เสื่อมมันก็รู้ได้ชัด
แต่ถ้าวันไหนมันเสื่อมมันก็ไม่รู้ขึ้นมาแล้ว
เพราะดินมันเสื่อม ตาฝ้าฟาง หูก็ตึง จมูกก็ไม่ค่อยได้กลิ่น
กายนี่บางทีก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรา รู้ๆ ทั้งหมด จึงไม่ใช่ตัวตน
แล้วเราไปยึดอะไรมัน มันมีอะไรให้ยึด
ไม่รู้จะยึดให้มันมีอะไรขึ้นมา
ไอ้ตัวไม่ยึดก็ไม่ใช่เรา
เพราะเราเองก็มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ
ความคิดก็มาจากสมอง สมองก็เจริญเติบโตมาจากธาตุดิน
ที่พูดออกมาได้เพราะดิน ปากนี่ก็มาจากธาตุดิน เจริญมาจากธาตุดิน
เพราะฉะนั้นเราหลงสภาวะ
สภาวะที่เกิด-ดับ การรู้ การจำ การคิด
เราหลงในสมมติ หลงในความเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
หลงอาการ ทั้งหลายที่มันไม่เที่ยงเพียงเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันคนปฏิบัติมักนิยมวิปัสสนากันอยู่แล้วค่ะ เพียงแต่มีสารพันวิธีที่แต่ละผู้แต่ละคนคิดและปฏิบัติต่างกันไป

จุฬาภินันท์ก็ทำวิปัสสนาค่ะแต่ทำเมื่อเข้าใจในสมถะสมาธิที่แท้แล้ว การทำวิปัสสนาจะทำได้ก็ต่อเมื่ิอจิตเข้าสู่สมาธิแล้วจากการทำสมถะ เพราะฉะนั้นอารมณ์ของจุฬาภินันท์เมื่อทำวิปัสสนาจะเป็นกลางตลอดเวลา แต่ความคิดต่างหากที่โลดแล่นไปตามแต่จิตจะดึงเอาความจำขึ้นมา ต่อไปก็เป็นการรู้ทันความคิดของตัวเองและพิจารณาความคิดนั้นๆ พิจารณาตามเหตุและผลตามความเป็นจริงที่อิงเข้ากับหลักสัจธรรม ยากก็ตรงที่หลักสัจธรรมนี่แหละ่ค่ะกว้างมากเข้าใจยาก สัจธรรมจะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อได้ปัญญาธรรมแล้วเท่านั้น และปัญญาธรรมก็จะเข้าถึงได้เมื่อจิตของผู้ปฏิบัติถึงเวลาได้รับค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร