วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 02:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีครับทุกคน วิปัสสนากันเป็นอย่างไรบ้างครับ
ไม่ทราบว่าจะพิจารณาดูกายกันอย่างหนักหรือเปล่า

วันนี้เรามาพิจารณาความเป็นทุกข์ของขันธ์กันครับ ว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร
มาดูว่าทำอย่างไรจึงจะดับตัณหาที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นได้
แต่ไม่ใช่การไปดับทุกข์ของขันธ์นะครับ

การที่จะเข้าไปตรัสรู้ คือ รู้อะไร ?
ก็คือรู้เรื่องอริยสัจ รู้เรื่องของทุกข์
ร่างกายของเรานั่นเต็มไปด้วยกองแห่งทุกข์
ให้พิจารณาทุกข์ของร่างกายและทุกข์ของจิตใจ
ทุกข์เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์
ชีวิตของเราจึงพยายามวิ่งแก้ทุกข์กัน
เหมือนเรากินข้าว กินเพื่อไม่ให้ร่างกายมันทุกข์
เหมือนร่างกายที่คิดว่ามันสวยงาม
จริงๆแล้วมันไม่ได้สวย แต่เราก็ไปแก้ให้แลดูสวยงาม
อาบน้ำ ปะแป้งให้มันแลดูงามขึ้น
สระผม เอาเครื่องสำอางไปตกแต่ง
ซึ่งจริงๆแล้ว หน้าถ้าไม่ล้างมันก็สกปรก
ฟันไม่แปรงมันก็เหม็น เป็นเหมือนกันทุกคน
แก้ยังไงก็ไม่หาย ก็สกปรกอยู่ทุกวัน
เราก็แก้อยู่ทุกวัน แก้มาตั้งแต่เด็ก จนวันตาย
ยืนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ เราเปลี่ยนอริยาบถก็เพื่อแก้ความทุกข์
ดื่มน้ำ กินข้าว ไปก็ต้องขับต้องถ่าย ไม่งั้นมันก็ทุกข์
แม้แต่ลมหายใจเข้า-ออก มันก็ทุกข์
หายใจเข้าไม่เอาออกก็ทุกข์ หายใจออกไม่เอาเข้าก็ทุกข์
เราเป็นขี้ข้าแก่ร่างก่ายอยู่ทุกวัน
เราไม่เคยไปพิจารณามันเลย
แล้วเราได้สุขอะไรจากการเกิดมาบ้าง
ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเป็นทุกข์ฉันนั้น

เมื่อเราเข้าไปรู้ความจริง ว่าขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่ใช่ตัวตน
เมื่อเราไปเห็นความจริงชัดขึ้นๆ
ตัวไม่รู้ความจริงคืออวิชชามันก็ตาย
วิชชาจึงเกิด นี่แหละ จึงเรียกว่า วิชชาจารณสัมปัณโณ
รู้แจ้งเห็นจริงในกระบวนการของเขาว่า
สิ่งต่างๆบังคับบัญชาไม่ได้ ยึดไม่ได้
ทุกข์จะไปบังคับให้มันสุขก็ไม่ได้
ของไม่สวยไม่งามจะบังคับให้สวยให้งามก็เป็นไปไม่ได้
มันเป็นทุกข์อยู่ แต่เราก็ไปแต่งให้มันสุขเอง ไปแต่งให้มันสวยเอง
หลอกตัวเอง ทำเองหลอกเอง ปรุงเองแต่งเอง
แล้วเราก็ยึดเอง ทุกข์เอง นั้นแหละ
แต่ถ้าเราไปเห็นความจริงว่ามันไม่สวยไม่งามจริงๆ
เป็นทุกข์จริงๆ มันก็ละ ก็ถอดถอนเองนั้นแหละ
เราจะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก
ถ้าไม่อยากเกิดก็ต้องพิจารณาตรงนี้
ปฏิบัติรู้ได้เห็นได้แน่นอน

ปฏิบัติทั้งหมดเราดับทุกข์ตัวเดียว
คือทุกข์เพราะตัณหาหรือการดับสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ มิใช่ไปไล่ดับตัวทุกข์
เราต้องดับการที่เข้าไปยึดความพอใจและไม่พอใจ
หรือพยายามผลักไสความพอใจความไม่พอใจ
ที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะเข้าไปยึดขันธ์ ๕
เมื่อปล่อยวางขันธ์ ๕
ความพอใจและไม่พอใจให้เป็นอิสระได้แล้ว
เราก็สบายไม่ทุกข์เพราะขันธ์ ๕
ไม่ทุกข์เพราะความพอใจและไม่พอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 18:24
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue smiley ขออนุโมทนาสาธุกะคุณพงพันด้วยน่ะครับ สาธุ.......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งขอรับท่านพงพัน.. :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b8: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b48: :b41: :b35: :b35: :b35: :b41: :b48:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำคมนี้ตามหลอนอีกแล้ว เอามาลงบ่อยๆเขิลนะครับเนี่ย :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงกรานต์นี้ เที่ยวไปด้วยวิปัสสนากันไปด้วยก็ได้นะครับ
อย่าลืมพิจารณาดูกายในความเป็นธาตุ๔ ลงสู่ความเป็นไตรลักษณ์กันบ่อยๆนะครับ

วันนี้มาดูจุดมุ่งหมายในการวิปัสสนากัน เพื่อเข้าใจแนวทางในการปฏิบัติมากขึ้นครับ

การปฏิบัติธรรมทำกรรมฐานแบ่งออกเป็นสองประการ
คือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
สมถกรรมฐานนั้นคือ...“การย่อ”… การรวมอารมณ์ของเราให้เป็นหนึ่ง
ส่วนวิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็น ...“การขยาย”...เป็นการขยายสภาวะธรรมทั้งปวง
ให้เข้าไปสู่จุดของความรู้เห็นรู้แจ้งในสัจธรรม
คือความจริงของรูป-นาม ขันธ์ ๕
เรียกว่ารู้ไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในกระบวนการของขันธ์ ๕
เพื่อมาถอดถอนความยึดมั่น ถือมั่น ในรูป-นาม ขันธ์ ๕ ที่เราอาศัยอยู่

เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมก็เพื่อละความยึดมั่นถือมั่น
เพราะคนเราทุกข์ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น
ทุกข์เพราะอุปาทาน ทุกข์เพราะตัณหา
ตัณหาที่พาเราไปเกิดเพราะความลุ่มหลง
ลุ่มหลงอยู่ในรูป-นาม ขันธ์ ๕
ลุ่มหลงอยู่ในกายว่า กายนี้เป็นของเรา
ลุ่มหลงอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ ว่าเป็นของเที่ยง
เป็นของที่ยึดมั่นถือมั่นได้

เราเข้าไปพิจารณาเพื่อถอดถอนความยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
และรูป-นาม กามคุณทั้งหลายเหล่านั้น เพื่ออะไร…?
ก็เพื่อที่เราจะไม่ทุกข์เพราะรูป เพราะนาม เพราะกามคุณ ทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
เพราะคนเราทุกข์เพราะยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
เราจะดับทุกข์ได้เราต้องใช้วิปัสสนาดังที่กล่าวแล้วในข้างต้น
เข้าไปพิจารณาขันธ์ ๕
โดยที่เมื่อจิตเราสงบโดยการทำสมถกรรมฐานแล้ว
เราก็อาศัยปัญญาเข้าไปพิจารณาร่างกาย ขันธ์ ๕
ที่เราอาศัยอยู่ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย
ว่ามันเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วต้องดับไปเป็นธรรมดา
มันจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


สุขสันต์วันสงกรานต์
ขอให้ถึงซึ่ง ความสว่าง สะอาดและสงบนะค่ะท่านพงพัน

อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
สุขสันต์วันสงกรานต์
ขอให้ถึงซึ่ง ความสว่าง สะอาดและสงบนะค่ะท่านพงพัน

อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:


สาธุ สาธุครับ
สุขสันต์คุณทักทายและทุกท่านเช่นกันครับ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้เรามาดูวิธีการปล่อยวางโดยการเข้าไปรู้ความจริงอันเป็นธรรมชาติของขันธ์๕
ยอมรับและรู้แจ้งในไตรลักษณ์ของขันธ์๕ จิตจะละความยึดมั่นในขันธ์๕ ไปเสียเอง

การปฏิบัติทั้งหมดเราไม่ได้ไปละอะไรเลย
เพียงแต่ไปรู้ความจริง แล้วก็หยุดความจริง
โดยที่ไม่หลงความจริง และไม่ฝืนความจริง
รู้ในธรรมชาติ แล้วก็ไม่หลงในธรรมชาติ
และปล่อยวางทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติทั้งหมด
เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ขันธ์ ๕ ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ตัวผู้รู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน
จริงๆแล้วเป็นธรรมชาติทั้งหมด
ไม่มีเราอยู่เลย เป็นเพียงสมมติของธรรมชาติทั้งหมด

ถ้าเราแจ้งในธรรม ในกระบวนการของมันทั้งหมดแล้ว
มองไปทางไหนก็ไม่มีเรา
มองอนาคตก็ไม่มีเรา มองอดีตก็ไม่มีเรา แม้ในปัจจุบันก็หาเราไม่เจอ
ทั้งสิ่งที่ถูกรู้และตัวผู้รู้ หาเราไม่เจอในกองขันธ์ ๕ และรูป-นาม นี้
มองไปทางไหนก็มีแต่ธาตุ มองทางไหนก็มีแต่สมมติ
มองทางไหนก็มีแต่ของที่ไม่เที่ยง เกิด-ดับ อยู่อย่างนั้น
หาความเป็นอะไรไม่มี
เพราะทุกอย่างเป็นสมมติทั้งหมด
ในเมื่อเป็นสมมติ เรายึดไว้ก็เป็นอุปาทาน
เมื่อยึดอุปาทานก็ทำให้เกิด “ทุกข์”
การละตัณหาก็คือการละตัวอุปาทานนั้นเอง

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเราไม่ได้ไปเอาอะไร
ถ้ายังเอาอยู่ก็ยังไปนิพพานไม่ได้
เพียงแต่ไม่เอามันทั้งหมด ไม่เอาขันธ์ ๕ ไม่ยึดขันธ์ ๕
หาเราไม่เจอในรูป หาเราไม่เจอนาม หาเราไม่เจอในสมมติทั้งปวง
จึงเป็นวิมุติหลุดพ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคนวิปัสสนากันเป็นอย่างไรบ้างครับ
อย่าลืมพิจารณากายใจ(ขันธ์๕)สู่ความเป็นไตรลักษณ์ อยู่เป็นเนืองๆนะครับ

วันนี้มาดูกันว่าการปล่อยวางนั้น ควรทำอย่างไรดี

การปฏิบัติไม่ใช่ไปละไม่ให้มันมีเลย
ขันธ์ ๕ ยังคงทำงานของมันอยู่
ตัวสั่งก็สั่งอยู่ ตัวรู้ก็รู้อยู่ สังขารยังคงปรุงแต่งทำหน้าที่ของมันอยู่ มันห้ามไม่ได้
ตราบใดยังมีลมหายใจอยู่ คำว่าขันธ์ ๕ ยังไงก็คงอยู่
แต่ทำยังไงเราจะรู้ว่า สิ่งที่มีอยู่ มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
เหมือนลมที่มันพัดนี่ใครเป็นผู้สั่งให้มันพัด

คำว่ายากไม่มีเลย เพียงแต่เราไม่เอามันทั้งหมด
ไม่เอา มันง่ายจะตาย เอานั้นมันยากจะตาย
ของมันมีทั้งโลกจะเอาหมดมันเอาไหวหรือ
แค่ขันธ์ ๕ ของเรานี่แบกไว้ ยึดไว้ มันยังหนักยังยากจะตาย
แค่ไม่เอามันเท่านั้นมันสบายกว่าเยอะ

การปล่อยวางเราจะปล่อยได้ เราต้อง “เห็นโทษ” ของมัน
เห็นโทษของการไปแบก ไปยึดไว้มันจึงหนัก
พอปล่อยวางได้แล้วมันก็เบา มันก็สบาย
มีอยู่ทั้งหมดแต่ไม่ยึด ไม่แบกมันไว้มันก็สบาย
นี่แหละที่เราหลงอดีต หลงปัจจุบัน หลงอนาคต
พิจารณาเถิด ในอดีตก็ไม่มีเรามา ปัจจุบันก็มีอยู่แค่ชั่วคราวโดยสมมติ
และอนาคตก็ไม่มีเรา
ด้วยความที่เราไปยึดของสมมติชั่วคราวในปัจจุบันนั่นแหละ
เราถึงไปฝืนธรรมชาติ เราถึงทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจะให้มันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
ย่อมเป็นไปไม่ได้ ตราบใดยังมี ขันธ์ ๕ อยู่
กิเลสก็ย่อมอยู่ฉันนั้น เพราะขันธ์ ๕ คือกิเลส กิเลสคือขันธ์ ๕
การปล่อยวางขันธ์ ๕ คือการปล่อยวางกิเลสนั่นเอง
แต่ตราบใดยังมีชีวิตอยู่เราก็ต้องอาศัยธาตุขันธ์ในการพาอยู่ พากิน พาอาศัยขับถ่าย
ถ้าเราจะดับกิเลส ดับขันธ์ โดยที่ไม่ให้มันมีความรู้สึกอะไรเลย
มีแต่ คนตาย เท่านั้นแหละที่ดับได้
พระอรหันต์ท่านก็ดับไมได้ ดับไม่ได้หรอก
แต่เราจะทำอย่างไร ให้ไม่ทุกข์เพราะมัน
ก็ต้องเห็นโทษของการเข้าไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน
คอยบังคับบัญชา คอยสั่ง คือตัวนี้แหละต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

ตราบใดยังไม่เห็นโทษของขันธ์ ๕
มันไม่ยอมวางหรอก
ต่อเมื่อเห็นโทษของการเข้าไปยึดว่าขันธ์ ๕ นี่เป็นฟืน เป็นไฟ
เผารนเรามาทุกชาตินั้นแหละจึงจะปล่อยวาง ละมันได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอ อนุโมทนาสาธุกับท่านด้วยครับ
ถ้าสังคมไทยเรียนรู้ธรรมะในรูปของปรมัตถธรรม ตั้งแต่ผู้นำประเทศลงมาจนถึงพลเมือง สังคมไทยก็จะอยู่อย่างสงบสุขยิ่ง
ขอจงเจริญในธรรม :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพงพัน เขียน:
การปล่อยวางเราจะปล่อยได้ เราต้อง “เห็นโทษ” ของมัน
เห็นโทษของการไปแบก ไปยึดไว้มันจึงหนัก
พอปล่อยวางได้แล้วมันก็เบา มันก็สบาย
มีอยู่ทั้งหมดแต่ไม่ยึด ไม่แบกมันไว้มันก็สบาย
นี่แหละที่เราหลงอดีต หลงปัจจุบัน หลงอนาคต
พิจารณาเถิด ในอดีตก็ไม่มีเรามา ปัจจุบันก็มีอยู่แค่ชั่วคราวโดยสมมติ
และอนาคตก็ไม่มีเรา
ด้วยความที่เราไปยึดของสมมติชั่วคราวในปัจจุบันนั่นแหละ
เราถึงไปฝืนธรรมชาติ เราถึงทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้


เห็นแล้ว....บางอย่างก็วางได้
บางอย่างก็ยังจำต้องถือไว้...เพราะหน้าที่ :b1:

ท่านพงพัน เขียน:
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเราไม่ได้ไปเอาอะไร
ถ้ายังเอาอยู่ก็ยังไปนิพพานไม่ได้
เพียงแต่ไม่เอามันทั้งหมด ไม่เอาขันธ์ ๕ ไม่ยึดขันธ์ ๕
หาเราไม่เจอในรูป หาเราไม่เจอนาม หาเราไม่เจอในสมมติทั้งปวง
จึงเป็นวิมุติหลุดพ้น


กะลัง ลด ละ สละ วาง อยู่น่ะค่ะท่านพงพัน
เรื่อยๆ เมื่อใด....ก็เมื่อนั้น :b4: :b1:

:b43: :b43: :b43:

:b8: ขออนุโมทนาสาธุการอย่างยิ่งยวดกับธรรมที่นำมาแสดง
...และสวัสดีปีใหม่ไทย "ท่านพงพัน" ด้วยค่า
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุ สำหรับธรรมะดีดีที่นำมาฝากกันค่ะ...คุณพงพัน

สุขกายสุขใจ ตลอดปีใหม่ไทยและตลอดไปค่ะ...กัลยาณมิตรทุกท่าน


:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีปีใหม่ไทยครับคุณมัทและทุกท่าน

มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
ท่านพงพัน เขียน:
การปล่อยวางเราจะปล่อยได้ เราต้อง “เห็นโทษ” ของมัน
เห็นโทษของการไปแบก ไปยึดไว้มันจึงหนัก
พอปล่อยวางได้แล้วมันก็เบา มันก็สบาย
มีอยู่ทั้งหมดแต่ไม่ยึด ไม่แบกมันไว้มันก็สบาย
นี่แหละที่เราหลงอดีต หลงปัจจุบัน หลงอนาคต
พิจารณาเถิด ในอดีตก็ไม่มีเรามา ปัจจุบันก็มีอยู่แค่ชั่วคราวโดยสมมติ
และอนาคตก็ไม่มีเรา
ด้วยความที่เราไปยึดของสมมติชั่วคราวในปัจจุบันนั่นแหละ
เราถึงไปฝืนธรรมชาติ เราถึงทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้


เห็นแล้ว....บางอย่างก็วางได้
บางอย่างก็ยังจำต้องถือไว้...เพราะหน้าที่ :b1:


ที่ว่าเห็นแล้ว ผู้ที่เข้าไปเห็น ไปรู้ ก็เป็นสภาวะของขันธ์ใช่ไหมครับคุณมัท
เป็นวิญญาณขันธ์ ที่เข้าไปเห็นความเป็นจริง เป็นสภาวะนึงที่ไม่เที่ยงเช่นกัน ยึดมั่นไว้ไม่ได้เช่นกันใช่ไหมครับ

บางอย่างที่วางได้มันเป็นทุกข์ไม่เที่ยงแล้วก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราใช่ไหมครับคุณมัท
แล้วบางอย่างที่จำต้องถือไว้อยู่ มันก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่เราด้วยไม่ใช่หรือครับ
แล้วยังมีอะไรที่น่าถือไว้อีก อาการที่ว่าวางก็ไม่เที่ยง อาการที่ว่าถือไว้อยู่ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างก็ลงสู่ความไม่เที่ยง
มันก็มีอยู่ของมันทั้งหมดแหละครับ ดูว่ามันเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน มันไม่มีเราอยู่เลย
พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของมันในความเป็นไตรลักษณ์
มันจะเหลือแค่สภาวะของขันธ์ในความเป็นไตรลักษณ์เท่านั้น
พิจารณาดูว่ามันมีเราในขันธ์๕นี้ตรงไหน ถ้าเห็นจริงว่ามันไม่มีเราในขันธ์แล้วความหลงหรือตัวอุปาทานมันก็จะหนีไปเอง
ส่วนหน้าที่ยังมีอยู่ยังต้องทำอยู่ก็ทำไป แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ถ้าพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ว่าขันธ์๕นี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง
หน้าที่นั้นๆมันก็ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แต่เป็นหน้าที่ของขันธ์
เป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเท่านั้นครับ


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
ท่านพงพัน เขียน:
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเราไม่ได้ไปเอาอะไร
ถ้ายังเอาอยู่ก็ยังไปนิพพานไม่ได้
เพียงแต่ไม่เอามันทั้งหมด ไม่เอาขันธ์ ๕ ไม่ยึดขันธ์ ๕
หาเราไม่เจอในรูป หาเราไม่เจอนาม หาเราไม่เจอในสมมติทั้งปวง
จึงเป็นวิมุติหลุดพ้น


กะลัง ลด ละ สละ วาง อยู่น่ะค่ะท่านพงพัน
เรื่อยๆ เมื่อใด....ก็เมื่อนั้น :b4: :b1:

:b43: :b43: :b43:

:b8: ขออนุโมทนาสาธุการอย่างยิ่งยวดกับธรรมที่นำมาแสดง
...และสวัสดีปีใหม่ไทย "ท่านพงพัน" ด้วยค่า
smiley

การลด ละ สละ หรือวาง เราไม่ได้เป็นผู้ไปทำมันหรอกครับ
ตั้งใจจะไปวาง มันไม่วางหรอก
เพียงแต่เราสร้างเหตุจากการพิจารณาสภาวะตามความเป็นจริงว่ามันไม่น่ายึดมั่นถือมัน
ให้จิตเห็น จิตยอมรับเมื่อไรมันก็จะวางเอง
เพียงแต่หมั่นสร้างเหตุอยู่เรื่อยๆ
ผลคือการปล่อยวาง การละ การสละ ก็ย่อมเกิดได้แน่ครับ
เมื่อใด ก็เมื่อนั้นครับ

อนุโมทนาบุญกับคุณมัทด้วยนะครับ สาธุ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร